บทที่ 857 พลังของเทพเซียน
ภายในหอคอยปีศาจ กลิ่นอายพลังชั่วร้ายน่าสะพรึงจำกัดปราณที่แท้จริงของยอดฝีมือทั่วไปโดยสมบูรณ์ เหล่าราชันปราณเทวะในที่นั้น รู้สึกว่าปราณที่แท้จริงในร่างคล้ายถูกกักขังสะกดไว้ และยิ่งต้านทานมากเท่าไหร่ แรงกดข่มก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ จ้าวเฟิงจึงเลือกหนทางที่ชาญฉลาด ไม่สนใจปราณที่แท้จริงข้างใน ปล่อยให้กลิ่นอายพลังนั้นกดข่มไป ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ แรงต้านของเขากลับน้อยลง
อึก! ตุ้บ! มองกลับกัน ราชันปราณเทวะหนึ่งในนั้นโคจรปราณที่แท้จริงเพื่อตอบโต้ตามสัญชาตญาณ จึงกระอักเลือด ทรุดลงหมอบกับพื้นทันใด ยืนขึ้นไม่ได้อีกนาน
เพิ่งเหยียบย่างเจ้าสู่หอคอยปีศาจ ความต่างชั้นของทุกคนก็ปรากฏให้เห็น
หลายคนที่เดินนำอยู่หน้าสุด แบ่งเป็นเซวียนหยวนเหวิน จ้าวเฟิง หนานกงเซิ่ง จ้าวหยูเฟย และโม่ตงเหยา ต่อมาเป็นพวก ‘องค์ชายเก้า’ ซึ่งเป็นราชันระดับสุดยอด
ถัดจากนั้นคือราชันทั่วไปและราชันระดับลึกซึ้งส่วนหนึ่งเช่นลั่วจุน
“พลังในหอคอยปีศาจเป็นสิ่งที่เราไปยุ่งเกี่ยวด้วยไม่ได้จริงๆ…”
“มิน่าเล่า ขนาด ‘ซินอู๋เหิน’ ยังทำไม่สำเร็จ”
ราชันทั่วไปสองสามคนในกลุ่มเพิ่งเดินไปไม่กี่ก้าว ใบหน้าก็แดงก่ำ คิดจะล่าถอยไป
พวกเขามองหลายคนตรงแนวหน้าเดินเข้าไปทีละก้าวตาปริบๆ
“มารคู่ผมม่วงกลับเดินอยู่หน้าสุดเสียได้ ระดับพลังของจ้าวเฟิงผู้นั้นยังไม่ถึงขั้นราชันด้วยซ้ำ…”
ลั่วจุนมีสีหน้าไม่ยินยอม
เซวียนหยวนเหวินเดินอยู่แถวหน้าสุดได้ นั่นเป็นเพราะพลังฝึกตนของเขาแข็งแกร่งที่สุด ในฐานะจักรพรรดิอัจฉริยะจากสำนักสี่ดาว พลังของเขาย่อมเหนือกว่าจักรพรรดิทั่วไป
จ้าวหยูเฟยมีสายเลือดเผ่าพันธุ์วิญญาณในรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ คุณสมบัติร่างกายพิเศษเป็นที่สุด จึงไม่น่าแปลกใจนัก
โม่ตงเหยามีเกราะคุ้มกันกลิ่นอายพลังจากอาวุธเทพเก่าแก่ สมเหตุสมผลเช่นกัน
ทว่าจ้าวเฟิงกับหนานกงเซิ่งเดินอยู่แนวหน้าได้ออกจะดูน่าเหลือเชื่อ
“เทียบกันแล้ว กลิ่นอายพลังจำกัดปราณที่แท้จริงมากที่สุด รองลงมาเป็นพลังวิญญาณและแก่นแท้กายเนื้อ”
จ้าวเฟิงสุขุมเยือกเย็น หากกล่าวเรื่องพลังวิญญาณ มีเพียงเซวียนหยวนเหวินที่สามารถยกมาเปรียบกัน หากเป็นเรื่องแก่นแท้กายเนื้อ กายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ขั้นห้าของจ้าวเฟิงแทบบดขยี้ราชันคนอื่นตรงนี้ได้ หลังเลิกควบคุมปราณที่แท้จริงโดยสิ้นเชิง จ้าวเฟิงกลับสบายกว่าอีกหลายคน
คนที่อยู่เหนือหลักเหตุผลมากที่สุด แน่นอนว่าเป็นหนานกงเซิ่ง
พลังฝึกตน ร่างกาย และพลังวิญญาณของเขาไม่นับว่าเป็นชั้นยอด แต่กลับสามารถเดินอยู่แถวหน้าสุด
กระทั่งระหว่างเขาเดินฝีก้าวดูล่องลอย พลังชั่วร้ายในกายเต้นเร่าๆ กระปรี้กระเปร่า
จ้าวเฟิงพบว่า กลิ่นอายพลังน่าพรั่นพรึงภายในหอคอยปีศาจเหมือนไม่ส่งผลกดข่มใดต่อหนานกงเซิ่ง
หนานกงเซิ่งเลียริมฝีปาก มีทีท่าคาดหวังและตื่นเต้นเล็กน้อย
สักครู่ต่อมา
ราชันทั้งหลายก้าวอย่างเชื่องช้าเข้าสู่ชั้นสองของหอคอยปีศาจ
หอคอยปีศาจชั้นที่สอง
ทุกคนพบสมบัติล้ำค่าอย่างยิ่งจำนวนหนึ่ง โต๊ะเก้าอี้ หนังสือภาพวาด ทุกอย่างตรงหน้าล้วนเหนือสามัญ
กลิ่นอายที่แผ่จากสิ่งของบางอย่างถึงขั้นไม่ด้อยกว่าอาวุธเทพชั้นรอง ทว่า ค่ายกลเทพคุ้มกันของที่นี่สมบูรณ์พร้อมนัก แทบไม่มีช่องโหว่ใดๆ ต่อให้มองเห็นช่องโหว่ แต่ภายใต้การจำกัดของเสี้ยวพลังเทพ คนทั้งหลายก็ไม่อาจคว้ามาได้ แรงต้านของชั้นที่สองมากกว่าชั้นแรกอย่างชัดเจน
ห้าคนแนวหน้ายังนับว่าดี แต่บรรดาหัวกะทิราชันด้านหลังหายใจถี่กระชั้น รู้สึกถึงแรงกดดันอย่างหนักหน่วง
“นอกจากกดข่มปราณที่แท้จริงเป็นพิเศษ แรงกดดันที่นี่ยังไม่ถึงขั้น ‘ห้วงฝันบรรพกาล’ ”
จ้าวเฟิงไม่เปลี่ยนสีหน้า
เขาเข้าไปในห้วงฝันบรรพกาลบ่อยครั้ง จึงปรับตัวให้เข้ากับแรงต้านในฟ้าดินที่ทรงพลังของที่นั่น ด้วยร่างกายที่แข็งแกร่งกับพลังวิญญาณของเขา การก้าวเดินในหอคอยปีศาจไม่นับว่าเปลืองแรงมาก
ชั่วเวลาจิบชาถ้วยหนึ่งผ่านไป อัจฉริยะแถวหน้าทั้งห้าคนก้าวสู่ชั้นที่สาม
รูปแบบฉากในชั้นนี้เปลี่ยนไปอีกครั้ง แต่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเจ้าของหอคอยปีศาจ พวกเขาไม่มีเวลาสนใจ มุ่งลึกเข้าไปทีละก้าวท่ามกลางแรงต้านมหาศาล
แต่ยามนี้ ราชันทั่วไปส่วนหนึ่งด้านหลังทยอยกันถอนตัวไปแล้ว ถ้าขืนยังฝืนต่ออาจไม่มีแม้แต่แรงจะออกไป
พวกเซวียนหยวนเหวินทั้งห้าคนที่เป็นแนวหน้าก็ไม่รู้ว่าหอคอยนี้มีกี่ชั้น พวกเขาปีนป่ายขึ้นไปทีละนิด
ผ่านไปครู่หนึ่ง เซวียนหยวนเหวิน จ้าวเฟิง หนานกงเซิ่ง จ้าวหยูเฟย และโม่ตงเหยาก้าวสู่ชั้นที่ห้า
คราวนี้เซวียนหยวนเหวินผู้เก่งกล้ามีเหงื่อไหลซึมบนหน้าผาก จ้าวหยูเฟยหายใจรัวเร็ว ใบหน้างามขึ้นสีแดงเรื่อ
“ทุกคน ข้าขอหยุดที่ชั้นห้าก่อน”
เซวียนหยวนเหวินยิ้มน้อยๆ แล้วพลันนั่งขัดสมาธิบนพื้น
อีกสี่คนอึ้งไป พลังของเซวียนหยวนเหวินแก่กล้าที่สุดแท้ๆ เหตุใดไม่ยืนหยัดต่อ
“กลิ่นอายพลังนั่นไม่สอดคล้องกับแนวทางการฝึกบำเพ็ญของข้า ข้าแค่อยากหยุดตรงนี้ และรับรู้กลิ่นอายพลังที่หลงเหลือของ ‘เทพเซียน’ ”
ใบหน้าหล่อเหลาของเขาถึงกับมีแววกระดากอาย
จ้าวเฟิงเผยสีหน้ากระจ่างแจ้ง เขาพอเข้าใจความล้มเหลวของซินอู๋เหินก่อนหน้านี้ได้รางๆ ภายในหอคอยปีศาจมีโอกาสมากมาย แต่ใช่ว่าโอกาสใดๆ ก็ตามจะเหมาะสมกับทุกคน
วังลอยฟ้าที่เซวียนหยวนเหวินสังกัดอยู่เป็นถึงสำนักสี่ดาวสายธรรมะ กลิ่นอายพลังชั่วร้ายในหอคอยปีศาจจึงไม่เข้ากับการฝึกฝนของเขา
ถ้าจะเสี่ยงอันตรายกับมัน ไม่สู้ถอยเมื่อเห็นว่าเกินตัว แล้วถือโอกาสรับรู้กลิ่นอายที่หลงเหลือจากพลังของ ‘เทพเซียน’ เสีย
สิ่งที่เรียกว่า ‘ขอบเขตเซียนสวรรค์’ พิเศษเหนือธรรมดา เพราะเป็นขอบเขตของเทพ
ว่ากันว่า หลังจากขอบเขตเทวาเร้นลับคือ ‘ขอบเขตเซียนสวรรค์’ เมื่อใดที่ทะลวงด่านนี้ ข้ามผ่านการชำระล้างจากด่านเคราะห์ จะได้รับการยอมรับจากฟ้าดิน และขึ้นเป็น ‘เทพเซียน’
เทพบรรพกาลเสียหยางเป็น ‘เทพเซียนผู้แข็งแกร่ง’ ตามที่ตำนานบันทึกไว้ เทพเซียนทุกท่านล้วนมี ‘ป้ายจารึกเทพ’ ของตน แต่สำหรับผู้แข็งแกร่งทั่วไป เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นตำนานอันไกลโพ้น
ในหอคอยปีศาจ กลิ่นอายพลังเทพเซียนที่เหลืออยู่ย่อมทำให้อัจฉริยะราชันบางส่วนใจสั่นระรัว ถ้าได้พลังกลุ่มนี้มา อาจได้สัมผัสขอบเขตของ ‘เทพเซียน’!
ถึงแม้เป็นจักรพรรดิหรือเซียนในขอบเขตเทวาเร้นลับ ก็ไม่อาจหักห้ามใจจากความเย้ายวนนี้ได้
“สามารถสัมผัสพลังของ ‘เทพเซียน’ สักเล็กน้อย เป็นโอกาสที่หมื่นปียากจะพบเจอ…”
เซวียนหยวนเหวินหลับตาลง
หลังจากนั้น ผู้อยู่แนวหน้าจึงเหลือเพียงสี่คน คือจ้าวเฟิง หนานกงเซิ่ง จ้าวหยูเฟย และโม่ตงเหยา
ครั้นถึงชั้นที่หก ใบหน้าจ้าวหยูเฟยเริ่มขาวซีด แต่ด้วยสภาพร่างกายของเผ่าพันธุ์วิญญาณที่พิเศษอย่างยิ่ง จึงยังมีแรงต้านทานสูง ส่วนโม่ตงเหยาพึ่งพาพลังคุ้มครองจากอาวุธเทพเก่าแก่มากขึ้น
“หยูเฟย แม่นางโม่ ทั้งสองคนไม่สู้วางมือก่อน โอกาสในหอคอยแห่งนี้อันตรายเกินคาดคิด อีกทั้งไม่แน่ว่าจะเหมาะสมกับแต่ละคน”
จ้าวเฟิงเอ่ยขึ้น
ชั้นต่อไป ขนาดซินอู๋เหินอาจยังไม่เคยย่างกรายไปถึง
“พี่เฟิง ศิษย์พี่หนานกง พวกท่านระวังตัวด้วย…”
จ้าวหยูเฟยไม่เดินหน้าต่อ
สายเลือดเผ่าพันธุ์วิญญาณของนางอาจยังดึงศักยภาพออกมาได้อีกมากมาย สามารถขึ้นไปชั้นที่สูงกว่า แต่นางก็มองออกเช่นกันว่าโอกาสของหอคอยนี้ไม่เหมาะสมกับตน
“ขออภัยด้วย! ข้าจะไปต่อ นี่เป็นเจตนาของผู้อาวุโสเซียนกระบี่”
โม่ตงเหยาตอบกลับเรียบๆ
กระบี่เทพที่ชำรุดในมือนางเปล่งแสงหมุนวนสีครามเลือนราง ปกป้องรอบกายไว้
“เอาเถิด” จ้าวเฟิงไม่บีบบังคับ
หลังจากเซียนกระบี่สละดวงวิญญาณและกายเนื้อ เปลี่ยนร่างเป็นกระบี่วิญญาณ และรวมเป็นหนึ่งกับอาวุธเทพเก่าแก่ ความลึกซึ้งในศาสตร์กระบี่และขอบเขตของตัวเขาไปถึงขั้นสูงเกินจินตนาการ
ตึก ตึก! ตึก ตึก! ในหอคอยปีศาจเหลือเพียงพวกจ้าวเฟิงสามคนมุ่งหน้าไปอย่างช้าๆ
ระหว่างนั้น ตราโลหิตม่วงกลางหว่างคิ้วหนานกงเซิ่งเป็นสีแดงสดวาววับ กะพริบครั้งแล้วครั้งเล่า ผมของเขากลายเป็นสีม่วงโลหิตทั้งหมด ต่างจากสีม่วงมายาของจ้าวเฟิง
วิ้ง! ผิวกายหนานกงเซิ่งอาบแสงสีเงินม่วง พลังในร่างเต้นระส่ำไม่หยุด ใบหน้าดูตื่นเต้นร้อนใจ
ในบรรดาคนทั้งสาม เขาเดินอยู่ด้านหน้าสุด
เนื่องจากกลิ่นอายพลังอัปมงคลและน่าสะพรึงของ ‘เทพเซียน’ ในหอคอย ไม่มีผลกดข่มเขามากนัก
เมื่อถึงชั้นที่เจ็ด
“หนานกงเซิ่ง หยุดก่อน!” เสียงเยียบเย็นดังขึ้นด้านหลัง มาจากเด็กหนุ่มผมม่วงที่มีลวดลายสีทองลอยรอบกาย
“จ้าวเฟิง…”
ความตื่นเต้นร้อนใจบนใบหน้าหนานกงเซิ่งพลันสงบลงส่วนหนึ่ง รู้สึกถึงไอเย็นเยือกที่แช่แข็งวิญญาณ
ยามนี้ ตาซ้ายของเด็กหนุ่มผมม่วงราวบ่อน้ำหนาวเหน็บสีฟ้าหม่น พลังจิตวิญญาณเหมันต์แทรกซึมเข้าแช่แข็งดวงวิญญาณของหนานกงเซิ่ง
“เป็นไปได้อย่างไร! อยู่ในหอคอยปีศาจ เจ้ายังใช้สายเลือดดวงตาซ้ายได้”
โม่ตงเหยาไม่อยากเชื่อ
ภายใต้การจำกัดจากกลิ่นอายพลังเทพเซียน พลังศาสตร์กระบี่ของนางยากจะปรากฏ
พลังมากมายที่เหลือยิ่งโคจรได้ยาก ทว่าในสถานการณ์เช่นนี้ เด็กหนุ่มผู้นี้ยังสามารถเปิดใช้สายเลือดดวงตาซ้าย ท่ามกลางการเพ่งมองจากสายเลือดดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิง หนานกงเซิ่งสะท้านทั้งใจและกาย เหงื่อเย็นไหลซึมบนหน้าผาก
เฮือก! หนานกงเซิ่งสูดลมหายใจเข้าลึก เหงื่อไหลอาบแผ่นหลัง พลันนั่งขัดสมาธิลงสงบจิตใจ
“จ้าวเฟิง เมื่อครู่ขอบคุณเจ้ามาก…”
หนานกงเซิ่งมีสีหน้าซับซ้อน เจือความซาบซึ้งใจ
จ้าวเฟิงในตอนนี้ สายเลือดดวงตาซ้ายเปิดออก ผมม่วงโบกสะบัด แผ่กลิ่นอายจากยุคบรรพกาลที่เทพมารล้วนหลีกหนี
แม้แต่กลิ่นอายพลังเทพเซียนที่หลงเหลือในหอคอยยังไม่อาจสะกดกลิ่นอายดังกล่าว หรือกระทั่งไม่กล้าเข้าใกล้มากเกินไป
“อดีตล่มสลาย เทพบรรพกาลถูกทำลาย กลายเป็นฝุ่นธุลีนับแสนนับล้าน…”
คลับคล้ายมีเสียงทอดถอนใจแสนอ้างว้างดังก้องกังวานในหัวจ้าวเฟิง
ตึกตึก! วินาทีนั้น ดวงตาเทพเจ้าของเขากระตุกไม่หยุด กลิ่นอายชั่วร้ายรอบด้านเหมือนจะสั่นเทาเล็กน้อย
เวลาเดียวกัน บนชั้นสูงสุดของหอคอยปีศาจ เงามนุษย์สีม่วงโลหิตที่บิดโค้งโปร่งใสตกใจจนไร้เสียง “กลิ่นอายของเทพยุคบรรพกาล! สายเลือดดวงซ้ายนั่นเกี่ยวข้องอะไรกับแปดเนตรเทพเจ้า?”
ขณะนั้น ทั้งหอคอยปีศาจ แรงต้านจากกลิ่นอายอัปมงคลลดลงหลายส่วน
ในชั้นที่เจ็ด แววตาของหนานกงเซิ่งกระจ่างขึ้นทีละน้อย สีหน้าสงบสุขุม ก่อนพยักหน้าอย่างจริงจัง
“ออกเดินทาง” ทั้งสามคนมุ่งสู่ชั้นสูงขึ้นตามเดิม
ชั่วพริบตา เวลาสองวันผ่านพ้นไป ไม่รู้เดินขึ้นมาแล้วกี่ชั้น พวกจ้าวเฟิงทั้งสามมาถึงชั้นบนสุดจนได้ ชั้นสูงสุดของหอคอยปีศาจโล่งกว้าง ตาเปล่าเห็นแค่เบาะรองนั่งสีดำ ไม่ผู้ใดอยู่ แรงกดข่มจากกลิ่นอายพลังเทพเซียนที่ชั้นบนไปถึงขีดสุด
ร่างกายจ้าวเฟิงหนักอึ้งแข็งเกร็ง แทบขยับเขยื้อนไม่ได้ หายใจลำบากเป็นที่สุด
ยังดีที่ดวงตาเทพเจ้าของเขาเป็นสิ่งเดียวที่ไม่ถูกสะกดไว้
“ระวัง!” จ้าวเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกถึงกายจิตวิญญาณมหาศาลกลุ่มหนึ่ง ขนาดตนมีข้อยกเว้นในชั้นวิญญาณจากดวงตาเทพเจ้า ก็ยังมืดหม่นไม่เป็นสุข
ถัดจากนั้น สายเลือดดวงตาซ้ายของเขาเริ่มมองสอดส่องค้นหา แต่ประสาทสัมผัสกลับถูกเศษเสี้ยวพลังเทพปีศาจขวางกั้น
ตึกตึก! ตราโลหิตม่วงกลางหว่างคิ้วหนานกงเซิ่งร้อนรุ่ม เต้นระรัว เสียงเรียกคุ้นเคยที่เด่นชัดถึงขีดสุด สั่งให้เขาเดินไปทางเบาะสีดำตรงกลางชั้นทีละก้าว
จ้าวเฟิงกระตุ้นวิชาสายเลือดเพื่อลองยับยั้ง กลับถูกเศษเสี้ยวพลังเดิมกีดขวาง
เขาและโม่ตงเหยาเห็นหนานกงเซิ่งเดินไปหน้าเบาะรองนั่ง และนั่งลงบนนั้นประหนึ่งเป็นนายของที่แห่งนี้
ครืน~ ทันทีที่หนากงเซิ่งนั่งลงบนเบาะ เสี้ยวพลังเทพเซียนทั้งหอคอยพลันสั่นสะเทือน ชวนให้รู้สึกอันตรายคล้ายมิติจะพังทลาย กลิ่นอายต้องห้ามโคจรรอบคฤหาสน์เสียหยางโดยมีหอคอยปีศาจเป็นศูนย์กลาง สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนสั่นสะท้าน ลงไปหมอบคลานกับพื้น