บทที่ 852 สยบเหล่าผู้นำ
ยามพวกจ้าวเฟิงก้าวเข้าสู่หอหลอมศาสตรา ประสาทสัมผัสถูกอานุภาพจากดาบเทพสว่างไสวปิดกั้น เจตจำนงตั้งมั่นยิ่งเย็นยะเยือกคล้ายโดนผ่าแยก
คมดาบขาวเรืองรองตัดผ่านอากาศ อยู่เหนือทุกสรรพสิ่ง แสงไฟราวเกล็ดหิมะสาดซัดทั่วทิศ เหมือนจะทำให้อากาศทั้งหมดบิดเกลียวเป็นผุยผง
“เซวียนหยวนเหวินทำสำเร็จแล้ว!”
ในหอมีเสียงร้องตกใจ สายตาเหล่าผู้กล้ามากมายเผยความเคารพและหวาดกลัวอยู่ลึกๆ
เซวียนหยวนเหวินผู้นี้สมกับเป็นผู้ถูกเลือกของสำนักสี่ดาว ‘วังลอยฟ้า’ อายุไม่เท่าไหร่ก็ขึ้นเป็นจักรพรรดิปราณเทวะ และได้รับการยอมรับจากอาวุธเทพชั้นรอง
ในรายชื่อจักรพรรดิต้าเฉียน นามของเขาอยู่อันดับเจ็ด สูงที่สุดในบรรดาอัจฉริยะที่เข้ามาในมิติเทพลวงตา
หากสามารถรอดชีวิตจากมิตินี้ไป อันดับยังเลื่อนขึ้นได้หลายขั้นเป็นอย่างน้อย
“ไม่เสียทีที่เป็นอาวุธเทพชั้นรอง…”
ฝีเท้าจ้าวเฟิงชะงักเล็กน้อย ก่อนเดินไปด้านในต่อ
แม้เขาได้อาวุธเทพชั้นรองมาหนึ่งชิ้น ทว่าเป็นประเภทช่วยเหลือ ไม่มีความสามารถโจมตี แต่อานุภาพของคมดาบเล่มนั้นเหนือขั้นจักรพรรดิอยู่รางๆ คุกคามเซียนขอบเขตเทวาเร้นลับได้
แน่นอน เซวียนหยวนเหวินยังไม่อาจสะกดอาวุธเทพชั้นรองที่ยิ่งใหญ่ระดับนี้อย่างแท้จริง เพียงได้รับการยินยอมเท่านั้น การควบคุมมันจะทำให้เขาเหน็ดเหนื่อยอย่างสาหัส
ยามนี้
ใบหน้าหล่อเหลาของเซวียนหยวนเหวินอดกลั้นจนเป็นสีแดงเรื่อ โคจรพลังทั้งชีวิตเพื่อคุมอาวุธเทพชั้นรอง
ตอนนี้เขาไม่หวังจะสะกดดาบนี้ ขอแค่ทำให้มันสงบได้ชั่วคราว
“มีแต่ต้องบรรลุถึงขั้นครึ่งเซียน จึงจะสำแดงอานุภาพที่แท้จริงของมันได้”
หนานกงเซิ่งเอ่ยพึมพำ
ทั้งสองอดนึกถึงครึ่งเซียนคุนอวิ๋นไม่ได้
ความสำเร็จในช่วงสูงสุดของครึ่งเซียนเรียกได้ว่ารุ่งโรจน์ เกรงว่าระหว่างนั้นคงเป็นพวกถืออำนาจบาตรใหญ่
แรกเริ่มตอนอยู่หอหมื่นทรัพย์ที่อุทยานครึ่งเซียน
ธนูเหนือนภากับกระบี่ฟ้าดินที่จ้าวเฟิงและหนานกงเซิ่งได้มายังไม่ใช่ชั้นสูงสุดของหอ
คาดเดาได้เลยว่าครึ่งเซียนคุนอวิ๋นอาจมีมรดกอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่แกร่งกว่า หากเป็นอาวุธชั้นพิภพหรืออาวุธเทพชั้นรองก็ไม่เกินความคาดหมาย
“ยินดีกับศิษย์พี่เซวียนหยวนด้วย!”
เหล่าราชันของวังลอยฟ้าเผยสีหน้ายินดี เจือความนับถือชื่นชม
“คุ้มครองศิษย์น้อง!”
สตรีชุดแดงนำคนจำนวนหนึ่งเขาคุ้มกันรอบกายเซวียนหยวนเหวิน
พรึ่บ! ศิษย์พี่จูเก๋อเร่งเข้าไปเฝ้าระวังคนที่เหลือเช่นกัน
“ไม่เป็นไร”
เซวียนหยวนเหวินสูดหายใจลึก ภายใต้แรงปะทะจากเสวียนอ้าวอานุภาพอาวุธ พลังจักรพรรดิบนร่างแก่กล้าและเด็ดเดี่ยวยิ่งขึ้น
เวลาเดียวกัน จิตวิญญาณของเขาสูญสิ้นไปบางส่วน
อีกฝากหนึ่งในขณะนั้น
“รีบเพิ่มแรงอีก…”
สามองค์ชายแห่งต้าเฉียนผนึกกำลังกำราบ ‘ขวานเว้าแหว่ง’
หนึ่งในนั้น องค์ชายเก้าพลังแข็งแกร่งที่สุด จึงเป็นกำลังหลักอยู่ตรงกลาง
แรงของสามคนรวมกัน ทำให้ขวานค่อยๆ ลดระดับลง
วูบ!
ฉับพลันทันใด ขวานเว้าแหว่งขยายขนาดใหญ่ราวเขาลูกเล็ก แทบจะถึงปลายสุดของหออยู่รอมร่อ ผิวนอกเปล่งแสงดำทะมึนหนักอึ้ง แรงสั่นไหวเลือนรางเคลื่อนมาตามอากาศ
ชั่ววินาทีดังกล่าว
คนทั้งหอหลอมศาสตรารู้สึกหนักอึ้งและกดดันโดยไร้สาเหตุ
อึก! ราชันธรรมดาหลายคนแถวนั้นกระอักเลือดทันใด ร่างกายโอนเอนเล็กน้อย
“สะกดไว้!” องค์ชายทั้งสามร่วมแรง ฝืนทำให้ขวานเท่าเขาลูกเล็กมั่นคงตรงหน้า
วูบ!
ขวานเว้าแหว่งใหญ่ยักษ์ลดขนาดลงช้าๆ จนหยุดที่สิบกว่าจั้ง กลิ่นอายก็เก็บงำไปมาก
ขวานเล่มนั้นคล้ายอาวุธแบบหนักอยู่บ้าง การควบคุมจึงยากยิ่งกว่า
องค์ชายสามคนร่วมมือกันจึงค่อยทำให้มันสงบลงได้
ตอนนั้น
อาวุธเทพชั้นรองที่มีรอยตำหนิสองชิ้น ถูกผู้นำของแต่ละฝ่ายคุมไว้ชั่วคราว
วังลอยฟ้ากับพวกราชนิกุลทรงพลังที่สุดในที่นั้น ราชันของกองกำลังที่เหลือย่อมไม่กล้าผลีผลามสอดมือเข้ายุ่ง
“เอ๊ะ! มารคู่ผมม่วง…”
ไม่รู้ผู้ใดในหอร้องตกใจ
“ทุกคนระวัง! สองโจรมาอีกแล้ว…”
ราชันจากกองกำลังส่วนหนึ่งมีสีหน้าระแวดระวัง
อย่างไรเสีย สองคนชั่วผมม่วงก็โด่งดังเพราะขโมยปล้นชิงของที่คนอื่นได้มา จนตอนนี้ยังไม่เคยเสียเปรียบ
“ในหอหลอมศาสตรา เหมือนจะมีแต่ของบนชั้นวางอาวุธที่สมบูรณ์…”
จ้าวเฟิงส่งเสียงให้หนานกงเซิ่ง
ท่ามกลางสายตาจับจ้องจากทุกคน คนชั่วช้าทั้งสองเดินไปยังส่วนลึกของหลุมไฟประหนึ่งรอบด้านไม่มีผู้ใด
“มารคู่ผมม่วง! พวกเจ้ายังกล้ากลับมาอีก รนหาที่ตายจริงๆ!”
ราชันบางคนยังไม่รู้เรื่องราวภายใน นึกว่าเป็นสองคนชั่วที่ลงมือก่อนหน้านี้ หรือก็คือคู่หูโจรตัวปลอม
มีเพียงราชันที่เพิ่งถอนกำลังกลับมา ดวงตามีแววยำเกรงหลายส่วน
“มาร…คู่…ผม…ม่วง!”
หลังจากเซวียนหยวนเหวินสะกดอาวุธเทพชั้นรอง นัยน์ตาปะทุจิตสังหารเย็นเยียบ
วินาทีนั้น
พลังมหาศาลไร้ขอบเขตกระเทือนชั้นวิญญาณ ปกคลุมพวกจ้าวเฟิงอย่างมืดฟ้ามัวดิน
“ศิษย์น้องเซวียนหยวน ยั้งมือ…”
ศิษย์พี่จูเก๋อคิดจะออกหน้าห้าม ทว่าไม่ทันกาลแล้ว
“เซวียนหยวนเหวิน เจ้าเป็นผู้นำ พวกเราจับคู่หูโจรด้วยกัน”
อีกทั้งที่ตรงนั้น มีเสียงที่ต่อต้านมารคู่ผมม่วงและเห็นด้วยกับเซวียนหยวนเหวินแว่วมาไม่น้อย
ราชันที่เหลือของวังลอยฟ้าเช่นพวกสตรีชุดแดงก็ยังไม่รู้เรื่องเบื้องหลัง จึงเป็นปฏิปักษ์กับจ้าวเฟิงอย่างรุนแรง
ก่อนหน้านี้ มารคู่ผมม่วงตัวปลอมกระทั่งเคยปล้นชิงพวกเขา
ครืน~~ ยามนั้น พลังยิ่งใหญ่ดังกล่าวเข้าปกคลุมและกดข่มพวกจ้าวเฟิง
ความจริงแล้ว กลุ่มราชันที่เพิ่งกลับมามีใจอยากดูเรื่องสนุกอยู่หลายส่วน
เพราะพวกเขาเคยเห็นเต็มตาว่าจ้าวเฟิงใช้กำลังหนึ่งคนปราบสองมังกรจนหนีหัวซุกหัวซุน
เช่นนั้น หากเผชิญหน้าเซวียนหยวนเหวินผู้เป็นจักรพรรดิ มีอาวุธเทพชั้นรอง และแข็งแกร่งเป็นประวัติการณ์ สองโจรผมม่วงที่ราบรื่นมาตลอดจะหนีรอดปลอดภัยหรือไม่
“ฮึ!” จ้าวเฟิงแค่นเสียงหยัน ยังเดินหน้าโดยไม่หยุดแม้แต่นิด
พรึ่บ! ตาเปล่าเห็นเพียงหมอกขาวประหลาดหลายชั้นโอบล้อมรอบตัวทั้งคู่
“โลกมิติส่วนตัว! เอ๊ะ? อาวุธเทพชั้นรอง…”
เซวียนหยวนเหวินตะลึงไปนิด ถึงเขาเป็นจักรพรรดิ แต่ยังไม่อาจสร้างโลกมิติส่วนตัวของตนได้
อีกอย่าง อาวุธเทพชั้นรอง ‘มนตราอากาศ’ มีมิติส่วนตัวที่พิเศษเหนือสามัญ
สิ่งที่น่าเหลือเชื่อที่สุดคือ
การโจมตีจากพลังจักรพรรดิของเขาเหมือนทิ้งหินลงสมุทร ไม่มีความเคลื่อนไหวใด
“เป็นไปได้อย่างไร โลกมิติส่วนเป็นของในชั้นกายเนื้อ มีกำลังป้องกันพลังไม่มากนัก ยิ่งกว่านั้น มิติส่วนตัวของผู้มาเยือนหรือเขตแดนมิติ ล้วนถูกจำกัดภายในคฤหาสน์เสียหยาง ยากจะปรากฏสมบูรณ์…”
เซวียนหยวนเหวินใจลอยเล็กน้อย
เขาที่ขึ้นเป็นจักรพรรดิแล้ว ย่อมมีโลกทัศน์ไม่ธรรมดา
“ข้าไม่เชื่อ!”
เซวียนหยวนเหวินกระตุ้นพลังจักรพรรดิไปถึงขีดสุด พลังฟ้าดินแก่กล้าระเบิดปะทะใส่พวกจ้าวเฟิง
หนานกงเซิ่งตกใจ พลังจักรพรรดิชั้นยอดกลุ่มนั้นมีสำนึกรู้ที่ทะลวงผ่านสรรพสิ่ง ทำลายล้างทุกอย่าง ทำให้วิญญาณเขาโดนสะกดไว้
จ้าวเฟิงยกมุมปากยิ้มเยาะหยัน
เหตุการณ์ที่แปลกยิ่งกว่าเกิดขึ้น
โครม~ ร่างเซวียนหยวนเหวินสั่นไหว ร้องเสียงขึ้นจมูก ใบหน้าเปลี่ยนสีไปสิ้นเชิง ชั้นวิญญาณคล้ายมีอัสนีบาตนับหมื่นดังกึกก้อง
“ศิษย์น้องเซวียนหยวน! เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม!”
พวกสตรีชุดแดงและศิษย์พี่จูเก๋อตกใจจนเอ่ยไม่ออก
เซวียนหยวนเหวินยืนให้มั่น ใบหน้าแดงก่ำ อาวุธเทพชั้นรองในมือเกือบหลุดจากการควบคุม
เขารู้สึกว่าพลังจักรพรรดิของตนเจอการสกัดกั้นจากสายฟ้าที่ไม่ดับสลาย
ครั้งแรก พลังจักรพรรดิของเขาเหมือนทิ้งหินลงมหาสมุทร
ครั้งที่สอง ยิ่งพบแรงสะท้อนกลับน่าสะพรึง ความรู้สึกชาเพราะอัสนีบาตตรงมาจากพลังจักรพรรดิ
“เซวียนหยวนเหวิน เจ้าควบคุมอาวุธเทพชั้นรองของตนก่อนเถอะ”
จ้าวเฟิงเหยียดยิ้ม
เขานำหนานกงเซิ่งเดินไปทางหลุมไฟ คล้ายรอบด้านไม่มีใครอยู่
“เจ้า…”
เซวียนหยวนเหวินเหมือนถูกทำให้สำลัก วงหน้าหล่อเหลาเดี๋ยวแดงเดี๋ยวเขียว ไม่รู้เพราะโมโหหรือเพราะแรงต้านจากอาวุธเทพชั้นรอง
แต่ที่แน่นอนคือ อาวุธเทพในมือเกือบเสียการควบคุมเพราะเขาเสียสมาธิเมื่อครู่
ประหนึ่งเด็กหนุ่มชั่วช้าผู้นั้นหวังดีเตือนเขาจริงๆ
ภาพนี้ทำให้อัจฉริยะราชันทั้งหลายปากอ้าตาค้าง
“โจรสองคนนี้กลับไม่แยแสพลังจักรพรรดิของเซวียนหยวนเหวิน”
“ไม่ใช่แค่นั้น เซวียนหยวนเหวินยังเหมือนจะเสียเปรียบด้วย?”
“ศิษย์น้องต้องสะกดอาวุธเทพ คงไม่อาจทุ่มกำลังทั้งหมด สองคนนั้นถึงทำสำเร็จ”
คลื่นความโกลาหลถาโถม เหล่าราชันเริ่มถกกัน
กลุ่มคนที่เดิมทีอยากดูเรื่องสนุกก็ประหลาดใจยกใหญ่ สีหน้ากระปรี้กระเปร่ายิ่งนัก
“ศิษย์น้องเซวียนหยวน!” จูเก๋ออวิ๋นมีสีหน้าเคร่งขรึม มือข้างหนึ่งกดเซวียนหยวนเหวินไว้
“ศิษย์พี่จูเก๋อ…”
เซวียนหยวนเหวินควบคุมอาวุธเทพ ส่งสายตาแทนคำถามให้ศิษย์พี่ผู้เป็นมันสมองของกลุ่ม
“เรื่องราวยาวนัก แต่จ้าวเฟิงคนนี้ พวกเราอย่าล่วงเกินง่ายๆ เด็ดขาด”
เขากล่าวอย่างจริงจัง
กล่าวจบ ราชันอีกหลายคนของวังลอยฟ้าอึ้งตะลึง
แต่ความอหังการของมารคู่ผมม่วงทำให้พวกเขาตื่นตกใจไปแล้ว
คำพูดของศิษย์พี่จูเก๋อ ทำเอาทุกคนยิ่งให้ความสนใจ
“โจรผู้นั้นได้อาวุธเทพชั้นรอง ‘มนตราอากาศ’ มาแล้ว เซวียนหยวนเหวินทำอะไรเขาไม่ได้ในเวลาจำกัดสั้นๆ…”
‘องค์ชายสิบสาม’ ฝั่งเชื้อพระวงศ์กัดฟัน ใบหน้าหวาดเกรง
องค์ชายแปดกับลั่วจุนประสานสายตา สีหน้าตึงเครียดยิ่งขึ้น
พวกเขาสองคนเคยพบปะกับจ้าวเฟิงไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้ง แต่ทุกครั้งที่เจอ ฝ่ายตรงข้ามมักลึกล้ำเกินคาดเดากว่าคราวก่อน ชวนให้พรั่นพรึงนัก
อีกฝ่ายดุจหลุมไร้ที่สิ้นสุด ยิ่งเข้าใจลึกซึ้งเท่าใด ยิ่งน่าหวาดกลัวขึ้นเท่านั้น
ยามนี้ มารคู่ผมม่วงไม่ทุกข์ไม่ร้อน เดินไปใกล้หลุมไฟทีละก้าว เส้นทางของพวกเขาไม่ต่างจากพวกราชามังกรฟ้าวารี
เหล่าราชันที่ถอนกำลังกลับมาเช่นศิษย์พี่จูเก๋อ ต่างเล่าเรื่องราวตอนไล่ตามไปให้ฟังอย่างรวบรัด
“คู่หูโจรตัวปลอมก่อนหน้านี้คือราชามังกรฟ้าวารีกับมังกรมายาพันผันแปร”
“พวกมังกรพ่ายแพ้เพราะจ้าวเฟิงคนเดียว? แล้วยังโดนชิงอาวุธเทพชั้นรองมาอีก?”
ราชันที่รู้เรื่องสั่นสะท้านยิ่งกว่าอะไร
เมื่อเซวียนหยวนเหวินผู้แข็งแกร่งทราบเรื่อง สายตาที่มองไปทางสองโจรมีความหวาดเกรงอยู่บ้าง
ในหอหลอมศาสตราตอนนี้
เซวียนหยวนเหวิน สามองค์ชาย และเซียนกระบี่ ผู้แข็งแกร่งทั้งสามฝ่ายเสียสมาธิไปเพราะ ‘อาวุธเทพชั้นเลิศ’
พวกจ้าวเฟิงเข้ามายามนี้ เรียกได้ว่าไม่ต้องกังวลใดๆ
“จ้าวเฟิง หากเมื่อครู่ลงมือจริงๆ ละก็…”
หนานกงเซิ่งลอบปาดเหงื่อ
“สู้ตรงๆ กับเซวียนหยวนเหวินและองค์ชายทั้งสามที่ร่วมมือกัน เรามีโอกาสได้ชัยค่อนข้างน้อย แต่เราควบคุมสถานการณ์ไว้ได้แล้ว”
จ้าวเฟิงยิ้มบาง
หนานกงเซิ่งได้ยินแล้วจึงมองสอดส่องรอบด้าน เห็นเพียงราชันจากขั้วอำนาจมากมายตื่นตัวกลัวเกรง บางส่วนถึงขั้นถอยหนี ไม่กล้าสบตาเขาโดยตรง