บทที่ 826 ปะทะกับซินอู๋เหินอีกครั้ง
มีเพียงแค่ซินอู๋เหินที่มองพลังส่วนที่แฝงอยู่ในลูกเตะนี้ของจ้าวเฟิงออก
ถ้าหากพึ่งเพียงแรงหยาบๆ เท่านั้น แรงโต้กลับที่หนาวเหน็บและแข็งแกร่งของวัสดุ ‘โลงศพทองแดงโบราณ’ ก็มากพอทำให้ราชันปราณเทวะได้รับบาดเจ็บ
ต่อให้กายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ของจ้าวเฟิงแข็งแกร่งก็ยากที่จะอยู่รอดปลอดภัยได้
แต่ทว่า การเตะโครมของเขาโดนช่องโหว่ของพลังป้องกัน ‘โลงศพโบราณ’ พอดี จึงสามารถเอาพลังมหาศาลของแก่นแท้ร่างกายสะเทือนเข้าไปถึงจุดเชื่อมต่อของฝาโลงศพ
ในเวลาเดียวกัน รองเท้าโบราณสีเขียวใต้ฝ่าเท้าของจ้าวเฟิงก็มีประโยชน์ในการป้องกันระดับหนึ่ง
ส่วนแรงหนาวเหน็บที่โต้กลับมาของ ‘ทองแดงเหมันต์ทมิฬ’ ถูกพลังแข็งกล้าของสายเลือดเพลิงมารโลหิตที่เปลี่ยนแปลงไปของจ้าวเฟิงต้านทานและทำลาย
“เป็นพลังเหมันต์ที่ทรงพลังนัก”
ร่างของจ้าวเฟิงสั่นไหวเล็กน้อย สัมผัสได้ถึงพลังชั่วร้ายที่แกร่งกล้าซึ่งแฝงอยู่ในวัสดุของตัวโลงศพโบราณ แต่ของชิ้นนี้ไม่มีประโยชน์อะไรกับเขานัก สมบัติศาสตร์วิญญาณภายในโลงศพถึงจะเป็นสิ่งที่จ้าวเฟิงสนใจ
“ย้าก!”
เท้าที่สองกลางอากาศของจ้าวเฟิงมีพลังที่รุนแรงอย่างมาก กระทืบลงบนจุดเชื่อมต่อกับฝา ‘โลงศพโบราณ’
ตุบ! ครั้งนี้ โลงศพโบราณนั่นถูกจ้าวเฟิงใช้เท้ากระทืบจนเปิดอ้าออกมากกว่าครึ่ง
พู่ว! ไอชั่วร้ายสว่างเจิดจ้าทะลวงขึ้นฟ้า ทำให้ทั่วทั้งสุสานใต้ดินที่มืดสนิทมีแสงสว่างมืดมิดเกี่ยวกระหวัดกันไปมา
ภายในโลงศพเผยให้เห็นโครงกระดูกที่กระจัดกระจายร่างหนึ่ง
หนึ่งในนั้น ชุดคลุมไหมเมฆามีขนาดใหญ่ที่สุด โดดเด่นสะดุดตาที่สุด ทั่วทั้งผืนมีระลอกแสงสีเขียวประกาย ปูแผ่อยู่ใต้โครงกระดูก
จากนั้นยังมีหยกประหลาดขนาดประมาณฝ่ามือทารก สาดกลิ่นหอมอบอุ่นอ่อนโยนทั่วทั้งภายในโลงศพ นอกจากนี้แล้ว ยังมีของที่ฝังรวมกับศพและเครื่องประดับที่กระจัดกระจายไปทั่ว ซึ่งไม่ใช่ของธรรมดา
“ผู้เยาว์! อย่าหวังจะได้สมบัติไปเพียงคนเดียว!”
ภายใต้การร่วมมือกันของชายวัยกลางคนชุดเหลืองและพวก พลานุภาพของราชันทั้งสามทะลวงเข้าไปภายในเขตแดนเงาสีน้ำตาลเหลืองชั้นหนึ่ง
โครม! จ้าวเฟิงและหนานกงเซิ่งร่างกายหนักอึ้ง ปะทะเข้ากับสามราชันในระยะประชิด
“เอ๊ะ! สมบัติศาสตร์วิญญาณชิ้นนั้นอยู่ที่ไหน?”
จ้าวเฟิงสัมผัสได้ถึงพลังดวงวิญญาณชั่วร้ายจากสมบัติชิ้นนั้น แต่ไม่เจอเป้าหมาย
โครม! ระหว่างการต่อสู้ ฝาโลงศพโบราณพลิกออก ปรากฏหินสีดำมืดสนิทชิ้นหนึ่งที่ฝังอยู่ด้านบน
“เป็นหินสะกดวิญญาณ!
องค์ชายแปดและลั่วจุน ทันใดนั้นก็ไม่สนใจซินอู๋เหิน และโบยบินไปยังโลงศพเบื้องหลัง
ความเป็นจริงแล้ว
โลงศพโบราณอยู่ใกล้ซินอู๋เหินที่สุด แต่ทว่าถูกโครงกระดูกครึ่งร่างขวางทางอยู่ จ้าวเฟิงและพวกจึงอ้อมเข้าไป
ในเวลานี้ โครงกระดูกครึ่งร่างถูกผนึกไปประมาณหนึ่งแล้ว ซินอู๋เหินจึงหมุนกายเข้าไปช่วงชิงสิ่งของภายในโลงศพบ้าง
เพล้ง เปรี้ยง!
ยามนี้ การประมือกันของราชันจำนวนมากยิ่งโกลาหลรุนแรงขึ้นทุกที สมบัติส่วนหนึ่งปลิวว่อนไปกลางอากาศในขณะที่ต่อสู้
“ที่แท้ก็เป็นหินสะกดวิญญาณนี่เอง มิน่าล่ะจึงสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณมืดมิดที่สะพรึงขวัญเช่นนี้”
จ้าวเฟิงไม่สนใจในสมบัติล้ำค่าชิ้นอื่น
“กายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์!”
แก่นแท้ร่างกายราวโลหะเงินเหลือบฟ้าของจ้าวเฟิงขยายออกหลายส่วนในฉับพลัน ลายสายฟ้าของแก่นแท้พลังไร้รูปร่างก็ขยายออกรอบพลังที่เกี่ยวกระหวัดกัน
โครม! รองเท้าโบราณสีเขียวของเขาเปล่งแสงเรืองรอง แก่นแท้พลังที่รุนแรงประหนึ่งวัวบ้าพุ่งโจมตี กระแทกราชันสองคนใกล้ๆ กระเด็นออกไปไกล
ถัดจากนั้น จ้าวเฟิงยื่นมือออกมาคว้า ‘หินสะกดวิญญาณ’ เอาไว้
หินสะกดวิญญาณสาดซัดไอมืดมิดสะพรึงขวัญออกมามหาศาล ราชันทั่วไปไม่กล้าจะเข้าใกล้
จ้าวเฟิงใช้แก่นแท้ร่างที่แข็งแกร่งคว้าหินสะกดวิญญาณเอาไว้ ส่วนพลังดวงวิญญาณของตัวเองต้านทานการโจมตีกัดกร่อนของแรงวิญญาณทมิฬที่อยู่ในนั้น
“ช่างเป็นพลังวิญญาณทมิฬที่แข็งแกร่งเหลือเกิน!”
ดวงวิญญาณของจ้าวเฟิงต้องแบกรับการโจมตีกัดกร่อนระลอกแล้วระลอกเล่า
เพียงพลังวิญญาณที่หลงเหลืออยู่หลายเส้นสาย ก็ทำให้ราชันหลายคนในบริเวณใกล้เคียง จิตใจว้าวุ่น ดวงวิญญาณถูกกัดกร่อน เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ราชันหลายคนที่อยู่แถวนั้นทิ้งระยะห่างของตนกับจ้าวเฟิงเอาไว้
องค์ชายแปดและพวกมีท่าทีราวกับเห็นสัตว์ประหลาดอย่างนั้น ‘หินสะกดวิญญาณ’ ชิ้นนั้นกดข่มและดูดซึมเอาพลังวิญญาณชั่วร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนเอาไว้ หากเก็บไว้ข้างกายเกรงว่าจะกระทบต่อการฝึกตน ก่อให้เกิดจิตมาร ส่งผลเสียและไม่มีประโยชน์ใด
คนอื่นๆ ต่างหลีกหนีห่างออกจากหินสะกดวิญญาณ มีเพียงจ้าวเฟิงที่จงใจฉกชิงเอาเผือกร้อนลวกมือชิ้นนี้
“หึหึ เผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ขลาดเขลา! ร่างกายร่างนี้ของเจ้าเหมือนว่าจะไม่เลว…”
ในหินสะกดวิญญาณส่งเสียงชั่วร้ายเหี้ยมเกรียมมา
เจ้าของน้ำเสียงนั้นคือพลังกายวิญญาณที่เป็นเศษเสี้ยวกลุ่มหนึ่ง ลักษณะเหมือนกับสภาวะของเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิง
“เศษเสี้ยววิญญาณเซียน!”
ซินอู๋เหินหน้าถอดสีเล็กน้อย และจึงทิ้งระยะห่างกับหินสะกดวิญญาณเอาไว้ ไปแย่งชิงเอาสมบัติชิ้นอื่นๆ
“เฮอะ…เจ้าหัวขโมยคนนี้โง่งมเสียจริง เสียเวลานานสองนาน เอาแต่พัวพันกับ ‘หินสะกดวิญญาณ’ ที่ยากจะจัดการ”
ชายวัยกลางคนชุดเหลืองและพวกดูจะยินดีที่เห็นอีกฝ่ายเดือดร้อน
ในหินสะกดวิญญาณเก็บเศษเสี้ยววิญญาณเซียนเอาไว้ ถึงจะเป็นเศษเสี้ยววิญญาณที่มีพลังอ่อนแอ แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่คนในขั้นราชันจะไปยั่วโมโหได้
ผลัวะ โครม!
ชั้นวิญญาณสั่นสะท้านอย่างรุนแรง เกิดเหตุการณ์ประหลาดที่เขย่าฟ้าดิน ‘เศษเสี้ยววิญญาณเซียน’ ที่ถูกผนึกเอาไว้ด้านในหินชิ้นนั้น หอบเอาสำนึกรู้ที่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขตมา ยิ้มเจ้าเล่ห์พลางพุ่งเข้าไปที่ร่างกายของเจ้ามนุษย์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดร่างนี้
“ความผิดที่เจ้าทำใหญ่หลวงนัก สมควรตาย!”
ในแววตาของลั่วจุนเผยแววเย็นชาเยาะเย้ย
เปรี้ยง!
ในเวลานี้เอง ยอดฝีมือคนอื่นๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์แย่งกันโบยบินไปฉกชิงสมบัติล้ำค่ากลางอากาศ
ทุกคนต่างพร้อมใจกันทิ้งระยะห่างออกจากจ้าวเฟิง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้พลังชั่วร้ายใน ‘หินมาร’ แทรกซึมเข้าไปภายในร่างกาย
หนานกงเซิ่งกำลังรวบรวมพลังฉกชิง ‘ชุดคลุมไหมเมฆา’ ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด
ความเร็วในการโจมตีของเขาล้วนอยู่ในชั้นยอด ถ้าหากว่ามีสมบัติด้านการป้องกันอีกก็จะสมบูรณ์แบบ
ที่จริงแล้ว หนานกงเซิ่งยังกังวลในสถานการณ์ของจ้าวเฟิง แต่ในสมองกลับมีเสียงแว่วมาว่า ‘ไม่ต้องสนใจข้า’
น้ำเสียงนี้มั่นคงราบเรียบอย่างยิ่ง
หนานกงเซิ่งสัมผัสได้ถึงความมั่นใจอย่างประหลาด ในใจแน่วแน่ขึ้นมาอย่างฉับพลัน จากนั้นไปช่วงชิงชุดคลุมไหมเมฆา
เขาเคยคาดการณ์เอาไว้ว่า ‘เทพราชาดวงตาซ้าย’ ที่มีชื่อเสียงกระเทือนชางไห่ ยามรุ่งโรจน์ที่สุดจะถึงขั้นข่มเซียนในขอบเขตเทวาเร้นลับได้
“ฮี่ฮี่…”
ขณะส่งยิ้มชั่วร้าย เศษเสี้ยววิญญาณเซียนผู้นั้นก็บุกทะลวงเข้าไปในโลกทะเลวิญญาณของจ้าวเฟิง
ภายในมิติดวงตาซ้าย ทะเลวิญญาณสีม่วงของจ้าวเฟิงมีขนาดถึงสองสามร้อยจั้ง พื้นที่ใจกลางมีทะเลสาบสีฟ้าสว่างแห่งหนึ่ง
“เอ๊ะ! ไม่ใช่สิ…”
เมื่อเศษเสี้ยววิญญาณเซียนทะลวงเข้าไปภายในโลกทะเลวิญญาณของจ้าวเฟิง หน้าเปลี่ยนสีไปเมื่อถูกกลิ่นอายอัสนีเทวะที่เป็นอมตะเขย่าขวัญ
“เป็นเศษเสี้ยววิญญาณเซียนที่อ่อนแออะไรเช่นนี้ ตายซะ!”
จ้าวเฟิงหัวเราะเสียงเย็น
ห้วงความคิดของเขากระตุกเล็กน้อย แล้วในทะเลวิญญาณสีม่วงก็ปรากฏระลอก ‘พลังอัสนีเทวะ’ สองร้อยเส้นสายสว่างวาบขึ้นมาทันใด
“อะไรกัน! กลิ่นอายของด่านเคราะห์เซียน…”
เศษเสี้ยววิญญาณเซียนผู้นั้นตกใจจนขวัญหาย อุทานออกมา
โครม! เหมือนสายอัสนีนับหมื่นฟาดลงมา ‘เศษเสี้ยววิญญาณเซียน’ กรีดร้องเสียงดัง และกลายเป็นฝุ่นธุลีไปในทันที
เศษเสี้ยววิญาณเซียนร่างนี้อ่อนแอยิ่งกว่าเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงในตอนนั้นเสียอีก แข็งแกร่งกว่าเศษเสี้ยวห้วงคิดครึ่งเซียนในตอนที่เพิ่งจะปรากฏกายขึ้นในตอนแรกไม่มากเท่าไหร่นัก เพียงแต่ว่าสำนึกรู้สูงส่งลึกล้ำ แต่จงใจสร้างภาพ
มันไม่ควรทะลวงเข้าไปภายในโลกทะเลวิญญาณของจ้าวเฟิงจริงๆ
‘พลังจักรพรรดิ’ ของจ้าวเฟิงไม่ได้ฟื้นฟูกลับคืน ยังโคจรพลังอัสนีเทวะได้ค่อนข้างจำกัด แต่ว่าอีกฝ่ายรุกล้ำเข้ามาภายในโลกทะเลวิญญาณก็ไม่เหมือนกันแล้ว ถึงขั้นที่ว่าเผชิญหน้ากับการโต้กลับของพลังอัสนีเทวะด้วย
เพียงห้วงความคิดเดียว จ้าวเฟิงก็สามารถทำให้มันสูญสลายกลายเป็นเถ้าธุลีได้
การกระทำเช่นนี้สะเทือนเศษเสี้ยวดวงวิญญาณชั่วร้ายอื่นๆ ใน ‘หินมาร’ ด้วย
เพราะกลิ่นอายพลังวิญญาณของหินมาร เชื่อมต่อโยงใยผ่านโลกทะเลวิญญาณของจ้าวเฟิง พวกเศษเสี้ยวดวงวิญญาณชั่วร้ายที่เหลือจึงตกใจจนอยู่ไม่เป็นสุข
พรึ่บ! จ้าวเฟิงกำหินมารไว้แน่น และเก็บมันเข้าไปภายในแหวนเหล็กโบราณ
เวลานี้ การช่วงชิงแถวโลงศพโบราณยังไม่จบลง
เป้าหมายขององค์ชายแปดและลั่วจุนคือตัวของโลงศพ จึงต่อสู้พัวพันกับชายวัยกลางคนชุดเหลืองและพวกอย่างไม่ลดละ
ซินอู๋เหินใช้พลังที่แข็งแกร่งครอบครองหยกประหลาดที่แผ่กลิ่นหอมอบอุ่นอ่อนโยนได้เป็นผลสำเร็จ
ความสามารถพิเศษของหนานกงเซิ่งทำให้มีโอกาสมากกว่า ครอบครอง ‘ชุดคลุมไหมเมฆา’ ที่มีมูลค่าสูงส่งได้เป็นผลสำเร็จ
ในเวลานี้เอง ชิ้นส่วนโลงศพที่มีขนาดใหญ่ที่สุดส่วนหนึ่ง ถูกองค์ชายแปดและลั่วจุนแบ่งส่วนกันไป
ชายวัยกลางคนชุดเหลืองและพวกไม่อาจต้านทานองค์ชายแปดและพวก ทู่ซี้จนครอบครองฝาโลงแผ่นหนึ่ง
ต่อจากนั้นไปคือการช่วงชิงสิ่งของที่ฝังลงไปภายในโลงศพ ทั้งหมดล้วนพึ่งพาโชคชะตาและความสามารถ
“ซินอู๋เหิน เจ้าห้ามปล่อยหัวขโมยสองคนนั้นไป!”
“หัวขโมยผู้นั้นได้ ‘ชุดคลุมไหมเมฆา’ ไปแล้ว เส้นไหมที่ ‘ไหมเมฆาผีเสื้อเซียน’ พ่นออกมาเป็นวัสดุหลักในการสรรสร้าง”
“ชุดคลุมผ้าไหมผืนนี้ถึงแม้จะบางเบา แต่กลับสามารถป้องกันได้อย่างแข็งกล้า น้ำไฟมิอาจกัดกร่อนได้ อาวุธวิเศษยากจะทำลาย มีผลลัพธ์คุ้มกันการโจมตีของธาตุทั้งห้าในระดับหนึ่ง…”
ชายวัยกลางคนชุดเหลืองและพวกมองสบตากันอย่างโกรธแค้น มองไปทางหนานกงเซิ่ง
จ้าวเฟิงผู้เป็นหนึ่งใน ‘มารคู่ผมม่วง’ ถูกเศษเสี้ยววิญญาณเซียนกัดกร่อน เป็นตายอยากจะรับรอง
หากเป็นเช่นนั้น หนานกงเซิ่งที่เหลืออยู่ก็จะรับมือง่ายขึ้น
“เฮอะ!”
ทันใดนั้นเอง พลังกายที่แข็งแกร่งตั้งมั่นอยู่ข้างกายของหนานกงเซิ่ง
“เหตุใดเจ้าจึง…”
ชายวัยกลางคนชุดเหลืองและพวกกายใจหนักอึ้ง มองเด็กหนุ่มผมม่วงที่ปรากฏกายขึ้นในฉับพลันด้วยท่าทียากเกินจะเชื่อ
“เป็นไปได้อย่างไรกัน! การเข้ากัดกร่อนของเศษเสี้ยววิญญาณเซียนไม่มีผลอะไรเลยงั้นรึ?”
องค์ชายแปดและลั่วจุนมีสีหน้าตื่นตระหนก จับจ้องเด็กหนุ่มผมม่วงที่ปลอดภัยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ดูไปแล้ว ตัวของจ้าวเฟิงแทบไม่มีร่องรอยของการโดนรุกล้ำเลยแม้แต่น้อย
สีหน้าอารมณ์และกลิ่นอายพลังของเขายังไม่มีการเปลี่ยนแปลง
หากว่าจ้าวเฟิงโดนรุกล้ำเข้าไปสำเร็จ อาจถูกจิตมารแผ่อิทธิพลเข้าควบคุม ย่อมไม่สงบนิ่งราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเช่นนี้
ภายในระยะเวลาสั้นๆ บรรดาราชันยอดฝีมือจำนวนมากในที่ดังกล่าวต่างก็อกสั่นขวัญแขวน
หลังการกลับคืนมาของจ้าวเฟิง ‘คู่มารผมม่วง’ ที่สมบูรณ์พร้อม พอจะทำให้ฝั่งใดฝั่งหนึ่งในที่นี้เกิดความหวาดกลัว
คนจำนวนมากหวาดกลัวในพลังของหนานกงเซิ่งอย่างมาก
สำหรับการต่อสู้ตัวต่อตัว นอกจากซินอู๋เหินแล้ว คนอื่นๆ ต่างไม่มีหวัง หนำซ้ำเด็กหนุ่มผมม่วงคนนี้ลึกลับเกินจะคาดเดายิ่งกว่า เขาครอบครอง ’หินมาร’ ได้สำเร็จ กระทั่งเศษเสี้ยววิญญาณเซียนเข้าไปภายในร่างกาย ยังเป็นเหมือนหินดิ่งลงในมหาสมุทร
“ไม่ว่าท่านจะเป็นใคร แต่ว่าข้าคนแซ่ซินรับปากว่าจะร่วมเป็นพันธมิตรกับพวกท่านทั้งสาม…”
สีหน้าของซินอู๋เหินเคร่งเครียดขึ้น บนร่างทะลักจิตต่อสู้ออกมา
เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการจะออกหน้าแทนราชันทั้งสามคน
ถึงแม้ว่าเด็กหนุ่มผมม่วงตรงหน้าทำให้เขามองไม่ปรุโปร่ง แต่ยังรู้สึกเหมือนเคยรู้จักในเวลาเดียวกัน
“ซินอู๋เหิน รับฝ่ามือข้าก่อนสิ”
จ้าวเฟิงหัวเราะร่า กระตุ้นแก่นแท้พลังกายศักดิ์สิทธิ์ไปจนถึงขีดสุด ปีกวารีอัสนีรวมกลุ่มกันคล้ายของจริงอยู่ด้านหลัง
ในวินาทีนั้น
ยอดฝีมือจำนวนมากในที่นี้ต่างสัมผัสได้ถึงพลานุภาพของสำนึกรู้ที่มืดฟ้ามัวดิน
โครม! เพียงแก่นแท้พลังของในหมัดธรรมดาของจ้าวเฟิงระเบิดออก กลุ่มเพลิงสีแดงสดลุกโชนขึ้น ปีกวารีอัสนีที่อยู่เบื้องหลังโบยบินโบกสะบัด จนเกิดเป็นสำนึกรู้มหาศาลที่ทะลวงผ่านทั้งฟ้าดิน
ชายวัยกลางคนชุดเหลืองและพวกที่อยู่ใกล้เคียง ประสาทสัมผัสรู้สึกได้ถึงการโจมตีมหาศาลกลุ่มหนึ่ง จึงเกิดเป็นความกระวนกระวาย
ในหมัดที่ดูธรรมดา ยังหลอมรวมไปด้วยเขตแดนศาสตร์วิญญาณที่แข็งแกร่งแห่งหนึ่งด้วย หากเปลี่ยนเป็นราชันทั่วไป เกรงว่าแรงจะโต้กลับยังไม่มี
ใจของซินอู๋เหินสะเทือน หน้าเปลี่ยนสี สูดหายใจเข้าปอดลึก เดินก้าวเท้ามาข้างหน้า โบกมือข้างหนึ่งก็ปรากฏเป็นน้ำวนห้าสี น้ำวนห้าสีนั้นวิจิตรตระการ มีสำนึกรู้แข็งกล้าที่โอบล้อมสรรพชีวิตนับหมื่น
ผลัวะ พรึ่บ!
พลังสองกลุ่มบิดเบี้ยวเข้าหากัน ดูอ้างว้างอย่างประหลาด น้ำวนห้าสีดังกล่าวหมุนวนติดๆ กัน ภายในปั่นป่วนไม่จบสิ้น