บทที่ 851 ยี่สิบวัน
สวบ! สวบ! สวบ!
พวกจ้าวหยูเฟย ศิษย์พี่จูเก๋อ กับอัจฉริยะคนอื่นมาถึงละแวกใกล้ป่าในที่สุด
ตอนที่พวกเขามาถึง ราชามังกรวารีกับมังกรมายาหนีเตลิดไปจากศึกตัดสินกับจ้าวเฟิงแล้ว
กล่าวให้ถูกต้องคือ
มังกรทั้งสองไร้ซึ่งแรงตอบโต้ ภายใต้ ‘เนตรเพ่งเทพเจ้า’ ของจ้าวเฟิง พวกเขาฝืนรักษาชีวิตรอดไว้ ตื่นตกใจจนอกสั่นขวัญแขวน
ถึงแม้จะสังหารพวกราชามังกรวารีไม่ได้ ทว่าอาวุธเทพชั้นรอง ‘มนตราอากาศ’ ก็ตกมาอยู่ในมือจ้าวเฟิง
เหล่าอัจฉริยะราชันที่มาถึงเห็นจ้าวเฟิงชิงมันมาได้ แม้ใจละโมบไม่ยินยอม แต่ก็หวาดกลัวและยำเกรงมากกว่า
คนพวกนี้เข้าปิดล้อมสกัดกั้นสองมังกร แรงขับเคลื่อนสำคัญที่สุดคือความเย้ายวนใจของอาวุธเทพชั้นรอง
ด้วยเหตุนี้ เมื่อจ้าวเฟิงได้มันไป พวกเขาจึงสูญเสียแรงผลักดัน ปราศจากซึ่งความหวัง
ส่วนเรื่องชิงอาวุธเทพชั้นรองมาจากจ้าวเฟิง ทุกคนยังไม่กล้าทำในตอนนี้
เมื่อตาซ้ายของเด็กหนุ่มผู้นั่งขัดสมาธิบนต้นไม้หมุนรอบ ก็กลับคืนเป็นสีเดิม
“พลังวิญญาณของสองคนนี้เข้าใกล้จักรพรรดิปราณเทวะ ร่างกายสายเลือดแข็งแกร่งเหี้ยมโหด ซ้ำยังมีปัจจัยอย่างมังกรวารีล้างโลกา หากอยากตามล่าสังหารก็ยากเย็นอยู่บ้าง”
จ้าวเฟิงเหลือบมองยังทิศทางที่พวกราชาฟ้ามังกรวารีหลบหนีไป
หากต่อสู้ซึ่งหน้าอย่างแท้จริง จ้าวเฟิงมีโอกาสเอาชนะพวกนั้นได้ค่อนข้างน้อย รวมหนานกงเซิ่งด้วย อาจมีสิทธิ์แค่ครึ่งต่อครึ่ง
‘เนตรเพ่งเทพเจ้า’ คือวิชาดวงตาต้องห้ามที่ปลิดชีพสองมังกรได้ดีที่สุด เสียดายแต่มันยังด้อยอยู่ขั้นหนึ่ง
ทว่า เป้าหมายของเขาบรรลุแล้ว เขาได้อาวุธเทพชั้นรองมา ทั้งยังสั่งสอนและสยบพวกราชามังกรวารีอย่างหนักหน่วง
กระทั่งยังได้สำแดงอำนาจต่อหน้าราชันจากขั้วอำนาจทั้งหลายทางอ้อม
เมื่อเห็นพวกจ้าวเฟิง ศิษย์พี่จูเก๋อและเหล่าอัจฉริยะราชันจึงไม่กล้าลงมือโดยง่าย
“ท่านจัดการได้เยี่ยมนัก แสดงความน่าเกรงขามเพื่อเราเหล่าเพื่อนมนุษย์ คิดดูแล้วคู่หูโจรตัวปลอมที่ปล้นชิงพวกเราก่อนนี้จะเป็นราชามังกรฟ้าวารีกับมังกรมายา”
ศิษย์พี่จูเก๋อก้าวออกมา ยิ้มพลางประสานมือคารวะ
วิชาดวงตาต้องห้ามเมื่อครู่ของจ้าวเฟิงทำให้คนทั้งหลายตระหนกตกใจ
นอกจากคนส่วนน้อยเช่นจูเก๋อหรือจ้าวหยูเฟย ราชันและครึ่งก้าวสู่ราชันที่เหลือแทบไม่กล้าเข้าใกล้
“ข้าบอกแล้วว่าพี่เฟิงจะไม่ทำเรื่องแบบนั้น”
จ้าวหยูเฟยเดินหน้ามาด้วยความยินดี
ไม่นานก่อนหน้า นางเห็นจ้าวเฟิงใช้แรงตนคนเดียวสู้กับพวกมังกร ในใจยังออกจะกังวล แต่อย่างไรเขาก็เป็น ‘คนผู้นั้น’ ในหัวใจ เป็นจุดหมายที่นางนับถือและอยากไล่ตามมาตลอด
“ดูเหมือนในบรรดามนุษย์ยังมีคนเข้าใจ”
จ้าวเฟิงตอบกลับจูเก๋อ พยักหน้าน้อยๆ
ปัญหาเรื่องคู่หูโจรตัวปลอม จ้าวเฟิงอาจไปสั่งสอนหรือตามไล่ล่าสองมังกร ทว่าไม่สนใจจะอธิบาย
แต่ตอนอยู่ที่หอหลอมศาสตรา ศิษย์พี่จูเก๋อมองสถานะของพวกมังกรออก
จุดนี้จ้าวเฟิงชื่นชมเขาอยู่หลายส่วน
พรึ่บ! แสงสีม่วงเงินวูบวาบ หนานกงเซิ่งปรากฏกายข้างจ้าวเฟิง
“มารคู่ผมม่วง!”
ด้านหลัง ราชันและครึ่งก้าวสู่ราชันส่วนที่ไม่กล้าเข้าใกล้ตื่นตกใจ
ยามนี้คู่หูโจรตัวจริงสมบูรณ์พร้อมอยู่ตรงหน้าพวกเขา
และคนที่ลงมือเมื่อครู่เป็นแค่หนึ่งในนั้น
“พี่จ้าว!” ศิษย์พี่จูเก๋อเอ่ยต่อ “ยังเหลืออีกยี่สิบกว่าวัน มังกรวารีล้างโลกาจะฝ่าเข้ามาในคฤหาสน์ได้ หวังว่าฝั่งมนุษย์เราจะร่วมแรงร่วมใจต่อสู้ศัตรูตัวนี้”
เจตนาของเขาคือหวังให้มารคู่ผมม่วงร่วมมือ หรืออย่างน้อยก็ไม่ก่อสงครามภายใน
จ้าวเฟิงย่อมเข้าใจความหมายของอีกฝ่าย จึงพยักหน้ากล่าว “สำหรับพวกเรา มังกรวารีทมิฬคือสิ่งที่ไม่อาจต่อกร มีเพียงต้องใช้ปัญญากับแผนการ…”
“พูดอย่างนี้ บางทีพี่จ้าวอาจมีแผนรับมือใด?”
ศิษย์พี่จูเก๋อดวงตาเป็นประกาย
ทั้งสองประสานสายตาครู่หนึ่ง กลับไม่พูดสิ่งใด และไม่ได้ส่งเสียงให้กัน
แม้จ้าวเฟิงไม่ต้องกังวลเรื่อง ‘ตราประทับล้างโลกา’ แต่จูเก๋อไม่มีทางเลือกเช่นนี้
ด้านนอกคฤหาสน์ ร่างเกล็ดดำมโหฬารของมังกรวารีล้างโลกาหมุนคดเคี้ยว กรงเล็บกับหางมังกรปะทะลง ‘ค่ายกลเทพคุ้มกัน’ อย่างรุนแรง
ระหว่างที่เวลาเคลื่อนผ่าน
รอยโหว่แตกร้าวบน ‘ค่ายกลเทพคุ้มกัน’ มากขึ้นทุกที แรงป้องกันของมันอ่อนกำลังลงเรื่อยๆ
ทุกนาทีที่ผ่านไป คนในคฤหาสน์เสียหยางก็เข้าใกล้ความตายมากขึ้นทีละนิด
ผู้แข็งแกร่งเชื่อมั่นเช่นจ้าวเฟิงรู้ซึ้งดี มังกรวารีทมิฬเป็นสิ่งมีชีวิตไร้เทียมทาน ถึงอย่างไรก็เคยประมือกับเทพบรรพกาลมาก่อน
ประมาณการอย่างต่ำ
มังกรวารีทมิฬในช่วงสุดยอดจะอยู่สูงกว่าครึ่งเซียนขึ้นไป เป็นไปได้มากว่าอาจแตะถึงขอบเขตเซียนสวรรค์
“ฮ่าฮ่าฮ่า…ค่ายกลเทพคุ้มกันอ่อนแอกว่าที่คิดไว้เสียอีก อีกยี่สิบวันข้าจะฝ่าเข้าไปด้านในได้”
เสียงเหี้ยมโหดบ้าคลั่งพร้อมพลังล้างโลกา ดังกังวานในคฤหาสน์เสียหยาง
เป้าหมายที่มี ‘ตราประทับล้างโลกา’ ใจกายสั่นสะท้าน
“เหลืออีกแค่ยี่สิบวัน…”
ยอดฝีมือมนุษย์มากมายที่เข้าไปในคฤหาสน์จิตใจหนักอึ้ง
เหนือยอดไม้
“ยี่สิบวัน ยังเกิดการเปลี่ยนแปลงได้อีกมาก…”
จ้าวเฟิงค่อยๆ ยืนขึ้น แววเยือกเย็นดังเดิม
สถานการณ์วิกฤตเช่นนี้ ใช่ว่าเขาไม่เคยพบพานมาก่อน
ในอดีต เขาเข้าไปซากปรักหักพังสือเฉิงในฐานะ ‘คนนอก’ ใช้กำลังของตนคนเดียวรับมือและต่อต้านสำนักสองดาวทั้งสาม
ระหว่างคำสั่งล่าสังหาร เขาก็เคยรอดพ้นอันตรายนานัปการมาได้
เพียงแต่ ศัตรูครานี้แข็งแกร่งอย่างที่ไม่เคยมี ตอนนี้ไม่สามารถเอาชนะได้
“ไปที่หอหลอมศาสตราก่อน!”
จ้าวเฟิงโผทะยานลงบนพื้นอย่างสบายๆ พร้อมกับหนานกงเซิ่ง
เขาจำได้ว่าบนชั้นวางอาวุธเก่าทรุดโทรมมีของครบสมบูรณ์อีกหลายอย่าง หนึ่งในนั้นรวมถึงโล่และลูกธนูด้วย
สวบ! สวบ! สวบ!
เหล่าอัจฉริยะที่ไล่ตามมาพากันถอยกลับไปที่ ‘หอหลอมศาสตรา’
อากัปกิริยาของจ้าวเฟิงและหนานกงเซิ่งชัดเจนว่าไม่รีบไม่ร้อน
“ลองศึกษาอาวุธเทพชั้นรอง ‘มนตราอากาศ’ เสียก่อน”
แววตาจ้าวเฟิงจึงค่อยหยุดที่เกราะบนแขน
วัสดุของเกราะแขนคล้ายเหล็กหรือสำริด มองแวบแรกธรรมดายิ่ง เพ่งมองอย่างละเอียดจึงรู้สึกว่าน่ามอง มีเสน่ห์เก่าแก่เรียบง่ายหลายส่วน
“มนตราอากาศชิ้นนี้ ในตำนานกล่าวว่าเป็นอุปกรณ์วิเศษที่ช่วยเหลือด้านมิติ ความสามารถครอบคลุมถึงการเก็บสิ่งของ ข้ามผ่านอากาศ กำหนดทิศทางมิติ เคลื่อนย้ายขนส่ง…”
หนานกงเซิ่งกล่าวด้วยสีหน้าอิจฉา
เขาช่ำชองแขนงมิติ จึงรู้ตำนานเกี่ยวกับด้านนี้ค่อนข้างมาก
จากคำอธิบายของหนานกงเซิ่ง จ้าวเฟิงสัมผัสได้ถึงทางเข้าของอาวุธเทพชั้นรอง ‘มนตราอากาศ’ อย่างรวดเร็ว
แรกสุด
แหวนเก็บของที่มือเขากลายเป็นอดีตไปได้เลย
เนื่องจากของเสริมด้านมิติชิ้นนี้มีความสามารถด้าน ‘มิติเก็บของ’
มนตราอากาศมีโลกมิติส่วนตัวของตน ขอบเขตมิติกว้างใหญ่กว่า ‘แคว้นเมฆาคล้อย’ บ้านเกิดจ้าวเฟิงหลายเท่า
อีกทั้งโลกมิติส่วนตัวที่ว่า ไม่ใช่แบบแรกเริ่มที่เป็นรูปธรรมของจักรพรรดิทั่วไป
หลังห้วงคิดเซียนของจ้าวเฟิงหลอมรวมเข้าในมนตราอากาศ ก็สัมผัสได้ถึงโลกมิติส่วนตัว
มิติส่วนตัวดังกล่าวคล้ายซากปรักหักพังสือเฉิง ด้านในมีกฎเกณฑ์ของตัวเอง มีภูเขาแม่น้ำ ลำธาร อากาศ จิตวิญญาณในฟ้าดิน ไปจนถึงภูติปีศาจหรือมนุษย์
“สมกับที่เป็นอาวุธเทพชั้นรอง…”
จ้าวเฟิงอดร้องตกใจไม่ได้
จุดที่มีประโยชน์ที่สุดคือ มนตราอากาศมีเงื่อนไขด้านพลังฝึกตนของผู้ใช้ไม่สูง เมื่อได้มาแล้วก็มีมิติส่วนตัว และกลายเป็นนายเหนือหัวของพื้นที่ในนั้น
อีกอย่าง พื้นที่เก็บของของมนตราอากาศอยู่บนพื้นฐานของมิติส่วนตัว อาณาเขตเอกเทศที่สร้างขึ้นใหม่เสถียรยิ่งกว่า การโจมตีของครึ่งเซียนยากจะรุกล้ำเข้าไป
นอกจากนี้ มนตราอากาศยังข้ามผ่านมิติและกำหนดจุดหมายเคลื่อนย้ายได้
“ว่าตามหลักการ ขอเพียงพลังแข็งแกร่งพอ หากวางสัญลักษณ์จุดหมายที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่ พวกเราจะข้ามผ่านอากาศไร้ที่สิ้นสุด หวนคืนสู่ชางไห่ในพริบตา”
น้ำเสียงหนานกงเซิ่งเจือแววเฝ้าปรารถนา
หวนคืนสู่ชางไห่!
จ้าวเฟิงตกใจ ไม่นึกว่ามนตราอากาศนี้จะมีความสามารถข้ามผ่านมิติเช่นนี้
“ไม่เพียงนายของมันที่ข้ามผ่านได้ แต่ยังสามารถส่งเป้าหมายอื่นไปที่ไกลโพ้นสักแห่ง”
หนานกงเซิ่งกล่าวเสริม
“ความสามารถเคลื่อนย้าย?” จ้าวเฟิงแปลกใจและยินดีเป็นที่สุด
ถึงแม้อาวุธเทพชั้นรองชิ้นนี้ไม่มีกำลังรบ แต่มันเป็นกำลังเสริมที่เรียกได้ว่าขัดชะตาฟ้า มูลค่ามีแต่จะใกล้เคียงอาวุธเทพเก่าแก่
“แต่น่าเสียดายที่เราไม่ได้ใช้มันกำหนดจุดหมายไว้ที่โลกภายนอก ไม่เช่นนั้นคงไปกลับทวีปได้ทุกเวลา ไม่ต้องแยแสมังกรวารีทมิฬ”
หนานกงเซิ่งเอ่ยอย่างเสียดาย
“ก็ไม่แน่”
จ้าวเฟิงโคลงศีรษะน้อยๆ “ค่ายกลเทพคุ้มกันของคฤหาสน์มีกฎเกณฑ์จำกัดเคร่งครัด พื้นที่ทั่วไปในมิติเทพลวงตาทำได้ แต่ที่นี่ใช่ว่าจะทำได้”
ถึงแม้เป็นเช่นนั้น จ้าวเฟิงกับหนานกงเซิ่งก็ยังเสียดายอยู่บ้าง
หากจ้าวเฟิงได้มันที่โลกด้านนอกและกำหนดปลายทางไว้ เช่นนั้นคงกลับไปพื้นที่มิติมากมายได้ตามแต่ใจ
แน่นอน อาวุธเทพมีเศษเสี้ยวสัญลักษณ์เหลืออยู่เช่นกัน แต่ห่างไกลเกินไป ไม่อาจสัมผัสได้ นับประสาอะไรกับเรื่องเดินทาง และต่อให้ตอบสนองได้ จ้าวเฟิงก็ไม่กล้าใช้ ใครจะรู้ว่าอาจถูกส่งไปยังที่อันตรายหรือไม่?
ตึก! ตึก!
ทั้งคู่ทะยานไปอย่างช้าๆ จนถึงหอหลอมศาสตราทรงหกเหลี่ยม
“นายท่าน”
เด็กหนุ่ม ‘เติ้งเชา’ จากวังลอยฟ้าส่งเสียงนอบน้อมมาให้จ้าวเฟิง
มีเติ้งเชา จ้าวเฟิงไม่ต้องเข้าไปในหอก็รู้ความเคลื่อนไหวของที่นั่นได้ชัดเจน
กลางอากาศในหอ
กระบี่สนิมทองแดง ดาบคมบิ่น และขวานเว้าแหว่ง สามอาวุธเทพชั้นเลิศคืบหน้าไม่น้อย
หนึ่งในนั้น
‘กระบี่สนิมทองแดง’ เปล่งแสงเขียวหม่น ผสานเป็นหนึ่งกับแสงกระบี่แวววาวซึ่งแปลงจากร่างผู้เฒ่าเคราขาว
ทั้งสองแทรกซึมเข้าหากัน รักษาสมดุลไว้กลางอากาศ ถึงขั้นทำลายขีดจำกัดการ ‘โบยบิน’ ของคฤหาสน์เสียหยาง
ชั่วพริบตานั้น
มือของผู้เฒ่าเคราขาวสัมผัสโดนกระบี่ทองแดง
หนำซ้ำยังเขายังอยู่ท่ามกลางพลังจากกระบี่เทพ ต่อให้เป็นจักรพรรดิก็ไม่กล้าล่วงล้ำ
ส่วนอาวุธชั้นรองอีกสองอย่างก็ถูกกำราบในไม่ช้า
‘ขวานเว้าแหว่ง’ ตกมาอยู่เหนือศีรษะสามองค์ชาย
องค์ชายเก้า องค์ชายแปด และองค์ชายสิบสามผนึกกำลัง สำแดงเคล็ดวิชาสายเลือด จนในที่สุดได้รับการยินยอมจากอาวุธชั้นรองหลายส่วน
ฟากที่คืบหน้าว่องไวที่สุดคือ ‘ดาบคมบิ่น’
“เอามา!”
ช่วงที่สองมือเซวียนหยวนเหวินพร่าเลือน แสงพร่างพราวนับไม่ถ้วนลอยวนรอบอาวุธ
ขณะเดียวกัน
พลานุภาพจักรพรรดิในตัวเขาปกคลุมอากาศฟากหนึ่ง แผ่นหยกประหลาดที่สวมไว้เปล่งแสงขาวเรืองรองคลุมทั่วกาย
แกรก!
‘ดาบคมบิ่น’ สั่นเทาเสียงก้อง จากนั้นกลายเป็นดาบผลึกขาวราวหิมะ ก่อนร่วงลงสู่มือเด็กหนุ่มผู้หล่อเหลา
ทันใดนั้น
แสงดาบขาวโชติช่วงตัดผ่านอากาศ ไฟดุจเกล็ดหิมะหลั่งทะลักรอบทิศ อานุภาพแสงดาบไร้ลักษณ์ส่องสะท้อนทั้งเตาหลอม ราชันทั้งหมดตัวสั่นไหว จิตใจคล้ายจะพังทลาย
เซวียนหยวนเหวินฝืนจับดาบผลึก ใบหน้าขึ้นสีแดงเรื่อ
ยามนั้นเอง
จ้าวเฟิงกับหนานกงเซิ่งเดินเข้าสู่หอหลอมศาสตราอย่างไม่รีบร้อน