บทที่ 827 ใช้ไม้อ่อน
จ้าวเฟิงรู้สึกเหมือนว่าการโจมตีของตนเองตกเข้าไปภายในมหาสมุทรห้าสีขนาดมหาศาล ถูกชะลอแรงโจมตีและหมุนคว้างจนถึงขีดสุด
น้ำวนห้าสีในครรลองสายตา บิ้ดเบี้ยวหมุนวน คลื่นถาโถมเกิดขึ้นภายในเล็กน้อย
เห็นได้ชัดว่า สายเลือดของเพลิงมารโลหิตที่เปลี่ยนแปลงไปของจ้าวเฟิง พลังปะทุเผาไหม้ที่แก่กล้าของมันไม่ได้คลี่คลายแก้ไขได้ง่ายนัก
พรึ่บ! โครม!
พลังสองกลุ่มนั้นเกี่ยวกระหวัดเข้าพัวพันกันกลางอากาศหนึ่งถึงสองช่วงลมหายใจ ระลอกน้ำวนห้าสีในมือของซินอู๋เหิน สั่นสะท้าน และหมุนย้อนไปในทันที
“ปีกอัสนีโบยบิน!”
ปีกอัสนีวารีเบื้องหลังของจ้าวเฟิงโบกสะบัดร่ายระบำ โบยบินไปยังกลางอากาศเหนือซินอู๋เหิน
โครม!
จุดที่จ้าวเฟิงหายตัวไป กลุ่มลำแสงห้าสีที่ส่งเสียงสะเทือนเลือนลั่น กลืนกินเอาสิ่งของในรัศมีหลายสิบจั้งจนหายวับกลายเป็นเพียงความว่างเปล่า แรงโต้กลับธาตุทั้งห้าที่น่าสะพรึง ทำให้คนจำนวนมากในที่นั้นใจสั่นไหวด้วยความหวาดกลัว
เวลาเดียวกันนั้นเอง คนจำนวนมากก็ต้องตื่นตะลึงในความเร็วของปฏิกิริยาตอบโต้ของจ้าวเฟิง
หากไม่เช่นนั้นแล้ว แรงโต้กลับที่กล้าแกร่งนั้นจะทำร้ายราชันในระดับลึกซึ้งได้อย่างแสนสาหัส
“เดาล่วงหน้าไปก่อนงั้นหรือ?”
ซินอู๋เหินขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย ร่างกายที่อยู่ตรงจุดเดิมสั่นไหวเบาๆ แต่ไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย
การประมือกันในครั้งแรก คนทั้งสองยังอยู่รอดปลอดภัย แต่ยังคงมีความหวั่นวิตกอยู่
ต่างกันตรงที่จ้าวเฟิงชิงลงมือก่อน เขตแดนศาสตร์วิญญาณกลายเป็นการโจมตีระลอกแรก ในวินาทีที่แก่นแท้ร่างกายและสายเลือดระเบิดออกนั้นยากที่ต้านทานได้
จ้าวเฟิงเป็นฝ่ายควบคุมสถานการณ์อยู่กลายๆ แต่การโต้กลับของซินอู๋เหินก็น่าหวาดกลัว
“ย้าก!”
หมัดที่สองของจ้าวเฟิงดิ่งลงมาจากฟากฟ้า รองเท้าโบราณสีเขียวครามปลดปล่อยกลุ่มเมฆสีเดียวกัน ปีกอัสนีโบกสะบัด
ทันใดนั้นเอง แก่นแท้ร่างกายราวกับเหล็กของจ้าวเฟิงขยายออกหลายส่วน
ลวดลายสายฟ้าของแก่นแท้ร่างกายที่ไร้รูปร่างกดข่มด้านล่าง ยังไม่ทันปะทะเข้ากับอีกฝ่าย ก็กดดันเลือดลม นำพาความรู้สึกชาวาบมาให้
โครม!
ในวินาทีที่ดิ่งลงมา ทั่วร่างของจ้าวเฟิงอาบอยู่ในไอเพลิงสีแดงสว่างเจิดจ้า เป็นดังเทพสงครามปีกอัสนีเพลิง
การโจมตีในครั้งนี้ ความเร็ว พลัง และการระเบิดของสายเลือดของจ้าวเฟิงไปจนถึงขีดสุด
หนำซ้ำ หลังจากที่จ้าวเฟิงสำแดงวิชาปีกอัสนีโบยบิน ก็ใช้วิธีการลอบโจมตีอย่างรวดเร็วปานสายฟ้า ลงมือกดดันและควบคุมสถานการณ์เอาไว้
สีหน้าของซินอู๋เหินเคร่งเครียด การโจมตีของเด็กหนุ่มผู้นั้นรุนแรง ใช้กำลังกดดันคนอื่น
ถึงแม้ว่าเสวียนอ้าวสำนึกรู้ของเขาจะสูงส่ง แต่กลับถูกจำกัดความสามารถเมื่อเผชิญหน้ากับการระเบิดสายเลือดและแก่นแท้ร่างกายที่ดั้งเดิมที่สุดเช่นนี้
เชว้ง!
ภายใต้การปกคลุมด้วยสายเลือดและร่างกายที่น่าพรั่นพรึง ยังมีการโจมตีของ ‘เขตแดนศาสตร์วิญญาณ’ ที่รวมตัวแกร่งกล้าอย่างยิ่งตามมาด้วย
ผู้แข็งแกร่งอย่างซินอู๋เหิน ในใจยังสั่นสะท้านน้อยๆ โดนผลกระทบรบกวนไปด้วยเช่นกัน
เห็นได้ชัดว่า ระดับของโลกทัศน์และสำนึกรู้ของจ้าวเฟิงต่างก็อยู่ในขั้นที่เกินจะจินตนาการ
“สิ่งที่อ่อนนุ่มที่สุดในใต้หล้า ไม่เกินวารี!”
ซินอู๋เหินจะหลบก็หลบไม่ได้ ขาทั้งสองข้างงอลง มือสองข้างวาดกลางอากาศ ผลักกระแสธารที่หมุนคว้างออกมา ภายในปรากฏเงาบ่อน้ำขนาดใหญ่ที่ลึกล้ำไม่เห็นก้นบึ้ง
ซินอู๋เหินผู้นี้!
จ้าวเฟิงสัมผัสได้เพียงแต่ว่า การระเบิดพลังของสายเลือดและร่างกายที่แข็งแกร่งรุนแรงของตน ก็เหมือนดังชายฉกรรจ์เลือดร้อนผู้หนึ่ง เผชิญหน้ากับหญิงงามสงบนิ่งที่ไร้เรี่ยวแรง
พลานุภาพในกระบวนท่านี้ของเขา เห็นได้ชัดเจนว่าสะสมอัดแน่นราวภูเขาไฟ บวกกับการชิงลงมือในการโจมตีที่รวดเร็ว จึงทำให้เขาเป็นฝ่ายได้เปรียบ
แต่ทว่าวิชาป้องกันทำลายของซินอู๋เหินก็ง่ายดายเช่นนี้…ใช้ความอ่อนโยนปะทะความแข็งแกร่ง
แก่นแท้ร่างกายของจ้าวเฟิงทรงพลังเกินจะเปรียบ พลังสายเลือดค่อนไปทางแขนงอัคคี แข็งกล้าบ้าคลั่ง ระเบิดปะทุลุกไหม้
แต่ว่า พลังที่กล้าแกร่งมากเกินไปนี้ ถูกเขตแดนและเสวียนอ้าวธาตุน้ำที่สูงส่งลึกล้ำของซินอู๋เหินทำลายควบคุมจนถึงขีดจำกัดสูงสุด
ฟุ่บ ฟุ่บ!
เงาสองร่างในอากาศแยกออกจากกันในทันที
จ้าวเฟิงพลิกตัวกลางอากาศ โบยบินไปถึงอีกฝั่งของสุสาน ยิ้มแย้มเล็กน้อย “ซินอู๋เหิน ไม่ได้ประมือกันนานแล้ว รู้สึกดีเสียจริง”
หลังจากเรื่อง ‘คำสั่งล่าสังหาร’ จ้าวเฟิงก็ไม่ได้เผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้อย่างแท้จริงเช่นนี้
การเผชิญหน้ากันสั้นๆ ในครั้งนี้ เขาค้นพบว่าส่วนลึกในร่างเขา มีความคาดหวังกับการต่อสู้ที่ดุเดือดเช่นนี้
ตุบ ตุบ! ซินอู๋เหินถอยหลังไปสองก้าวอย่างมั่นคง สัมผัสได้ถึงการเคลื่อนคล้อยของปราณเลือดลมภายในร่าง เหมือนว่าในขณะประมือกันถูกจ้าวเฟิงดูดซึมไปส่วนหนึ่ง
ที่จริงแล้ว
จ้าวเฟิงประมือกับซินอู๋เหินเมื่อครู่ เป็นการประลองในระยะประชิด
การต่อสู้ในระยะประชิดตัวเป็นสิ่งที่ซินอู๋เหินชำนาญและชื่นชอบเช่นกัน
แต่เขาไม่อาจคิดคาดว่า พลังสายเลือดของคู่ต่อสู้จะแปลกประหลาดเช่นนี้ ยังสามารถดูดซึมปราณเลือดลมของคนอื่นได้
ความสามารถประเภทนี้เรียกได้ว่ายากจะรับมือ ถึงกระทั่งรังเกียจอย่างยิ่ง
“เจ้าเป็นใครกันแน่?”
แววตาของซินอู๋เหินเป็นดั่งไฟร้อนแรง จ้องจ้าวเฟิงเขม็ง
จากการสัมผัสและประมือกันซึ่งหน้าสองครั้ง เขายิ่งรู้สึกว่าเด็กหนุ่มผู้นี้คุ้นตาอย่างยิ่ง
คำพูดของฝ่ายตรงข้ามก็แสดงให้เห็นแล้วว่าคนทั้งสองเคยเจอกันมาก่อน
แต่สำหรับสถานะของคนผู้นี้ ซินอู๋เหินยังตัดสินไม่ได้
ไม่ว่าจะรูปลักษณ์ภายนอก กลิ่นอาย วิชา ล้วนยากที่จะเจอคนเช่นนี้ในความทรงจำของเขา
อีกทั้ง ด้านการฝึกฝนร่างกายที่จ้าวเฟิงฝึกอยู่ เดิมทีก็ค่อนข้างจะพิสดาร
ในสุสานใต้ดิน
องค์ชายแปดกับลั่วจุนที่สนอกสนใจภาพเหตุการณ์นี้ ต่างมีแววแปลกใจเกิดขึ้นบนใบหน้า
เด็กหนุ่มผมม่วงในครรลองสายตา ชั่วร้ายลึกลับ กลับรู้จักกับซินอู๋เหินเสียได้ อีกทั้งยังไม่มีท่าทีหวาดกลัวด้วยซ้ำไป
“เจ้าเด็กนี่ แม้กระทั่งซินอู๋เหินยังมองไม่ออกงั้นรึ?”
ชายวัยกลางคนชุดเหลืองและพวกต่างรู้สึกตึงมืออย่างยิ่ง
ซินอู๋เหินในสายตาของคนจำนวนมาก เดิมเป็นบุคคลที่ลึกล้ำเกินจะคาดเดา บนร่างยังมีท่วงท่าของปรมารจารย์อยู่น้อยๆ แต่ว่าในตอนนี้ กลับปรากฏเด็กหนุ่มลี้ลับที่สามารถรับมือกับซินอู๋เหินได้อย่างเท่าเทียมเสมอภาค
สามารถยืนยันได้ว่า คนทั้งสองเคยเจอกันมาก่อน กระทั่งว่าเคยประมือกันด้วย
“เฮอะ เฮอะ ซินอู๋เหินที่ไม่พ่ายในสิบกระบวนท่า หวังว่าการประมือในครั้งหน้าเจ้าจะนำความประหลาดใจมาให้ข้ามากกว่านี้”
เด็กหนุ่มผมม่วงกลางอากาศที่มีปีกอัสนีเบื้องหลังหายวับไปในทันที
พรึ่บ! แสงสีเงินม่วงเส้นหนึ่งพาจ้าวเฟิงและหนานกงเซิ่งหายไปจากภายในสุสานเพียงแวบเดียว
ความเร็วในการจากไปราวกับสายฟ้าฟาดและความร่วมมือที่สมบูรณ์แบบ ทำให้คนทั้งหมดตรงนั้นยังไม่ทันมีปฎิกิริยาอะไรด้วยซ้ำ วิชาโบยบินข้ามมิติรวดเร็วยิ่งนัก!
ในสุสานไม่เห็นเงาของจ้าวเฟิงและหนานกงเซิ่งแล้ว
“ซินอู๋เหินที่ไม่พ่ายในสิบกระบวนท่า?”
คนทั้งหมดที่เหลืออยู่มองหน้ากันไปมา รู้สึกหวั่นเกรงมารคู่ผมม่วงที่ลึกล้ำเกินจะคาดเดา
“ซินอู๋เหิน เจ้ารู้จักหัวขโมยคนนั้นรึ?”
“เหตุใดเจ้าจึงไม่ลงมือขัดขวางหัวขโมยสองคนนั้น”
ชายวัยกลางคนชุดเหลืองและพวกต่างเปิดปาก
“ที่แท้ก็เป็นเขา…”
ซินอู๋เหินมองไปยังทิศทางที่จ้าวเฟิงและพวกจากไป แล้วจึงเอ่ยพึมพำ
ความทรงจำที่ถูกฝุ่นปกคลุมมาอย่างยาวนานค่อยๆ เล่นกลับไปมาในหัวของเขา
สิ่งนั้นมากจากยามเยาว์วัย ณ เมืองประกายอรุณ และช่วงรุ่งโรจน์ที่สุดที่งานชุมนุมเซียนมังกร ในความทรงจำเคยมีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่ค่อยๆ ผงาดขึ้นมาทีละก้าวราวกับดาวเคราะห์ของเขา สร้างความยุ่งยากให้กับเขาครั้งแล้วครั้งเล่า
“แต่ว่า เหตุใดเขาจึงเปลี่ยนไปเป็นสภาพเช่นตอนนี้?”
ซินอู๋เหินอดครุ่นคิดไม่ได้
ด้วยวิสัยทัศน์ของเขาและความทรงจำส่วนหนึ่งที่ตื่นขึ้นของช่วงชีวิตก่อน จึงเดาถึงวิธีการอย่าง ‘เปลี่ยนร่างถือกำเนิดใหม่’ หรือ ‘การชุบชีวิตด้วยเลือด’ พวกนี้ได้ไม่ยากนัก
“เขายังมีสายเลือดดวงตาที่ไม่ได้ใช้ใช่หรือไม่?”
ซินอู๋เหินเปิดปากเอ่ย
“ถูกต้อง” ชายวัยกลางคนชุดเหลืองและพวกระลึกถึงเหตุการณ์ที่ค่อนข้างเขย่าขวัญ
ก่อนนี้ สายเลือดดวงตาซ้ายของเด็กหนุ่มผู้นั้นเคยมีอำนาจควบคุม ‘มัจฉากลืนธาร’ มาก่อน
“ถูกต้อง เขามีสายเลือดดวงตา”
องค์ชายแปดผงกศีรษะพลางเอ่ย
ณ จวนอ๋องโหว ในขณะที่จ้าวเฟิงกระตุ้น ‘ไหมเมฆาผีเสื้อเซียน’ ให้ตื่นขึ้น ก็เคยเบิกสายเลือดดวงตาซ้ายครู่หนึ่ง
“นั่นถึงจะเป็นสิ่งที่เขาถนัดที่สุด เป็นขอบเขตที่น่ากลัวที่สุด แต่คิดไม่ถึงเลยว่าในตอนนี้เขาก็ฝึกวิชากายศักดิ์สิทธิ์ที่ลึกล้ำอย่างยิ่งด้วย”
สีหน้าอารมณ์ของซินอู๋เหินสับสนวุ่นวาย
เขาไม่อาจใช้ ‘ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง’ ธรรมดามารับมือจ้าวเฟิง
ในขณะที่ประมือกัน เขาสัมผัสได้ถึงสำนึกรู้ของจ้าวเฟิงที่อาจจะแตะขั้นจักรพรรดิ
ซึ่งนั่นสามารถพูดได้ว่า พลังฝึกตนในตอนนี้ของจ้าวเฟิง เป็นเพราะเปลี่ยนร่างถือกำเนิดใหม่ จึงไม่อาจจะประเมินได้ ก่อนที่เขาเปลี่ยนร่างจะมีพลังที่น่ากลัวขนาดไหนกัน
“จะปล่อยให้พวกเขาจากไปแบบนี้น่ะหรือ?”
เด็กหนุ่มชุดแดงผู้นั้นมีท่าทีไม่ยอม
“ไล่ตามไม่ทัน”
ซินอู๋เหินยักไหล่น้อยๆ และโบยบินขึ้นไปยังชั้นเมฆ
เปรี๊ยะ! จ้าวเฟิงและหนานกงเซิ่งนั่งอยู่บน ‘พาหนะเพลิงวายุ’ ที่เก่าแก่ ดูสะดุดตาอย่างยิ่ง
คนทั้งสองล้วนแต่ชำนาญในการโบยบิน และมีความเร็วไม่ธรรมดา บวกกับ ‘พาหนะเพลิงวายุ’ ที่เป็นสิ่งประดิษฐ์ของเผ่าพันธุ์ความลับสวรรค์ จึงไม่ต้องกังวลกองกำลังที่อยู่ด้านหลัง
“จ้าวเฟิง ข้านึกว่าเจ้าจะต่อสู้ครั้งใหญ่เสียอีก คิดไม่ถึงเลยว่าจะล่าถอยในฉับพลันเช่นนี้”
หนานกงเซิ่งรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง
การประมือของจ้าวเฟิงและซินอู๋เหิน ทำให้เขารอคอยอย่างยิ่ง ได้รับชมแล้วจิตใจเบิกบาน ในเวลาเดียวกันยังสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ มากมาย
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อครู่นี้จ้าวเฟิงยังเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์
“ซินอู๋เหินชำนาญการทำลายและป้องกัน พลังฝึกตนกับปราณที่แท้จริงที่ระเบิดออกมาเมื่อครู่ สามารถกดดันคนขั้นราชันได้เลยทีเดียว หากเช่นนั้นแล้วต่อให้พวกเราร่วมมือกันก็ไม่อาจเอาชนะเขาได้”
จ้าวเฟิงเอ่ยเรียบๆ
ทันทีที่เอ่ยจบ ใจของหนานกงเซิ่งก็สั่นสะท้านน้อยๆ
จ้าวเฟิงรู้ชัดเจนอย่างยิ่งว่า ซินอู๋เหินชอบกดพลังฝึกตนให้อยู่พอๆ กับระดับขั้นของฝ่ายตรงข้าม
การประลองแลกเปลี่ยนวิชาเมื่อครู่
ถึงแม้ว่าซินอู๋เหินจะกระตุ้นเขตแดน สำนึกรู้เสวียนอ้าวที่สำแดงออกมาถึงขีดสุด แต่ว่าในด้านของปราณที่แท้จริงไม่ได้กดดันจ้าวเฟิงจนเห็นได้ชัด
ดีที่แม้ว่าซินอู๋เหินจะชำนาญการป้องกันและทำลาย แต่ไม่เก่งในเรื่องของความเร็วเท่าไหร่นัก
จ้าวเฟิงและหนานกงเซิ่งคิดจะไปก็ไป ไม่มีใครขัดขวางได้
หลายวันต่อมา จ้าวเฟิงและหนานกงเซิ่งร่อนลงบนหน้าผา
“กลิ่นอายของมังกรวารีล้างโลกายิ่งใกล้เข้ามาทุกที…” จ้าวเฟิงทอดสายตามองไปไกล
ตลอดทางที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการช่วงชิง หรือว่าจะพื้นฟูก็ตามแต่ คนทั้งสองต่างไล่ตาม ‘มังกรวารีล้างโลกา’ อยู่ตลอด
ยังเรียกได้ว่า โชคตลอดทางไม่เลวนัก ปล้นชิงทรัพยากรที่มีประโยชน์ได้ไม่น้อย
จ้าวเฟิงและหนานกงเซิ่งตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วที่จะไล่ตาม ‘มังกรวารีล้างโลกา’ มังกรตัวนี้เหมือนนำโชคดีมาให้พวกเขาไม่น้อย
เมี้ยว เมี้ยว!
เจ้าแมวขโมยตัวน้อยหยิบเหรียญทองแดงโบราณมาโยนหลายเหรียญ แล้วมองไปทางร่องรอยของมังกรวารีล้างโลกา ท่าทางเปลี่ยนไปเล็กน้อย
บนเหว หนานกงเซิ่งสวมชุดคลุมไหมเมฆา ทั่วร่างหมุนวนด้วยลำแสงสีเขียวสกาว
จ้าวเฟิงรู้ดีว่า ทรัพยากรหลักของชุดคลุมนี้ถักทอมาจากเส้นไหมประเภทเดียวกับ ‘ไหมเมฆาผีเสื้อเซียน’ ของหนานเฟิงอ๋อง
ถึงแม้ว่าชุดคลุมผืนนี้จะบางเบาอย่างยิ่ง แต่ว่าน้ำและไฟเล็ดลอดเข้ามาไม่ได้ อาวุธวิเศษก็ยากที่จะทำลาย และยังสามารถต้านทานการโจมตีของธาตุทั้งห้าได้ด้วย
เมื่อครอบครองชุดคลุมผ้าไหมผืนนี้ พลังในการดำรงชีวิตอยู่และการต้านทานของหนานกงเซิ่งจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก
สำหรับจ้าวเฟิงที่ครอบครองหอกจักรพรรดิเหมันต์และกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ ชุดคลุมไหมเมฆาผืนนี้กลับไม่ได้ความหมายอะไรต่อเขามากนัก
ขณะนี้ สิ่งที่ทำให้จ้าวเฟิงใจเต้นที่สุดคือสมบัติศาสตร์วิญญาณ ไปจนถึงสมบัติล้ำค่าชั้นยอดในการฝึกฝนร่างกาย แต่ทว่า จากการลงไปที่สุสานใต้ดินเมื่อครู่ ในที่สุดแล้วจ้าวเฟิงก็ได้ครอบครองสมบัติศาสตร์วิญญาณ หินสะกดวิญญาณ!
พรึ่บ! จ้าวเฟิงเอา ‘หินสะกดวิญญาณ’ ที่เป็นหินสี่เหลี่ยมสีดำม่วงออกมา ก่อนยื่นมือไปแตะ ทันใดนั้น กลิ่นอายพลังวิญญาณทมิฬที่กระเทือนฟ้าดินเล็ดลอดออกมา ทำให้สรรพชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนต่างใจสั่นไหวอย่างหวาดกลัว
เกรงว่า ราชันคนอื่นๆ ก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้หินสะกดวิญญาณด้วยซ้ำ
เพื่อหลีกเลี่ยงการได้รับอิทธิพลไปด้วย หนานกงเซิ่งจำเป็นต้องทิ้งระยะห่างกับจ้าวเฟิงเอาไว้ แต่เป็นเจ้าแมวขโมยตัวน้อยที่นั่งบนบ่าของผู้เป็นนาย กะพริบนัยน์ตาแมวราวกับนิล เหมือนว่าไม่ได้รับผลกระทบใดๆ
“แรงวิญญาณเพลิงทมิฬที่แฝงอยู่ในหินชิ้นนี้ ถึงแม้ว่าจะชั่วร้ายวุ่นวาย แต่ว่าผ่านขัดเกลาจาก ‘พลังอัสนีเทวะ’ ข้าก็ยังคงดูดซึมได้”
ในใจของจ้าวเฟิงมีแววรอคอยและตื่นเต้น
สมบัติศาสตร์วิญญาณชิ้นนี้ของจ้าวเฟิง จำนวนเพียงพอที่จะมีหวังให้เขาฟื้นฟูพลังจักรพรรดิได้