Skip to content

King of Gods 786

King Of Gods

บทที่ 786 การทดสอบคัดเลือก

จ้าวเฟิงที่กำลังแช่อยู่ภายในโอสถหลอมร่างกายและเลือดจากห้วงฝันบรรพกาล สัมผัสได้ว่าความร้อนที่มาจากส่วนลึกของสายเลือดค่อยๆ รุนแรงยิ่งขึ้น

การฝึกตนใหม่ในชีวิตนี้ จ้าวเฟิงไม่ใช่คนที่ไม่รู้ประสีประสาอะไรอีกแล้ว

เขาย่อมเข้าใจว่าสัญญาณเช่นนี้สื่อถึงอะไรอยู่

“สายเลือดประเภทนี้เหมือนว่าจะเป็นแขนงอัคคี…” จ้าวเฟิงขมวดคิ้วน้อยๆ

เพราะว่าเขามีสายเลือดเหมันต์วารีประเภทหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่ดวงตาเทพเจ้าทำการปรับร่างกายอยู่แล้ว

ถ้าหากว่าสายเลือดประเภทที่ตื่นขึ้นเป็นสายเลือดอัคคี ทั้งสองสายเลือดนี้จะส่งผลข่มกัน

เมื่อความรู้สึกแผดเผารุนแรงขึ้น ในสายเลือดของจ้าวเฟิงก็เปล่งแสงสีแดงสดราวเปลวเพลิง สีของมันอ่อนกว่าสีของโลหิต และเป็นระลอกแสงที่โปร่งใสราวแก้วเจียระไน

“เอ๊ะ! พลังสายเลือดประเภทนี้เหมือนจะไม่ด้อยไปกว่ารายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ”

จ้าวเฟิงหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย

ยังดีที่การข่มกันของธาตุที่จ้าวเฟิงเป็นกังวลไม่เกิดขึ้น

ไม่ว่าจะเป็นสายเลือดเหมันต์วารีที่มากับดวงตาเทพเจ้า หรือว่าจะเป็นสายเลือดอัคคีสีแดงสดที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ ก็ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองจากร่างกายของเขา

ภายในร่างกายมนุษย์เดิมเกิดจากการประกอบกันของธาตุทั้งห้า แล้วยังช่วยรักษาความสมดุลในนั้นด้วย

จ้าวเฟิงโคจรเจตจำนงดวงตา แล้วสายเลือดอัคคีสีแดงสดที่ถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ก็ถูกเขาควบคุมอย่างง่ายดาย

กลิ่นอายของดวงตาเทพเจ้าสามารถควบคุมสายเลือดประเภทนี้ได้อย่างสิ้นเชิง

ยิ่งไปกว่านั้น พลังที่แข็งแกร่งเช่นนี้ของจ้าวเฟิง ขนาดสายเลือดในชีวิตก่อนอย่าง ‘เผ่าพันธุ์เกล็ดมังกรเหมันต์’ ที่อยู่ในลำดับที่แปดสิบเก้าของรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ ก็ยังสามารถควบคุมได้อย่างสบายๆ

“ไม่รู้ว่าพลังของสายเลือดนี้เป็นอย่างไร” จ้าวเฟิงเอ่ยพลางครุ่นคิด

เรื่องการกระตุ้นสายเลือดเขาทำได้อย่างสบายมือ ด้วยเพราะมีประสบการณ์ในชีวิตก่อน และมีพลังของจักรพรรดิระดับสูง

อนึ่ง เลือดเนื้อและไอสวรรค์ของห้วงฝัน สามารถเพิ่มความเร็วให้กับการย้อนคืนของพื้นฐานสายเลือด ซึ่งจ้าวเฟิงและเด็กน้อยครึ่งเซียนต่างประจักษ์ในข้อนี้นานแล้ว

“กระตุ้นสายเลือดให้ได้มากที่สุกก่อน แล้วพรุ่งนี้ตอนเข้า ‘ทดสอบคัดเลือกเทพลวงตา’ ค่อยทดลองกับใครสักคน” จ้าวเฟิงตัดสินใจอย่างรวดเร็ว

ในวันนั้น

สายเลือดของจ้าวเฟิงได้ตื่นขึ้นไปจนถึงขั้นถูกกระตุ้น บรรลุขั้นตอนที่คนอื่นต้องใช้เวลาหลายปีหรือกระทั่งถึงสิบปีถึงจะทำสำเร็จ

แต่ทว่า จ้าวเฟิงเองก็เสียเลือดเนื้อของห้วงฝันบรรพกาลและสมบัติล้ำค่าอื่นๆ ไปไม่น้อย

ตกดึกของวันนั้นเอง

ท้องฟ้าเหนือเรือนพักของจ้าวเฟิงปรากฏเมฆเพลิงโปร่งแสงสีแดงสดขึ้นมาชั้นหนึ่ง มีขนาดอยู่ราวๆ หลายสิบจั้ง

“กลิ่นอายอะไรกัน!”

กลิ่นอายสายเลือดที่ล่องลอยมาเล็กน้อยนั้น ทำให้ร่างกายและสายเลือดของบรรดาลูกศิษย์คนสำคัญที่อยู่ใกล้เคียงสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว

แต่ว่าหลังจากนั้น กลิ่นอายสายเลือดกลุ่มดังกล่าวก็ถูกเก็บงำไปตามความต้องการ หากเป็นระยะทางค่อนข้างไกลก็ยากจะสัมผัสได้

ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น

กลิ่นอายสายเลือดและสัญญาณในบริเวณที่พักของจ้าวเฟิง ก็สามารถดึงดูดความสนใจของคนจำนวนไม่มากนัก

เช้าตรู่ของวันถัดมา

บรรดาลูกศิษย์คนสำคัญออกมารอนานแล้ว สีหน้าของพวกเขามีแววกระตือรือร้นและคาดหวังรอคอย

“การทดสอบคัดเลือกเทพลวงตากำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว…”

ศิษย์พี่ก่วงสูดหายใจเข้าลึก แล้วจึงเดินออกมาจากบริเวณที่พักของตนเอง

เขามองไปยังเรือนพักที่จ้าวเฟิงอาศัยอยู่ตามสัญชาตญาณ

มองเพียงปราดเดียวเขาก็ต้องชะงักค้างไป

ด้วยเห็นแสงเพลิงสีสดลอยวนอยู่กลางอากาศเหนือที่พักของจ้าวเฟิง แสงของมันประสานรวมเข้ากับดวงอาทิตย์ในยามเช้า

แล้วเพียงชั่วครู่ แสงเพลิงสีโลหิตนั้นก็เหมือนเชื่อมเข้ากับพลังของวิหคทองบรรพกาล

“หรือว่าจะเกี่ยวข้องกับสายเลือด ‘เผ่าพันธุ์วิหคทอง’ ที่อยู่ในรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ?”

จ้าวเฟิงนั่งขัดสมาธิ ใจเต้นระรัว

เขาสั่นศีรษะอย่างรุนแรงในทันใด

เผ่าพันธุ์วิหคทองจัดอยู่ในลำดับที่แปดของ ‘รายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ’ เรียกได้ว่าเป็นเผ่าพันธุ์ในตำนานที่ยิ่งใหญ่แกร่งกล้า

ถ้าหากจะพูดถึงเผ่าพันธุ์วิหคทอง ในผืนพสุธาแห่งนี้เขาเคยเห็นเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น นั่นก็คือ แสงอาทิตย์บรรพกาล!

ถ้าหากโบยบินออกจากเขตภายในดินแดน และบินสูงขึ้นไปในอากาศ จะเข้าใกล้วิหคทองบรรพกาล ซึ่งปกติเรียกกันว่าดวงอาทิตย์หรือรัศมีดวงอาทิตย์

พลังที่ร้อนแรงของวิหคทองบรรพกาลเรียกได้ว่าแข็งแกร่งที่สุดในโลก สามารถทำลายล้างสรรพชีวิตนับหมื่นได้

จนกระทั่งวันนี้ ยังไม่มีใครกล้าเข้าใกล้วิหคทองบรรพกาล

ต่อให้เป็นครึ่งเซียนหรือว่าขอบเขตเซียนสวรรค์ ถ้าหากเข้าใกล้วิหคทองบรรพกาล ก็จะสูญสลายกลายเป็นฝุ่นธุลีในพริบตา

สามารถพูดได้ว่า นั่นคือเผ่าพันธุ์ในตำนานที่ไร้เทียมทาน ร่างกายมีขนาดใหญ่โตเกินประมาณ ส่องแสงสว่างให้ทั่วทั้งผืนพสุธาได้

แต่ทว่า

วิหคทองบรรพกาลอยู่ห่างไกลจากดินแดนทวีปและแต่ละดินแดนเกาะอย่างยิ่ง ซ้ำยังมีทะเลหมอกความว่างเปล่าขวางกั้นไว้ ถึงทำให้ไม่มีการคุกคามใดๆ เกิดขึ้น

ถ้าไม่มีปราการชั้นนี้ของ ‘ทะเลหมอกความว่างเปล่า’ สรรพชีวิตเก้าสิบส่วนขึ้นไปในฟ้าดินจะสูญสลายหายไปเมื่อโดนลำแสงของวิหคทองบรรพกาล

มีบันทึกที่เกี่ยวข้องในตำนานบรรพกาล

ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งของการล่มสลายในยุคบรรพกาล จำนวนของเผ่าพันธุ์วิหคทองมีถึงสิบตน ขนาดเผ่าพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตที่แกร่งกล้าในยุคบรรพกาลก็ยังยากจะรอดชีวิตไปได้

สรรพชีวิตยุคบรรพกาลในตอนนั้นล้วนเผชิญภัยพิบัติรุนแรง

ฉะนั้นเผ่าพันธุ์อื่นๆ จึงปรึกษากันว่าจะรับมืออย่างไรกับวิหคทองสือหลุนที่นำพาภัยพิบัติมานี้

แต่พลังของวิหคทองสือหลุนน่ากลัวอย่างยิ่ง ขนาดเทพเจ้าบรรพกาลยังไม่สามารถเข้าใกล้ได้

ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานนั้นเอง

ปรากฏผู้ถูกเลือกคนหนึ่งใน ‘เผ่าพันธุ์บรรพกาล’ ที่อยู่ในอันดับหนึ่ง คนผู้นั้นใช้ ‘ธนูเซียนจบโลกา’ ที่เผ่าพันธุ์ต่างๆ ร่วมมือกันตีขึ้น สังหารวิหคทองสือหลุนในทันที จึงทำให้ช่วยฟ้าดินเอาไว้ได้

แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นตำนานบรรพกาล ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จก็เห็นความน่ากลัวของเผ่าพันธุ์วิหคทองตัวนั้นได้

“สายเลือดประเภทนี้ของข้า สามารถดูดซึมพลังของ ‘วิหคทองบรรพกาล’ ได้ ถึงแม้ไม่น่าจะเป็นสายเลือดวิหคทอง แต่ก็แปลกประหลาดอยู่เหมือนกัน”

จ้าวเฟิงเอ่ยพึมพำ

สายเลือดห้าสิบอันดับต้นของรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์ เขาไม่กล้าจะคิดถึงด้วยซ้ำ เกรงว่าน่าจะพอๆ กับแปดเนตรเทพเจ้าเลยทีเดียว

ด้วยเพราะในโลกนี้มีสายเลือดหรือไม่ก็วิชาในศาสตร์อัคคีอยู่จำนวนหนึ่งที่สามารถซึมซับพลังดวงอาทิตย์ของวิหคทองบรรพกาลได้

ตัวอย่างเช่น สายเลือดเผ่าพันธุ์นักรบสุริยันก็เชื่อมโยงกับเผ่าพันธุ์วิหคทองบรรพกาล จึงสามารถดูดซึมพลังอัคคีของวิหคทองได้

พู่ว~

จ้าวเฟิงถอนหายใจยาว ค่อยๆ เก็บงำพลังสายเลือดเข้าไป

เวลาผ่านไปหนึ่งคืน สายเลือดที่เกิดขึ้นใหม่ของเขาก็พัฒนาไปแล้วค่อนข้างมาก

สำหรับปัญหาเรื่องสายเลือด จ้าวเฟิงกะว่าจะรอให้ ‘การทดสอบคัดเลือกเทพลวงตา’ ลุล่วงไปก่อน แล้วค่อยกลับไปตรวจสอบกับตระกูลจ้าว ดูว่าบรรพบุรุษตระกูลจ้าวมีสายเลือดที่เหมือนกันหรือไม่

“ศิษย์น้องจ้าว…”

ภายนอกบริเวณที่พักมีเสียงหวานกังวานใสของอิสตรีดังแว่วมา

“ศิษย์พี่วั่น”

จ้าวเฟิงเดินออกมายังลานที่พัก แล้วจึงเห็นศิษย์พี่วั่นหรงผู้สง่างามอ่อนหวาน

จ้าวเฟิงสัมผัสได้ถึงแววตาริษยาของศิษย์พี่ก่วงที่มองมาจากที่ไกลๆ อย่างชัดเจน

ในระยะหลายเดือนมานี้ ศิษย์พี่วั่นหรงฝึกตนอย่างยากลำบาก จนทะลวงผ่านมาจนถึงขั้นนายเหนือแท้ ไม่อยากถอดใจจากโอกาสที่จะได้เข้าไปในมิติเทพลวงตาครั้งนี้

“ศิษย์น้องจ้าว ศิษย์น้องวั่น…” ศิษย์พี่ก่วงระบายยิ้มออกมา แล้วสาวเท้าเข้ามาใกล้

เพื่อที่จะเข้าไปภายในมิติเทพลวงตา ศิษย์พี่ก่วงก็ทุ่มเทอยู่ไม่น้อย บวกกับได้ความช่วยเหลือจากอาจารย์ จึงทำให้ฝึกตนไปจนถึงครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด

ในบรรดาเหล่าลูกศิษย์คนสำคัญ พลังฝึกตนในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดถือได้ว่าอยู่แนวหน้าแล้ว

ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น ศิษย์พี่ก่วงเองก็ไม่แน่ว่าจะได้อยู่ในรายชื่ออย่างแน่นอน

บรรดาลูกศิษย์คนสำคัญจับกลุ่มกันเข้าร่วมการทดสอบคัดเลือกเทพลวงตา

พลังฝึกตน ‘ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด’ ของจ้าวเฟิง ถือว่าได้โดดเด่นขึ้นมาในบรรดาลูกศิษย์คนสำคัญ

ต่อให้เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดส่วนหนึ่งก็ใช่ว่าจะมีพลังฝึกตนในขอบเขตแก่นก่อกำเนิด

โดยปกติแล้ว ลูกศิษย์คนใดฝึกตนจนถึงขอบเขตแก่นก่อกำเนิดในช่วงอายุนี้ ก็น่าจะมีราชันหรือกระทั่งจักรพรรดิคนใดๆ รับเป็นลูกศิษย์ไปนานแล้ว

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับจ้าวเฟิงในวินาทีนั้น อารมณ์ของศิษย์พี่ก่วงวุ่นวายสับสน รู้สึกลึกๆ ได้ว่าตนไร้เรี่ยวแรง

เหมือนกับว่าไม่ว่าเขาจะอย่างไร ล้วนแต่ไม่สามารถส่งผลกระทบต่อการผงาดขึ้นของเด็กหนุ่มผู้นี้ได้เลย

บรรดาลูกศิษย์คนสำคัญเป็นเหมือนดาวที่ล้อมเดือน นับถือจ้าวเฟิงอย่างยิ่ง แล้วยังพยายามประจบประแจง

ท่าทางของจ้าวเฟิงมีความเย็นชา หรือกระทั่งเหมือนว่าจะ ‘หยิ่งยโสโอหัง’ แต่กลับไม่ได้ส่งผลต่อ ‘ความมีน้ำใจ’ ของลูกศิษย์คนสำคัญแต่อย่างใด

ศิษย์พี่ก่วงเองก็อยากจะเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในนั้น แต่กลับยังมีความขมขื่นอยู่ส่วนหนึ่ง

ใบหน้าของเขามีความกังวลใจว่าจะคลี่คลายบุญคุณความแค้นและความขัดแย้งที่มีกับจ้าวเฟิงได้อย่างไร

ถ้าหากไม่เป็นเช่นนั้น ในสถานการณ์ที่จ้าวเฟิงผงาดขึ้นเช่นนี้ ภายภาคหน้าที่เขาอยู่สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นก็ยากที่จะยืนหยัดได้

ณ อาณาเขตของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น บนทิวเขาโบราณ

ศิษย์ที่เข้าร่วมการคัดเลือกทดสอบเทพลวงตาล้วนแต่รวมตัวกันอยู่ที่นี่

การทดสอบคัดเลือกเทพลวงตาแบ่งเป็นสองกลุ่ม

ลูกศิษย์วัยรุ่นกลุ่มหนึ่ง อีกกลุ่มหนึ่งเป็นยอดฝีมือสูงวัย สองกลุ่มนี้ไม่ได้อยู่ร่วมกัน

“ศิษย์ทั้งหมดที่เข้าร่วม ‘การทดสอบคัดเลือกเทพลวงตา’ ให้เข้าไปภายในมิติลี้ลับ”

ราชันในขอบเขตปราณเทวะเอ่ยปาก

จ้าวเฟิงเองก็รู้จักราชันผู้นั้นเช่นกัน เขาคืออาจารย์ของหวงอวิ๋นหู่ ราชาลู่อวิ๋น

“การทดสอบคัดเลือกครั้งนี้ ที่แท้ก็จัดอยู่ในมิติลี้ลับ หรูหราฟุ้งเฟ้อเอาการ ไม่เสียทีที่เป็นสำนักสามดาวในวันก่อน…”

จ้าวเฟิงพึมพำอย่างประหลาดใจ

ในความเป็นจริงแล้ว ‘สำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจิน’ ระดับสามดาวที่จ้าวเฟิงเคยอยู่ในตอนนั้น ก่อนที่อุทยานครึ่งเซียนจะเปิดออก ก็จัดการแข่งขันเพื่อคัดเลือกรายชื่อภายในมิติลี้ลับ

เพียงแต่ว่า ในเวลาที่จ้าวเฟิงมาถึงการแข่งขันชิงรายชื่อก็ได้จบลงไปแล้ว

ในตอนนั้นยังมีตวนมู่ชิงแย่งชิงรายชื่อจากภายในมาให้จ้าวเฟิง

ภายในสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นเองก็มีสิทธิพิเศษ และมีรายชื่อที่กำหนดกันมาแล้วเป็นการภายในอยู่จำนวนไม่มาก

วิ้ง โครม!

อากาศเหนือทิวเขาปรากฏระลอกน้ำวนสีฟ้าอ่อนขึ้น

สวบ สวบ สวบ!

บรรดาลูกศิษย์เข้าไประลอกน้ำวนนั้น จ้าวเฟิงนั่งวิหคนิลกาฬ พาศิษย์พี่วั่นหรงเข้าไปภายในระลอกน้ำวนนั้น

ผลัวะ!

เหมือนว่าทะลวงผ่านพื้นผิวบางๆ ชั้นหนึ่ง ฝูงคนเข้าไปภายในมิติที่มีแรงกดดันมหาศาล

มิติลี้ลับแห่งนี้ ในตอนนี้ปรากฏสีฟ้าอ่อนๆ ลอดเข้ามาครรลองสายตา ช่วงเวลากลางวันมืดกว่าโลกภายนอกเล็กน้อย

มิติลี้ลับมีเพียงรัศมีร้อยลี้ สภาพเหมือนกับเป็นสนามรบโบราณของสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์

มองออกได้ว่ามิติลี้ลับแห่งนี้ถูกเปิดเพื่อประลองพลังกันโดยเฉพาะ

ภายในสนามประลองลี้ลับแห่งนี้ มีราชันขอบเขตปราณเทวะสองคนจัดการดูแล กรรมการที่เหลือคนอื่นส่วนมากคือครึ่งก้าวสู่ราชันหรือไม่ก็ยอดผู้สูงศักดิ์ระดับสุดยอด

ภายในสนามประลอง มีลานประลองทั้งหมดแปดแห่ง แต่เปิดออกเพียงสี่แห่ง แบ่งเป็นฝั่งตะวันออก ฝั่งตะวันตก ฝั่งใต้ และฝั่งเหนือ

ลูกศิษย์ที่เข้าร่วมทดสอบทุกคน ในขณะที่รับสมัครจะได้รับตราเลขที่

จ้าวเฟิงถูกแบ่งไปยังลานประลองทางทิศใต้

ลานประลองทุกแห่ง แบ่งออกเป็นลูกศิษย์คนสำคัญและลูกศิษย์สายนอกเกือบร้อยคนโดยประมาณ

ลูกศิษย์สายนอกก็สามารถเข้าร่วมทดสอบคัดเลือกเทพลวงตาได้

แววตาจ้าวเฟิงปราดมองผ่าน ค้นพบว่าในกลุ่มนี้มีส่วนหนึ่งเป็นคนที่คุ้นตากันบ้าง ส่วนมากเป็นลูกศิษย์คนสำคัญที่รู้จักแล้ว

ในนั้นมี ‘หวงอวิ๋นหู่’ ที่พ่ายแพ้แก่จ้าวเฟิงอยู่ภายในนั้นด้วย

หลังจากพ่ายแพ้สองครั้งติดๆ กันแล้ว หวงอวิ๋นหู่ก็โดนอาจารย์ลงโทษ จึงฝึกตนอย่างยากเย็นจนในที่สุดก็ทะลวงผ่านขอบเขตแก่นก่อกำเนิด

แต่ทว่าหลังจากที่เขาเพิ่งผ่านแก่นก่อกำเนิดหนึ่งถึงสองวัน จ้าวเฟิงเองก็ทะลวงผ่านเช่นกัน

สำหรับเขาแล้ว เรื่องนี้กระทบกระเทือนรุนแรงอย่างไม่ต้องสงสัย

“มีพลังฝึกตนในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดเหมือนกัน แต่ทว่าการทดสอบคัดเลือกเทพลวงตาไม่อาจใช้สัตว์วิเศษ”

แววตาหวงอวิ๋นหู่เป็นประกายวิบวับ

แต่เมื่อคิดถึงในวันนั้น พลังฝึกตนในขั้นผู้วิเศษแท้ของจ้าวเฟิง เอาชนะเขาที่ตอนนั้นอยู่ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดอย่างรวดเร็ว ในใจหวงอวิ๋นหู่ก็หมดหวัง

“หลิ่วเทียนฝาน!”

“สวรรค์ เด็กคนนี้ถูกแบ่งไปลานประลองฝั่งใต้!”

ในกลุ่มคนมีเสียงดังขึ้น

ลานประลองทางฝั่งใต้ แววตาของฝูงชนถูกชายหนุ่มที่โดดเด่นผู้นี้ดึงดูด

“หลิ่วเทียนฝาน เป็นลูกศิษย์สืบทอดสามอันดับต้น พลังฝึกตนอยู่ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงระดับสุดยอด เป็นลูกศิษย์ของจักรพรรดิปราณเทวะ”

จ้าวเฟิงย่อมรู้จักบุคคลผู้โดดเด่นในระดับนี้

ลูกศิษย์ผู้สืบทอดในยี่สิบลำดับต้นๆ ล้วนมีพลังฝึกตนอยู่ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดมากกว่าครึ่ง

“หลิ่วเทียนฝาน!” ดวงตาของหวงอวิ๋นหู่เป็นประกายสว่างวาบ กุลีกุจอเดินไป

ในฐานะที่เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดเหมือนกัน ความสัมพันธ์ของหวงอวิ๋นหู่และหลิ่วเทียนฝานเป็นไปด้วยดี

ขณะเดียวกัน แววตาของจ้าวเฟิงกลับหยุดลงที่สาวน้อยผู้มีวงหน้าสวยผุดผาดในชุดยาวหลากสีตรงลานประลองฝั่งตะวันออก

“ข่งเฟยหลิง! ศิษย์ผู้สืบทอดอันดับหนึ่งของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น พลังฝึกตนขั้นครึ่งก้าวสู่ราชัน แล้วยังครอบครองสายเลือดวิถีราชา…”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version