บทที่ 812 รวมหัวโจมตี
เมี้ยว เมี้ยว!
เจ้าแมวขโมยตัวน้อยปรากฏกายขึ้นในฉับพลัน กะพริบตามองสิ่งของที่ทิ้งไว้บนร่างของครงกระดูกสีทองอย่างประเมิน
เข็มขัดสีทองหม่น เครื่องประดับจมูกสีทองแดง และรองเท้าหนังสีเขียว
“แมวขโมย เลือกๆ มาเถอะ” จ้าวเฟิงอมยิ้มเอ่ย
จากท่าทางและอารมณ์ เขาก็พอจะสามารถตัดสินได้ว่า อย่างน้อยๆ แล้วเจ้าแมวขโมยตัวน้อยนี้ก็ค่อนข้างสนใจหนึ่งในของพวกนี้
ในชีวิตนี้ ‘กายสายฟ้าปฐพีทอง’ ที่จ้าวเฟิงฝึกฝนทำให้ต้องการอาวุธศักดิ์สิทธิ์ลดน้อยลง
เขามี ‘ธนูเหนือนภา’ และ ‘หอกจักรพรรดิเหมันต์’ ที่เพิ่มความแข็งแกร่งแล้วก็เพียงพอ
เมี้ยว~
เจ้าแมวขโมยตัวน้อยพลิกตัวกลางอากาศ ร่อนกายลงบนเข็มขัดทอง แล้วใช้กรงเล็บเกี่ยวน้อยๆ ระลอกแสงสีเทาเงินจากกรงเล็บแมวแทรกเข้าไปในเข็มขัด
พรึ่บ! เข็มขัดสีทองหม่นเส้นนั้นเปลี่ยนรูปลัษณ์เป็นแส้มังกรสีทองเข้มที่มีชีวิตชีวา บิดตัวไปมากลางอากาศ
เมี้ยว!
เจ้าแมวขโมยตัวน้อยโบกกรงเล็บ แส้มังกรสีทองเข้มกลายเป็นเงาแสงมังกรยาวหลายสิบจั้งตัวหนึ่ง ส่งเสียงร้องคำรามน่าหวาดกลัว พลังที่ไร้รูปร่างทำให้ภูติปีศาจโบราณทั้งหลายที่อยู่แถวนั้นอกสั่นขวัญแขวน
ในตอนนี้
เงาแสงมังกรทองตัวนั้นปรารถนาจะทะยานสู่ฟ้า ในชั้นเมฆที่สว่างเรืองรองเกิดสัญญาณเตือนต่างๆ นานา
“มรดกแส้มังกรทองสีเข้มเส้นนั้น เกรงว่าไม่ด้อยไปกว่า ‘กระบี่ฟ้าดิน’ ด้วยซ้ำไป…”
หนานกงเซิ่งอดจะเปลี่ยนสีหน้าไม่ได้
เมี้ยว เมี้ยว!
เจ้าแมวขโมยตัวน้อยพึงพอใจยิ่ง สะบัดมือครั้งหนึ่ง เงามังกรทองตัวนั้นก็หดกลับอย่างรวดเร็ว กลายเป็นเพียงสร้อยสีทองเข้มเส้นเล็กเลอค่าแขวนอยู่บนคอของเจ้าแมว
เห็นได้ชัดว่าแส้สีทองเข้มนี้มีพลังในการเปลี่ยนสภาพโลหะ
“เจ้าแมวขโมย นับว่าเจ้าเลือกได้เก่ง…” จ้าวเฟิงดึงหูของเจ้าแมวเบาๆ
ไม่ต้องพูดเลยว่า ของที่ล้ำค่าที่สุดในสามสิ่งนี้ถูกมันฉกชิงเอาไปแล้ว ส่วนของสองชิ้นที่เหลือคือห่วงประดับจมูกและรองเท้า
แววตาของจ้าวเฟิงหยุดที่รองเท้าสีเขียว และลองสวมใส่มัน
“เอ๊ะ!”
เมื่อจ้าวเฟิงสวมใส่รองเท้าโดยที่ยังไม่ทันได้โคจรปราณที่แท้จริง ก็สัมผัสได้ว่าร่างก็เบาลง ความเร็วและความปราดเปรียวก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก
วิ้ง พรึ่บ!
ปราณที่แท้จริงของวายุอัสนีธาตุน้ำของจ้าวเฟิงหลอมรวมเข้าไปในรองเท้า
วูบ! รองเท้าโบราณสาดลำแสงสีฟ้าสว่างเจิดจ้าออกมา พาจ้าวเฟิงลอยออกไปเกือบร้อยจั้ง
“เร็วจริงๆ!” จ้าวเฟิงตื่นตกใจ
จากการวิเคราะห์ในขั้นต้น รองเท้าคู่นี้เป็นสมบัติที่อยู่ในประเภทส่งเสริม ไม่มีพลังโจมตีอะไร แต่ระดับขั้นของมันเกือบเท่าชั้นนภา
คุณประโยชน์ของรองเท้าคู่นี้ทำให้จ้าวเฟิงพึงพอใจอย่างยิ่ง
เมื่อมีรองเท้าคู่นี้ ความเร็วของจ้าวเฟิงจะเพิ่มขึ้นมาก สามารถเพิ่มการปลดปล่อยพลังสายเลือดที่เปลี่ยนไปและแก่นแท้ของกายศักดิ์สิทธิ์
อีกอย่าง
นอกจากที่รองเท้าคู่นี้ยังมีพลังการป้องกันด้วยระดับหนึ่ง ความเร็วที่เกิดขึ้นรับมือกับสถานกาณ์เร่งด่วนต่างๆ ได้ และแน่นอนว่าจ้าวเฟิงยังคงสำรวจหาพลังของรองเท้าโบราณคู่นี้
เขามักจะรู้สึกว่ามันมีความสัมพันธ์เกี่ยวโยงกับวิวัฒนาการของเผ่าพันธุ์ความลับสวรรค์ อย่างน้อยก็มีรูปแบบที่ค่อนข้างจะใกล้เคียงกัน
“หนานกงเซิ่ง เครื่องประดับจมูกนี้ข้ายกให้เจ้าแล้วกัน…”
จ้าวเฟิงระบายยิ้ม แล้วมอบเครื่องประดับจมูกให้กับหนานกงเซิ่งที่ชะงักค้างอย่างใจกว้าง
ล้วนเป็นสิ่งของที่หลงเหลืออยู่บนร่างของโครงกระดูกทอง พลังของเครื่องประดับจมูกน่าจะไม่เลวนัก
หนานกงเซิ่งรับห่วงประดับจมูกมา แล้วจึงแนบมันไว้บนจมูกตน ก่อนหลอมรวมปราณที่แท้จริงและพลังของราชัน ทันใดนั้นเอง แววตาของหนานกงเซิ่งฉายประกาย ก่อนมองไปที่จ้าวเฟิงอย่างซาบซึ้งใจ ต่อจากนั้น หนานกงเซิ่งจึงประดับมันไว้บนจมูกของตนเองอย่างรวดเร็ว
จมูกที่เดิมสูงโด่ง หลังจากที่ประดับห่วงทองแดงนี้ไปแล้ว ก็เพิ่มกลิ่นอายความชั่วร้ายขึ้นไปอีกหลายส่วน
“หนานกงเซิ่ง เครื่องประดับจมูกนี้มีผลอย่างไร…” ใบหน้าของจ้าวเฟิงเกร็งขึ้นเล็กน้อย
‘หนานกงเซิ่ง’ ในตอนนี้ใส่ห่วงประดับจมูกไปแล้ว บุคลิกท่าทางของเขาก็เปลี่ยนไป
“เครื่องประดับจมูกชิ้นนี้ บางทีอาจจะไม่มีประโยชน์อะไรกับเจ้ามากนัก แต่ว่ากลับเพิ่มความสามารถทางสายเลือดอย่างหนึ่งให้แก่ข้า…”
หนานกงเซิ่งยิ้มอย่างมีเลศนัย แต่ไม่อธิบายอะไรเพิ่มเติมอีก
จ้าวเฟิงจึงคาดเดาว่าเครื่องประดับนี้คงจะส่งผลช่วยเพิ่มพลัง
ในความเป็นจริงแล้ว ของสามชิ้นข้างต้นสวมใส่บนร่างของโครงกระดูกทองตลอดเวลาเพื่อส่งผลช่วยเสริมเป็นหลัก
ภายในป่าโบราณ จ้าวเฟิงและหนานกงเซิ่งไม่พูดอะไรอีก เริ่มสำรวมจิตใจฝึกตน
จากโอกาสครั้งใหญ่ของมิติเทพลวงตา พลังของคนทั้งสองเพิ่มขึ้นก้าวกระโดดราวติดปีกบิน
“ไม้หล่อเลี้ยงวิญญาณ!”
ในมือของจ้าวเฟิงปรากฏท่อนไม้สีเขียวแวววาว ลวดลายด้านบนละเอียดถี่ยิบ สาดซัดระลอกพลังวิญญาณแขนงพฤกษาที่บริสุทธิ์ออกมา
ทันใดนั้นเอง จ้าวเฟิงกระตุ้น ‘วิชาหมื่นห้วงคิดเซียน’ ดูดซึมพลังวิญญาณและชีวิตในไม้ดังกล่าว
เมื่อได้ความช่วยเหลือจากท่อนไม้ ดวงวิญญาณของจ้าวเฟิงก็ได้รับการหล่อเลี้ยงและเพิ่มความแข็งแกร่ง
ในระดับความลึกซึ้งของศาสตร์วิญญาณ จ้าวเฟิงอยู่เหนือกว่าจักรพรรดิชั้นยอดบางส่วน เป็นรองเพียงแต่จักรพรรดิแห่งความตายเท่านั้น
จากนั้นจ้าวเฟิงจึงใช้จิตใจหนึ่งทำหลายอย่าง
“แก่นผลึกขั้นราชัน”
ในมือของจ้าวเฟิงปรากฏแก่นผลึกสีม่วงที่มืดมิดไร้ก้นบึ้ง ซึ่งก็คือแก่นผลึกของสิงโตวายุอัสนีนั่นเอง
แก่นผลึกนี้สอดคล้องกับคุณลักษณะวายุและอัสนีพอดี
วายุอัสนีธาตุน้ำที่เขาฝึกฝนในยามก่อน ยังขาดธาตุน้ำอย่างหนึ่งไป
“จิตนทีเทพ!”
จ้าวเฟิงระบายยิ้มออกมาน้อยๆ เบื้องหน้ามีกลุ่มก้อนสีฟ้าสว่างขนาดประมาณกำปั้นลอยล่อง
จิตนทีเทพชิ้นนี้คือของที่เขาฉกมาจากหญิงงามลำดับหนึ่งของตระกูลเจียงอย่าง ‘เจียงเฟยเสวี่ย’
ต่อจากนี้ วายุอัสนีธาตุน้ำที่จ้าวเฟิงฝึกฝนจะเพิ่มระดับขึ้นไปอย่างไร้ซึ่งอุปสรรคใด สิ่งที่ต้องการก็เพียงแค่ระยะเวลาส่วนหนึ่งเท่านั้น
ในขณะที่เวลาเคลื่อนคล้อยไป กลิ่นอายพลังฝึกตนบนร่างของจ้าวเฟิงเพิ่มขึ้นไม่หยุดด้วยความเร็วในระดับที่สัมผัสได้ อีกทั้งระลอกพลังวิญญาณที่ไร้รูปร่างบนกายก็เพิ่มขึ้นด้วย ระดับความแข็งแกร่งของใจกลางวิญญาณจ้าวเฟิงสูงส่งมาก ระลอกพลังที่สาดซัดออกมา กระทั่งหนานกงเซิ่งที่อยู่ข้างๆ ยังต้องตื่นตกใจ
‘ดูแล้วจ้าวเฟิงผู้นี้ ‘เปลี่ยนร่างถือกำเนิดใหม่’ จริงๆ ด้วย’
หนานกงเซิ่งคาดเดาในใจ
ในพื้นที่ชังไห่ ‘เทพราชาดวงตาซ้าย’ ชื่อเสียงขจรขจายไปทั่วสามดินแดนจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ แต่คิดไม่ถึงว่า ผู้ถูกเลือกที่มีความสามารถกระเทือนฟ้าดินผู้นี้จะตกอับรวดเร็วเช่นนี้
“จ้าวเฟิง ไม่ใช่ว่าเจ้าสังหารจักรพรรดิแห่งความตายแล้วหรือ? ว่ากันว่า เจ้ายังเคยปรากฏตัวที่สามดินแดนศักดิ์สิทธิ์ด้วย ทำไมเจ้า…”
หนานกงเซิ่งอดจะแปลกใจไม่ได้
ตำนานของจ้าวเฟิงในตอนนั้น แม้กระทั่งเขายังทำได้เพียงแหงนหน้ามอง
“ ‘คำสาปมรณะ’ ที่เป็นคำสาปก่อนตายของจักรพรรดิแห่งความตาย ต่อให้เป็นเซียนหรือครึ่งเซียนก็ยากจะแก้ไขได้ ข้าเองก็จ่ายค่าตอบแทนไปมากมาย ถึงจะสามารถปลดเปลื้องมันออกไปได้…”
จ้าวเฟิงฝึกฝนไปพลาง เอ่ยพึมพำไปพลาง
หนานกงเซิ่งใจสั่นระรัว เกรงว่าเรื่องเบื้องหลังนี้น่าจะมีคนรู้ไม่กี่คนเท่านั้น
ถ้าหากไม่ใช่เพราะว่า ‘คำสาปมรณะ’ นั่น จ้าวเฟิงในตอนนี้จะเติบโตไปจนถึงระดับขั้นไหนกัน?
หนานกงเซิ่งเคยได้ยินเรื่องคำสาปมรณะมาบ้าง ที่จ้าวเฟิงสามารถปลดเปลื้อง ‘คำสาปมรณะ’ นี้ได้ เดิมก็เป็นเรื่องที่มหัศจรรย์อย่างหนึ่ง
ในวันนี้จ้าวเฟิงเปลี่ยนร่างฝึกตนใหม่ ยากที่คาดคิดได้ว่า เขาจะใช้กลวิธีใดสร้างชื่อเสียงและความเกรียงไกรขึ้นมา
หนานกงเซิ่งอดจะตื่นเต้นและกระตือรือร้นไม่ได้ คาดไม่ถึงว่าตนเองจะได้ร่วมมือกับ ‘เทพราชาดวงตาซ้าย’ ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังสะเทือนไปทั่วชังไห่
“จ้าวเฟิง เจ้าวางใจเถอะ ข้าหนานกงเซิ่งจะไม่เป็นภาระให้เจ้าแน่!”
หนานกงเซิ่งสูดหายใจลึก
เขาได้คาดเดาเอาไว้แล้วว่า หนทางในการฝึกตนใหม่ของจ้าวเฟิงจะยิ่งใหญ่เกินต้านทาน ถึงจะเป็นในราชวงศ์แห่งดินแดนทวีป ก็เกรงว่ามีอัจฉริยะไม่กี่คนเท่านั้นที่พอจะยกมาเปรียบกับจ้าวเฟิงได้
ขนาดจ้าวหยูเฟยที่ครอบครองสายเลือด ‘เผ่าพันธุ์วิญญาณ’ ยังเคารพบูชาและพึ่งพาจ้าวเฟิง จ้าวหยูเฟยในวันนี้ได้เติบโตไปจนถึงระดับขั้นที่ทำให้หนานกงเซิ่งรู้สึกว่าตนอ่อนแอ เพียงแต่เพราะสถานการณ์ก่อนนี้วุ่นวายอลหม่านเกินไป หรืออาจเพราะเหตุผลอื่นๆ จ้าวเฟิงจึงไม่ได้ทักทายจ้าวหยูเฟย
เพียงพริบตาเดียว เวลาสองสามวันก็ผ่านไป
แคร่ก! ท่อนไม้หล่อเลี้ยงวิญญาณในมือของจ้าวเฟิงแตกออกเป็นชิ้นๆ
“พลังดวงวิญญาณเสถียรภาพอยู่เหนือขอบเขตปราณเทวะขั้นต้น ค่อนไปทางราชันระดับลึกซึ้ง”
จ้าวเฟิงลอบผงกศีรษะ
จากการฟื้นฟูของพลังดวงวิญญาณ พลังจักรพรรดิของเขาค่อยๆ ฟื้นฟูกลับมาสองสามส่วน
ถ้าจะนับเรื่องพลังแล้ว จ้าวเฟิงเทียบเท่าได้กับราชันระดับสุดยอด!
ส่วนในด้านกลวิธีศาสตร์วิญญาณ อัจฉริยะยอดฝีมือในมิติเทพลวงตานี้เกรงว่าไม่มีใครเทียบเท่าเขาแล้ว
ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง
วิ้ง! บนอากาศเหนือศีรษะของจ้าวเฟิง ปรากฏระลอกน้ำวนที่ส่งเสียงโครมคราม ดึงดูดแรงลมและวายุอัสนีธาตุน้ำในฟ้าดินที่ยิ่งใหญ่
“ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงสุดยอด!”
มุมปากของจ้าวเฟิงยกขึ้นเป็นรอยยริ้ม ผงกศีรษะน้อยๆ
วิชาวายุอัสนีของเขาได้มาถึงขั้นที่หก บวกกับระดับพลังของเขา เมื่อได้รับทรัพยากรที่ไม่จำกัด จึงทำให้พลังฝึกตนเพิ่มขึ้นราวติดปีก
ณ เวลานี้ ‘จิตนทีเทพ’ ในมือของจ้าวเฟิงอ่อนแสงลงไปสามสี่ส่วน
จะทะลวงผ่านขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงยังต้องการเวลาอีกช่วงหนึ่งแต่ทว่า นอกจากขาดปราณที่แท้จริงแล้ว ระดับความแข็งแกร่งของเขาเหนือกว่าขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงช่วงต้น
‘ผลไม้จิตวิญญาณ’ ผลนั้นที่กินลงไปในช่วงหลายวันก่อนก็ย่อยไปมากแล้ว
แก่นแท้ชีวิตและร่างกายของจ้าวเฟิง หรือกระทั่งกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ ล้วนแต่เพิ่มความแข็งแกร่งขึ้นอย่างช้าๆ
“ยังขาดไปเพียงเล็กน้อย กายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ก็สามารถทะลวงผ่านขั้นที่สี่ระดับสุดยอด พอถึงตอนนั้น ใช้เพียงแก่นแท้ของกายเนื้อก็อยู่เหนือขอบเขตแก่นก่อกำเนิดทั้งปวง หรือกระทั่งสามารถรับมือกับราชันได้ในระยะเวลาสั้นๆ”
ในแววตาของจ้าวเฟิงฉายแววยินดี
ในช่วงเวลานั้น พลังของหนานกงเซิ่งก็เพิ่มขึ้นไม่น้อยเช่นกัน
พรึ่บ! แสงสีเงินม่วงที่ชั่วร้ายหมุนวนอยู่รอบกายของหนานกงเซิ่ง พลังที่ชั่วร้ายที่สาดซัดถาโถม ทำให้สัตว์อสูรและภูติปีศาจที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงสั่นไหวอย่างหวาดกลัว
พรึ่บ! เรือนผมของหนานกงเซิ่งกลายเป็นสีม่วงอ่อนๆ หว่างคิ้วของเขาเผยตราประทับโลหิตสีม่วงรูปร่างคล้ายพระจันทร์เสี้ยว เหมือนดังตราประทับของมาร
“เรือนผมสีม่วง?”
จ้าวเฟิงชะงักไปเล็กน้อย
ตอนนี้เรือนผมของหนานกงเซิ่งกลายเป็นสีม่วง คนทั้งสองดูไปแล้วเข้าคู่กันยิ่งกว่าเดิม
ในป่าโบราณ
ขณะที่จ้าวเฟิงเตรียมระเบิดพลังเพื่อให้กายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ทะลวงผ่านขั้นที่สี่
“เอ๊ะ?” ห่วงประดับบนใบหน้าของหนานกงเซิ่งสั่นสะเทือนน้อยๆ จมูกเองก็ขยับตามการสั่นสะเทือนของมันเล็กน้อยเช่นกัน
“จ้าวเฟิง เหมือนว่ากลิ่นอายของคนส่วนหนึ่งกำลังใกล้เข้ามาแล้ว…” หนานกงเซิ่งเอ่ย
หรือว่านี่คือความสามารถของเครื่องประดับจมูกชิ้นนั้นของหนานกงเซิ่ง?
จ้าวเฟิงแปลกใจอยู่บ้าง แต่กลับใช้ดวงตาเทพเจ้าสอดส่องบริเวณไกลๆ อย่างไม่รีรอ
“รีบถอย!”
จ้าวเฟิงใจเต้นระรัวเมื่อเห็นเงาของคนไล่ล่าสังหารจำนวนมากกำลังจะล้อมป่าโบราณแห่งนี้เอาไว้
พรึ่บ สวบ! แสงสีเงินม่วงแปลกประหลาดพาคนทั้งสองโบยบินออกจากป่าโบราณแห่งนี้ไป
“เจ้าหัวขโมย ยังไม่ทันได้ทำอะไรก็หนีไปเสียแล้ว!”
คนทั้งสองเพิ่งหนีออกจากป่าโบราณ ก็ต้องเผชิญหน้ากับการไล่ล่าที่พวกเขาคาดไม่ถึงจากราชันผู้หนึ่งและครึ่งก้าวสู่ราชันหลายคน ราชันคนเดียวในนั้นเป็นเด็กหนุ่มผู้หนึ่งของจวนหยวนกงที่เคยล้อมโจมตีจ้าวหยูเฟยมาก่อน
“ช้าก่อน!”
ราชันเด็กหนุ่มผู้นั้นขยับเข้ามาขวางจากด้านข้าง
“ไสหัวไป!” จ้าวเฟิงและหนานกงเซิ่งตะเบ็งเสียงพร้อมกัน
คนทั้งสองในลำแสงสีเงินม่วงไม่มีทางปล่อยหมัดทีละหมัดจนคนกระเด็นออกไป
โครม! พรึ่บ!
แก่นแท้พลังหมัดที่เผาผลาญด้วยเพลิงสีแดงสดและมีดเล็กสีม่วงเงินอัปมงคลครอบคลุมพื้นที่แห่งนั้น
อั๊ก! ร่างเด็กหนุ่มขั้นราชันผู้นั้นถูกกระแทกจนกระเด็นออกไป กระอักเลือดออกมาในทันที ใบหน้าซีดขาวราวกระดาษ ไม่อาจลุกขึ้นยืนได้ในทันที
ส่วนครึ่งก้าวสู่ราชันที่เหลือยังไม่ทันได้เข้าใกล้ ก็ถูกคลื่นพายุรุนแรงพัดจนปลิวออกไปไกล
“ผมของหัวขโมยสองคนนั้นกลายเป็นสีม่วงกันทั้งคู่แล้ว…การเพิ่มขึ้นของพลังชวนให้ตกตะลึงอย่างยิ่ง!”
คนที่ไล่ตามมาทีหลังมองเห็นภาพเหตุการณ์นี้ หน้าจึงถอดสีกันหมด