บทที่ 787 แก่นพลัง
‘ข่งเฟยหลิง’ ที่สวมชุดขนนกผู้นั้นย่อมตกเป็นเป็นเป้าสายตาของบรรดาลูกศิษย์มากมาย ไม่ได้มีเพียงแต่จ้าวเฟิงที่จับจ้องนาง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ‘ข่งเฟยหลิง’ เป็นสตรีอันเป็นที่รักของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น
ลูกศิษย์ของจักรพรรดิ…สายเลือดวิถีราชา…ถึงขั้นมีรายชื่อเป็นหนึ่งในอัจฉริยะจักรพรรดิต้าเฉียน
ในราชวงศ์ต้าเฉียน
มีรายชื่อสายเลือดวิถีราชาซึ่งจัดอยู่ในมรดกสายเลือดที่แข็งแกร่งที่สุดห้าร้อยอันดับต้น
นอกจากนั้น ยังมีรายชื่ออัจฉริยะจักรพรรดิต้าเฉียนที่เป็นอัจฉริยะชั้นยอดห้าร้อยอันดับแรก
สิ่งที่ควรค่าให้เอ่ยถึงคือ
รายชื่อทั้งสองนี้ ผู้ที่แข็งแกร่งกว่าเท่านั้นจึงอยู่รอด มีก้าวหน้ามีถดถอย
ด้วยเพราะยุคสมัยเปลี่ยนไปอยู่ตลอด อัจฉริยะอยู่ในภาวะพัฒนาเติบโต สายเลือดจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงแล้วก้าวหน้าขึ้น
ลานประลองลี้ลับ
อัจฉริยะทั้งหมดของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น จ้าวเฟิงเพียงมองข่งเฟยหลิงอย่างประเมินมากหน่อย รู้สึกได้ว่าพลังและพรสวรรค์ของนางค่อนข้างใกล้เคียงกับหนานกงเซิ่งก่อนที่จะเข้าไปภายในอุทยานครึ่งเซียน
เหมือนว่าจะสัมผัสได้ แววตาของสตรีในชุดขนนกตรงแน่วแน่ไปด้านหน้า นัยน์ตางามเคลื่อนมามองยังตำแหน่งที่จ้าวเฟิงอยู่
ในระยะเวลาสั้นๆ การกดดันจิตวิญญาณที่ไร้รูปร่างปกคลุมไปทั่วบริเวณที่จ้าวเฟิงอยู่
อัจฉริยะเกือบสิบคนที่อยู่ในบริเวณดังกล่าวก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่ทำให้หายใจไม่ออก เหมือนถูกของแหลมคมที่ไร้รูปร่างกรีดผ่านไป
ตุ้บ!
ลูกศิษย์สายนอกในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงคนหนึ่งในนั้นแข้งขาอ่อนลงในทันใด และทรุดตัวลงนั่งไปกับพื้น
ในบรรดาคนเหล่านี้มีเพียงจ้าวเฟิงที่ยังคงยืนนิ่ง แล้วยิ้มน้อยๆ เท่านั้น
“เด็กหนุ่มผู้นั้น…”
ข่งเฟยหลิงอุทานเสียงเบา เมื่อโดนแรงกดดันจากพลังครึ่งก้าวสู่ราชันของนาง เด็กหนุ่มผู้นั้นยังสามารถอยู่ได้อย่างสบายๆ
“ศิษย์พี่ข่ง คนผู้นั้นคือ ‘จ้าวเฟิง’ ที่เป็นนักฝึกสัตว์ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในช่วงระยะที่ผ่านมา ได้ยินมาว่าคนผู้นี้ได้ฝากตัวเป็นศิษย์อยู่ในอาณัติของจักรพรรดิในขอบเขตปราณเทวะ แล้วยังได้รับความสำคัญจากหนานเฟิงอ๋องด้วย”
บุรุษหนุ่มในชุดเขียวที่อยู่ข้างๆ เอ่ยแนะนำปนยิ้ม
การสบสายตากันในเวลาสั้นๆ ของจ้าวเฟิงและข่งเฟยหลิงย่อมดึงดูดความสนใจของเหล่าอัจฉริยะ
“คนผู้นั้นเป็นใครกัน กลับสามารถแบกรับพลังครึ่งก้าวสู่ราชันของอัจฉริยะลำดับแรกๆ ได้”
แววตาของอัจฉริยะมากมายในสนามประลองหันมาจับจ้องจ้าวเฟิงกันหมด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งลานประลองฝั่งใต้ที่จ้าวเฟิงอยู่
“เขาก็คือจ้าวเฟิงคนนั้นที่เจ้าเอ่ยถึง?” แววตาของหลิ่วเทียนฝานเป็นประกายวิบวับ
หวงอวิ๋นหู่ที่อยู่ข้างกายสะกดความตกใจเอาไว้ ตอบคำซ้ำไปมา “เป็นเขา!”
หวงอวิ๋นหู่คาดคิดไม่ถึงว่าความสามารถของจ้าวเฟิงจะสูงส่งเช่นนี้ ขนาดพลังของครึ่งก้าวสู่ราชันยังกดดันเขาไม่ได้
เมื่อครู่เขากระซิบกระซาบให้ ‘หลิ่วเทียนฝาน’ ฟัง แล้วยังพัดให้ไฟโหมกระพือขึ้นไปอีก ด้วยหวังว่าหลิ่วเทียนฝานจะสั่งสอนจ้าวเฟิง
“ไม่ต้องให้เจ้ามายุแยง อย่างไรข้าก็สนใจในตัวจ้าวเฟิงผู้นี้อยู่แล้ว”
หลิ่วเทียนฝานจ้องมองเขาครู่หนึ่งด้วยสายตามีนัย
ในใจของหวงอวิ๋นหู่ลอบประหม่าน้อยๆ บริเวณหลังชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น
ในหมู่ศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น หลิ่วเทียนฝานผู้นี้ฝึกตนเป็นรองก็เพียงแต่ ‘ข่งเฟยหลิง’ ผู้เป็นอันดับหนึ่ง
“ด้วยความสามารถของหลิ่วเทียนฝาน เขาน่าจะสั่งสอนจ้าวเฟิงได้”
หวงอวิ๋นหู่ลอบเอ่ยกับตนเอง
ถึงอย่างไรพลังฝึกตนของคนทั้งสองก็ต่างกันเป็นอย่างมาก
คนหนึ่งเพิ่งเข้าสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด อีกคนอยู่ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงช่วงสุดยอด
ตามกฎกติกาของ ‘การทดสอบคัดเลือกเทพลวงตา’ ความน่าจะเป็นที่จ้าวเฟิงและหวงอวิ๋นหู่รวมไปถึงหลิ่วเทียนฝานจะเผชิญหน้ากันถือว่าไม่น้อยเลยทีเดียว
“กติกาในการแข่งขันใช้ระบบคัดออก จำนวนครั้งในการพ่ายแพ้ต่อเนื่องกันเจ็ดสนาม หรือแพ้สะสมไปจนถึงยี่สิบครั้ง จะถูกคัดออกจากการแข่งขัน” จ้าวเฟิงเอ่ยในใจ
หลังจากแบ่งลานประลอง ในทุกลานประลองจะเลือกเอาห้าสิบคนแรก
สุดท้ายแล้วก็จะรวมลานประลองทั้งสี่เป็นหนึ่งเดียว และคัดหกสิบคนแรกมา
ขนาดการแข่งขันในรอบสุดท้ายก็ยังใช้ ‘ระบบการคัดออก’ มาคัดคนออกไปเรื่อยๆ จนเหลือแค่หกสิบรายชื่อเท่านั้น
เพราะอะไรถึงต้องหกสิบ? แต่ไม่ใช่หกสิบห้า
เป็นเพราะห้ารายชื่อในนั้นเป็นจำนวนที่สำนักคัดเลือกจากภายใน
ไม่นานนัก การประลองในลานประลองทั้งสี่ก็เริ่มขึ้นพร้อมกัน
ตุ้บ!
“อ๊าก…”
เพิ่งเริ่มต้นก็มีลูกศิษย์กระเด็นออกมา แบ่งผลแพ้ชนะกันได้ในทันที
จ้าวเฟิงเหลือบมอง อดจะสั่นศีรษะไม่ได้
ลูกศิษย์ของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นที่เข้าร่วมการทดสอบคัดเลือก มีทั้งลูกศิษย์สายนอกถึงศิษย์คนสำคัญ ไปจนถึงลูกศิษย์ผู้สืบทอด พลังย่อมมีความแตกต่างกันอย่างมาก
ถ้าหากลูกศิษย์สายนอกเผชิญหน้ากับศิษย์ผู้สืบทอดมักโดนสังหารในพริบตาเดียว
การประลองดำเนินไป แล้วจึงผลัดมาถึงคราวของจ้าวเฟิงอย่างรวดเร็ว
แต่ทว่า… คู่ต่อสู้ของเขาอ่อนแอ เป็นลูกศิษย์คนสำคัญขั้นนายเหนือแท้ระดับต่ำ
“ยอมแพ้!”
เมื่อเผชิญหน้ากับจ้าวเฟิงที่อยู่ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิด ลูกศิษย์คนสำคัญในขั้นนายเหนือแท้ก็เอ่ยยอมแพ้ในทันที
มีพลังฝึกตนในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดย่อมอยู่ในแถวหน้าของบรรดาลูกศิษย์รุ่นใหม่
หากจะต่อสู้กับอีกฝ่าย ไม่สู้เก็บพลังเอาไว้ก่อนน่าจะดีกว่า
ที่ผ่านมา การประลองที่พลังแตกต่างกันอย่างมาก กรรมการเห็นว่าสถานการณ์ไม่เข้าที ก็จะเอ่ยประกาศผลก่อนล่วงหน้า
การประลองพลังครั้งแรกของจ้าวเฟิงจึงจบลงอย่างง่ายดายเช่นนี้
หลิ่วเทียนฝานที่มีพลังฝึกตนสูงสุดของลานประลองฝั่งใต้และหวงอวิ๋นหู่ก็เป็นเช่นนี้
คนทั้งสองเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอด เมื่อลูกศิษย์คนอื่นเผชิญหน้ากับคนทั้งสองล้วนยอมแพ้ทันที
ในสายตาของลูกศิษย์คนอื่น จ้าวเฟิงไม่แตกต่างกับลูกศิษย์ผู้สืบทอด ถึงขั้นลึกล้ำเกินคาดยิ่งกว่าลูกศิษย์ผู้สืบทอดทั่วไปด้วยซ้ำ
ครึ่งวันต่อมา
จ้าวเฟิงขึ้นไปบนลานประลองเป็นครั้งที่สอง คู่ต่อสู้อยู่ในขั้นนายเหนือแท้ระดับสุดยอด ยอมพ่ายแพ้อย่างไม่ลังเลเช่นกัน
“น่าเบื่อเสียจริง”
จ้าวเฟิงสั่นศีรษะ เจ้าแมวขโมยตัวน้อยที่อยู่บนบ่าของเขาก็มีท่าทีง่วงเหงาหาวนอน
ไม่ใช่ว่าการประลองไม่เร้าใจ
คู่ต่อสู้ที่สูสีกันหรือไม่ก็ใช้ไม้อ่อนเข้าสู้ไม้แข็งปรากฏขึ้นบ้างในบางครั้ง
แต่พลังฝึกตนในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดของจ้าวเฟิงอยู่วงชั้นสูงของลูกศิษย์รุ่นใหม่ในสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น
เปรียบไม่ได้กับ ‘งานชุมนุมเซียนมังกร’ ในคราวก่อน พลังฝึกตนของจ้าวเฟิงอยู่ในระดับล่างๆ พลังเมื่อตอนเริ่มต้นนั้นยังอยู่แค่ในระดับกลางค่อนไปล่างก็เท่านั้น
ในช่วงต้นๆ ของงานชุมนุมเซียนมังกร คู่ต่อสู้ที่ประลองกับผู้ถูกเลือกทั้งห้า หากไม่โดนสังหารในทันทีก็ยอมแพ้ น่าเบื่อเหมือนๆ กัน
ส่วน ‘การทดสอบคัดเลือกเทพลวงตา’ ใช้ระบบคัดออก ทำให้ขั้นตอนทั้งหมดเป็นไปอย่างช้าๆ
ทั้งการทดสอบคัดเลือกน่าจะต้องใช้เวลายี่สิบวันหรือหนึ่งเดือน
ลักษณะของการทดสอบคัดเลือกเทพลวงตาและงานชุมนุมเซียนมังกรไม่เหมือนกัน
การประลองพลังในงานชุมนุมเซียนมังกรจะชิงสิบอันดับแรก เพื่อจัดแบ่งอันดับที่ชัดเจน
แต่การคัดเลือกเทพลวงตาเป็นการคัดออกไม่หยุด จนคนที่เหลืออยู่เท่าลำดับรายชื่อพอดี
จนกระทั่งการแข่งขันรอบที่สาม
คู่ต่อสู้ของจ้าวเฟิงเป็นบุรุษหนุ่มใบหน้าเย็นชาที่อยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด เป็นยอดฝีมือผู้โดดเด่นในบรรดาลูกศิษย์คนสำคัญ
“จ้าวเฟิงผู้นี้เพิ่งจะทะลวงผ่านไปยังขอบเขตแก่นก่อกำเนิดได้ ถ้าหากข้าประมือกับเขาที่มีพลังพอๆ กัน หรือไม่ก็ทำผลงานโดดเด่น ไม่แน่ว่าอาจจะสามารถดึงดูดความสนใจของผู้อาวุโสราชันได้”
บุรุษใบหน้าเย็นชาตัดสินใจ
ถึงแม้ว่าโอกาสจะชนะมีไม่มาก แต่ว่าเขาก็ตัดสินใจลองดูสักตั้ง
บนลานประลอง
การเผชิญหน้าของจ้าวเฟิงและบุรุษใบหน้าเย็นชาดึงดูดความสนใจของคนส่วนหนึ่งเอาไว้
ในนี้ยังรวมไปถึงหลิ่วเทียนฝานผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในลานประลองฝั่งใต้ ลูกศิษย์ผู้สืบทอดอย่างหวงอวิ๋นหู่ รวมไปถึง ‘ข่งเฟยหลิง’ ที่เป็นศิษย์สืบทอดอันดับหนึ่งของทั้งสนาม
แต่ทว่า
การสู้รบจบลงเร็วกว่าที่คิดไว้มาก
ผลัวะ ~ แซ่ด วูบ!
ที่เดิมเหลือเพียงเศษเสี้ยวเงาวายุอัสนีเหมือนระลอกน้ำสีฟ้า การโจมตีของบุรุษสีหน้าเย็นชาปะทะเข้ากับอากาศ
“แย่แล้ว!”
ในตอนนั้น เขาสัมผัสได้เพียงลมแรงที่หนักหน่วงจู่โจมมาจากด้านหลัง
ผัวะ!
บุรุษหนุ่มใบหน้าเย็นชาโดนเด็กหนุ่มที่อยู่ด้านหลังปล่อยหมัดเดียวเข้าใส่จนร่วงลงไป
เขาฝืนพยายามโคจรชั้นการปกป้องของครึ่งก้าวสู่ปราณที่แท้จริง เมื่อเผชิญหน้ากับหมัดธรรมดานั้นก็เป็นประหนึ่งกระดาษกาวเท่านั้น
ภายในลานประลองมีเสียงถกเถียงกันอื้ออึง
“ช่างรวดเร็วยิ่งนัก!”
ผู้ที่ชมการประลองจำนวนมากเห็นเพียงเศษเสี้ยวเงาแวบหนึ่ง จ้าวเฟิงผลักกำปั้นออกมา บุรุษหนุ่มใบหน้าเย็นชาก็ร่วงลงบนพื้น
คนที่อยู่ระดับขั้นต่ำกว่าสัมผัสได้ถึงความเร็วของจ้าวเฟิงเท่านั้น
แต่ว่าอัจฉริยะที่ขอบเขตพลังอยู่ในระดับสูงส่วนหนึ่ง สีหน้ากลับเคร่งขรึมลงไปด้วยยากจะเชื่อได้
“หมัดเมื่อครู่นี้ของจ้าวเฟิงเหมือนกับว่าไม่ได้ใช้ปราณที่แท้จริงเลย…” หวงอวิ๋นหู่อ้าปากตาค้าง
เขาเรียกสติเกินร้อยของตนเองมาพินิจพิจารณาการต่อสู้ของจ้าวเฟิง ด้วยเพราะอย่างไรเขาก็พ่ายแพ้ในเงื้อมมือของจ้าวเฟิงมาแล้วสองครั้ง
“ไม่มี”
หลิ่วเทียนฝานที่อยู่ข้างกายเอ่ยอย่างมั่นใจ
เมื่อครู่จ้าวเฟิงใช้ความเร็วอย่างยิ่งในการเข้าไปใกล้ แล้วจากนั้นก็ปล่อยหมัดธรรมดาๆ ออกมา
หมัดนั้นไม่ได้ใช้ปราณที่แท้จริงเลยแม้แต่น้อย กลับสามารถทำลายชั้นป้องกันของครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดได้อย่างง่ายดาย
หลังจากการประลองนี้ผ่านไป ชื่อเสียงของจ้าวเฟิงก็ดังกระฉ่อน ผู้คนยำเกรงและหวาดกลัว
ต่อจากนั้น การประลองในแต่ละรอบ หากคู่ต่อสู้ของจ้าวเฟิงมีพลังฝึกตนต่ำกว่าขอบเขตแก่นก่อกำเนิดก็ล้วนแต่ยอมแพ้ในทันที
เพียงอึดใจเดียวก็ชนะถึงแปดสนามติดต่อกัน
ในสนามที่เก้านั้นเอง จ้าวเฟิงก็ได้เผชิญหน้ากับหวงอวิ๋นหู่
“เริ่มแล้วหรือยัง?”
หวงอวิ๋นหู่สูดลมหายใจเข้าปอดลึก เตรียมตัวรับมือกับการประลองที่กำลังจะเกิดขึ้น
การต่อสู้สองครั้งที่ผ่านมาเขาล้วนแต่พ่ายแพ้แก่จ้าวเฟิง ถึงขั้นทำให้ราชาลู่อวิ๋นไม่มีหน้าจะไปสู้ใคร
ในเวลานี้ ‘ราชาลู่อวิ๋น’ กำลังให้ความสนใจในการประลองครั้งนี้เช่นกัน
“เริ่มได้!” กรรมการโบกมือเบาๆ
วิ้ง!
หวงอวิ๋นหู่กระตุ้นปราณที่แท้จริง ร่างกายทั่วร่างก็ปกคลุมไปด้วยเกราะผลึกสีแดงหนาชั้นหนึ่ง เขากระตุ้นการป้องกันก่อนโดยใช้เกราะป้องกันชั้นพิภพในแขนงดินที่ล้ำค่าชิ้นหนึ่ง
“กลยุทธ์ในการต่อสู้ของหวงอวิ๋นหู่ไม่เลวเลย จุดเด่นของจ้าวเฟิงก็คือความเร็ว ขอเพียงแค่ตั้งรับป้องกันเอาไว้ให้แน่นหนาก็ฉวยโอกาสโต้กลับได้”
หลิ่วเทียนฝานชื่นชมน้อยๆ
“โครม ปั้ง!”
ในขณะที่เศษเสี้ยวเงาวาบผ่าน หมัดหนึ่งของจ้าวเฟิงปะทะไปบนเกราะชั้นพิภพของหวงอวิ๋นหู่ จนทำให้เกิดเสียงดังสะเทือนไปทั้งดวงวิญญาณและจิตใจ
“เป็นไปได้อย่างไรกัน…” หวงอวิ๋นหู่กระเด็นจนเกือบกระอักเลือดออกมา
ในวินาทีที่หมัดของจ้าวเฟิงถูกปล่อยออกมา พื้นผิวของมันปรากฏลายเส้นคล้ายโลหะสีฟ้าเงินชั้นหนึ่ง
‘แก่นแท้พลัง’ ที่รุนแรงไร้รูปร่างส่วนหนึ่งทะลวงผ่านเกราะชั้นพิภพไป แล้วแทรกซึมเข้าสู่อวัยวะภายในร่างกายของเขา
ลานประลองเกิดเสียงฮือฮา
เพียงแค่หมัดเดียว หวงอวิ๋นหู่ก็เกิดความรู้สึกเหมือนโดนจู่โจมจนลอยละลิ่ว
เปรี้ยง! ตุบ! โครม!
เท้าของหวงอวิ๋นหู่ลอยจากพื้น ยังไม่ทันได้ยืนให้มั่นคง ก็โดนหมัดหลายหมัดที่รุนแรงของจ้าวเฟิงซ้ำอีก
“เมื่อกระตุ้นเกราะฟ้าดินของข้าแล้ว คนที่เข้าใกล้ทั้งหมดจะต้องบาดเจ็บหนักเป็นสิบเท่า แต่ทำไมคนผู้นี้ถึงไม่เห็นได้รับผลกระทบอะไร…”
ในใจของหวงอวิ๋นหู่ตื่นตระหนก ขณะถอยร่นไปติดๆ กัน
อั่ก!
หลายหมัดต่อมา หวงอวิ๋นหู่กระอักเลือด บนพื้นผิวของเกราะผลึกสีแดงเกิดรอยร้าวขึ้น
“จ้าวเฟิงชนะ!” เมื่อกรรมการผู้นั้นเห็นท่าไม่ดี จึงรีบเอ่ยประกาศผล
ในความเป็นจริงแล้ว นี่ก็เป็นเจตนาของราชาลู่อวิ๋นด้วย
“พลังของคนทั้งสองไม่ได้อยู่ในระดับขั้นเดียวกัน จ้าวเฟิงใช้เพียงแก่นพลังฝึกฝนร่างกายที่สูงส่งนั่น ก็สามารถข่มอวิ๋นหู่ได้แล้ว…” ราชาลู่อวิ๋นลอบถอนหายใจ
ในขณะที่ประลองกันนั้น เขาเห็นได้อย่างชัดเจนว่าหวงอวิ๋นหู่เคยพยายามโจมตีกลับ โดยเตะเข้าใส่จ้าวเฟิง แต่ว่าร่างกายของจ้าวเฟิงไม่กระเทือนแม้แต่น้อย หนำซ้ำยังไม่บาดเจ็บอะไรเลยด้วย
ซึ่งนั่นก็แปลว่า ไม่ว่าจะความเร็ว พลัง หรือว่าการป้องกันของจ้าวเฟิง ก็ล้วนแต่อยู่ในช่วงสุดยอดของขอบเขตเดียวกันแล้ว
ราชาลู่อวิ๋นยังสังเกตเห็นว่า การลงมือของจ้าวเฟิงดูสบายๆ เหมือนยังมีอะไรที่เก็บงำเอาไว้อยู่อีก
“จ้าวเฟิงผู้นี้แข็งแกร่งยิ่งนัก!” หลิ่วเทียนฝานมีสีหน้าเคร่งขรึม ในแววตากลับปรากฏจิตต่อสู้ขึ้น
มาจนถึงช่วงหลังๆ ลานประลองทางทิศใต้ก็มีเพียงจ้าวเฟิงและหลิ่วเทียนฝาน รวมไปถึงคนอีกจำนวนไม่มากที่ยังมีชัยชนะติดต่อกันไม่ขาด
อัจฉริยะส่วนหนึ่งที่ถูกคัดออกไปคือคนที่แพ้ติดกันเจ็ดครั้ง หรือไม่ก็แพ้สะสมครบยี่สิบครั้ง
บรรดาลูกศิษย์คนสำคัญในลานประลานฝั่งใต้ล้วนแต่ตั้งหน้าตั้งตารอคอยการประลองของหลิ่วเทียนฝานและจ้าวเฟิง
จากการที่ลูกศิษย์ส่วนหนึ่งโดนคัดออกไป ทำให้โอกาสที่คนทั้งสองจะได้พบหน้ากันมีมากขึ้นเรื่อยๆ
ในที่สุด ขณะที่จ้าวเฟิงชนะติดกันสามสิบครั้ง เขาจึงได้เผชิญหน้ากับหลิ่วเทียนฝาน
การประลองครั้งนี้ได้รับความสนใจจากคนในที่ดังกล่าว แม้กระทั่งราชันทั้งสองคนในมิติลี้ลับยังมองดูอย่างสนอกสนใจ
“พลังฝึกตนของหลิ่วเทียนฝานผู้นี้อยู่ในขั้นยอดผู้สูงศักดิ์ระดับสุดยอด ข้าไม่สามารถใช้พลังสำนึกรู้ แล้วก็ไม่อาจใช้สายเลือดดวงตาได้โดยง่าย…”
จ้าวเฟิงเริ่มรู้สึกถึงความยากลำบากเป็นครั้งแรก