Skip to content

King of Gods 856

King Of Gods

บทที่ 856 หอคอยปีศาจ

เนื่องจากวิกฤตกระชั้นชิดเข้ามา เหล่าคนชั้นหัวกะทิในคฤหาสน์เสียหยางพากันเร่งตรงไปยัง ‘หอคอยผลึกม่วง’ ที่อยู่ใจกลาง

พวกจ้าวเฟิงสองคนเปลี่ยนท่าทีจากปกติ มารวมกลุ่มกับคนหอกระบี่ฟ้าชั่วคราว

เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคำมั่นระหว่างจ้าวเฟิงและเซียนกระบี่

“ตอนนี้ต้องลดการคุกคามจากมังกรวารีล้างโลกาจึงจะสำคัญที่สุด…”

จ้าวเฟิงถอนใจอยู่ข้างใน

การสำรวจคฤหาสน์เสียหยางยังมีขีดจำกัดสูงนัก มากสุดคือหนึ่งในสิบ น้อยสุดคือหนึ่งในร้อย ทว่าของที่อยู่ด้านนอกมากมาย ก็ต้องรอดชีวิตเพื่อไปเอามาเช่นกัน

เวลาที่ทุกคนเหลืออยู่มีไม่ถึงยี่สิบวัน ดังนั้นจ้าวเฟิงถึงตอบรับคำสัญญากับเซียนกระบี่อย่างไม่อ้อมค้อม หากมีแผนลับเรื่องผลประโยชน์โดยแท้ จ้าวเฟิงและหนานกงเซิ่งคงไม่เข้าร่วมกับขั้วอำนาจอื่น จัดการตามลำพังสะดวกกว่า

ระหว่างทาง จ้าวเฟิงรู้สึกว่าพลังชั่วร้ายในกายหนานกงเซิ่งเต้นเร่าๆ ผิดปกติ

สีหน้าอารมณ์ก็มีความระแวดระวังอยู่หลายส่วนท่ามกลางความตื่นเต้น

‘ยามนี้หนานกเซิ่งยังรักษาธรรมชาติของตนไว้ได้ แต่การหลอมรวมเป็นหนึ่งของผลึกปีศาจลึกล้ำขึ้นทุกที มุกสะกดเทวะ มุกวิญญาณวารี บัวฟ้าวารีคราม ไม่รู้ประสิทธิผลของทรัพยากรล้ำค่าพวกนี้จะคงอยู่ได้นานเพียงใด…”

จ้าวเฟิงกังวลเล็กน้อย

ทางเลือกของหนานกงเซิ่ง จ้าวเฟิงย่อมเคารพ กระทั่งรับปากแล้วว่าจะช่วยเขาสุดความสามารถ

สวบ! สวบ! สวบ!

ในครรลองสาย หอผลึกม่วงตรงใจกลางคฤหาสน์ค่อยๆ ใกล้เข้ามา ทุกนาทีที่เข้าใกล้ อานุภาพไร้รูปจากหอผลึกม่วงจะแก่กล้าน่าตื่นตกใจมากขึ้น

“ภายในหอนั้นมี ‘พลังเหนือระดับ’ ที่เกินกว่าจินตนาการของพวกเรา เพียงพลานุภาพที่เกิดจากกลิ่นอายส่วนหนึ่งก็น่าสะพรึงเช่นนี้…”

กระบี่เทพเก่าแก่ผุพังในมือม่อตงเหยาสั่นเทาตอบสนอง

สายตานางเหลือบมองหนานกงเซิ่งคล้ายตั้งใจและไม่ตั้งใจ ภายใต้การคุกคามจากกลิ่นอายน่าพรั่นพรึง คนอื่นตระหนกตกใจ ปราณที่แท้จริงในกายสั่นเทาระส่ำระส่าย

มีเพียงหนานกงเซิ่งที่มีอาการคาดหวังและกระตือรือร้นอยู่บ้าง กลิ่นอายพลังของเขาก็มีชีวิตชีวามาก

หอผลึกม่วงดูเหมือนอยู่ไกล แต่ความจริงห่างแค่ระยะหนึ่ง สองสามชั่วยามให้หลัง กำลังคนของวังลอยฟ้าและเชื้อพระวงศ์ไปถึงก่อน

“กลิ่นอายน่ากลัวยิ่งนัก ภายในหอผลึกม่วงคงจะมีเสี้ยว ‘พลังเทพ’ จากเทพบรรพกาลเสียหยางหลงเหลือบางส่วน”

ศิษย์พี่จูเก๋อมีสีหน้าระวังภัย

ไม่รู้ด้วยปัจจัยใด พลังที่ปิดผนึกไว้ในหอผลึกม่วงยิ่งกระสับกระส่ายขึ้นเรื่อยๆ อำนาจกลิ่นอายที่แผ่กระจายแทบทำให้คนทุกผู้ยากจะขยับปราณที่แท้จริง

ไม่นานนัก กลุ่มขั้วอำนาจเช่นตระกูลตวนมู่และหอกระบี่ฟ้าก็มาถึง

“ที่นี่มีคนอื่นเคยมาเยือน”

จมูกหนานกงเซิ่งผ่อนคลายลง ‘ห่วงประดับสีทองแดง’ ข้างรูจมูกสั่นเทาน้อยๆ

ห่วงประดับจมูกชิ้นนี้ได้มาจากโครงกระดูกทองในซากเมืองเก่า ช่วยให้มีความสามารถดมกลิ่นว่องไวยิ่ง ใช้ตามรอยและวินิจฉัยคุณลักษณะของสมบัติทรัพยากรได้

รองเท้าโบราณสีเขียวของจ้าวเฟิงก็ได้จากโครงกระดูกทอง เพียงแต่มันเสียหายในหอหลอมศาสตรา และแหลกสลายไปในที่สุด

เพิ่งกล่าวจบ

ตุ้บ! วูบ! เงาร่างสองคนม้วนตลบมาจากในประตูหอผลึกม่วงที่มืดหม่นวังเวง

“เป็นจิวอู๋จี้…”

บุรุษหัวล้านสวมชุดนักรบสีดำเรียกความสนใจและเสียงร้องอุทานจากทุกคน

ราชันสองคนนี้มาจากวังเก้านิรย

จิวอู๋จี้ยังระงับอารมณ์ไว้ได้ แต่ยากจะปิดบังความตื่นตระหนกบนใบหน้า ส่วนราชันอีกคนอาภรณ์หลุดลุ่ย ดูคล้ายวิญญาณหลุดออกจากร่าง

“พี่จิว ภายในหอเจดีย์เกิดอะไรขึ้น?”

ราชันผู้หนึ่งถามด้วยความแปลกใจ

“หอเจดีย์นั่น…น่าจะเป็นที่ฝึกบำเพ็ญของเทพบรรพกาลเสียหยาง กลิ่นอายพลังน่าสะพรึงกลัวควบคุมและกดข่มพลังจากภายนอกทุกอย่าง”

จิวอู๋จี้พยายามสงบสติอารมณ์ สูดลมหายใจลึก ทั้งสองคนหย่อนก้นนั่งลงกับพื้น ทั่วตัวมีเหงื่อเย็นไหลซึม

“พวกเราไม่พบสิ่งมีชีวิตใด ในหอเจดีย์ ดวงวิญญาณกับปราณที่แท้จริงถูกสะกดถึงขีดสุด ทำอะไรไม่ได้เลย”

ราชันอีกคนกล่าวทั้งใบหน้าหวาดผวา

“ดวงวิญญาณกับปราณที่แท้จริงโดนสะกดหมด?”

พวกเซวียนหยวนเหวินหลายคนมองหน้ากันไปมา วิเคราะห์สถานการณ์ในหอผลึกม่วงได้อีกขั้น ไม่ต้องสงสัยเลย หอผลึกม่วงแห่งนี้คงเป็นศูนย์กลางของคฤหาสน์

สวบ! สวบ! เวลานี้เอง ละแวกใกล้เคียงหอผลึกม่วง มองเห็นกลุ่มคนจากขั้วอำนาจอื่นได้รางๆ

ในนั้นรวมถึงตระกูลจี จวนฉีกง ตระกูลเจียง และกองกำลังส่วนหนึ่ง

“พวกเราไม่มีหนทางเข้าไปในนั้นได้”

จีหลานเอ่ย

ระหว่างสำรวจคฤหาสน์ กลุ่มขั้วอำนาจทั้งหลายกระจายตัวไปตามจุดต่างๆ

หนึ่งในนั้น กลุ่มคนบางส่วนมาถึงศูนย์กลางก่อนก้าวหนึ่ง

บางทีอาจมีกำลังคนส่วนน้อยยังรั้งอยู่บริเวณที่มีโอกาสคล้าย ‘หอหลอมศาสตรา’ หรือ ‘หอตำรามืดทะมึน’

อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาเคลื่อนผ่านไป ภายใต้ ‘การคุกคามมรณะ’ ของมังกรวารทมิฬ คนทั้งหมดมุ่งมาใกล้ใจกลางของคฤหาสน์

พรึ่บ! บุรุษเสื้อดำคนหนึ่งโผทะยาน หยุดลงที่จุดหนึ่งบนชายคาโค้งของหอผลึกม่วง

“ซินอู๋เหิน!”

บุรุษเสื้อดำผู้นั้นเคลื่อนไหวโดยลำพัง รวดเร็วฉับพลันอย่างยิ่ง

ซินอู๋เหินยืนเอามือไพล่หลัง ใบหน้าเคร่งขรึม สายตากวาดมองวังลอยฟ้าและพวกราชนิกุล หยุดค้างที่พวกจ้าวเฟิงสองคนกับม่อตงเหยาครู่หนึ่ง

“หอผลึกม่วงหลังนี้เรียกกันว่า ‘หอคอยปีศาจ’ มีพลังของเทพหลงเหลืออยู่ส่วนหนึ่ง ถึงแม้อ่อนกำลังเป็นที่สุด ไม่ถึงหนึ่งในพันส่วนของช่วงสุดยอด แต่ก็กดข่มคนต่ำกว่าขั้นครึ่งเซียนโดยสมบูรณ์”

ซินอู๋เหินพ่นลมหายใจยาว

หอคอยปีศาจ?

คนทั้งหมดประหลาดใจ เหตุใดเซินอู่เหินจึงรู้จักชื่อของหอเจดีย์หลังนี้

อาจเป็นเพราะเขามาสำรวจรวดเร็วกว่า หรือบางทีเขาอาจรู้เรื่องเบื้องหลังมากอยู่แล้ว

“ซินอู๋เหิน พูดอย่างนี้แสดงว่าเจ้าสำรวจแล้ว?” จ้าวเฟิงกล่าวขึ้น

ซินอู๋เหินพยักหน้า เขาเคยสำรวจ ‘หอคอยปีศาจ’ แล้วจริงๆ ผลลัพธ์คือล้มเหลว

ไม่เพียงเท่านี้ ซินอู๋เหินยังเคยค้นสิ่งปลูกสร้างใกล้หอคอยปีศาจ ทุกหลังสำคัญเป็นที่สุด หลายจุดมีค่ายกลเทพคุ้มกันปกปักอยู่

“พลังเทพที่หลงเหลือในหอคอยปีศาจกดข่มปราณที่แท้จริงมากที่สุด รองลงมาเป็นวิญญาณและกายเนื้อ…ดังนั้น คนที่พลังฝึกตนและปราณที่แท้จริงแข็งแกร่งมาก จะยิ่งเสียเปรียบมาก”

ซินอู๋เหินอธิบาย

การล้มเหลวติดต่อกันของจิวอู๋จี้และซินอู๋เหิน ทำเอาคนจำนวนมากในที่นั้นล้มเลิกความคิดเรื่องหอคอยปีศาจ

“ข้าจะลองดู” หนานกงเซิ่งกล่าวด้วยสีหน้ามั่นใจ

ตราโลหิตม่วงระหว่างคิ้วเขาขยับวูบวาบ เสียงเรียกขานที่คุ้นเคยรุนแรงขึ้นไม่ต่ำกว่าสิบเท่า

“ข้าไม่คัดค้าน”

ซินอู๋เหินมองหนานกงเซิ่งคล้ายครุ่นคิดบางอย่าง เอ่ยต่อว่า “ข้ามาที่นี่เพื่อแจ้งข่าวคราวที่สำคัญยิ่งกว่าเรื่องหนึ่ง”

ชัดเจนว่าซินอู๋เหินไม่ได้สนใจหอคอยปีศาจ

เรื่องด่วนตอนนี้คือจะรอดชีวิตภายใต้ภยันอันตรายจาก ‘มังกรวารีล้างโลกา’ อย่างไร

“ข่าวสำคัญ?”

กองกำลังที่รีบร้อนมาถึงกันมากขึ้น สายตามองใบหน้าซินอู๋เหิน

ซินอู๋เหินเหมือนจ้าวเฟิง เป็นบุคคลลี้ลับอยู่ท่ามกลางหมอกหนา จนตอนนี้ราชันทั้งหลายยังมองตื้นลึกหนาบางไม่ปรุโปร่ง

“ข่าวนี้เกี่ยวกับแกนกลางของค่ายกลเทพคุ้มกัน ข้าค้นพบแล้ว”

ซินอู๋เหินพูดตรงประเด็น

ค่ายกลเทพคุ้มกัน! เมื่อทุกคนตรงนั้นได้ยิน จิตใจก็สั่นไหว

ยาม ‘มังกรวารีล้างโลกา’ ขู่เข็ญพวกเขา เคยเอ่ยถึงสองสิ่ง

หนึ่ง กุญแจของโซ่ผนึกวิญญาณ

สอง แกนกลางของค่ายกลเทพคุ้มกัน

ได้กุญแจมาหรือทำลายแกนกลางค่ายกลได้ ก็จะได้รับการละเว้นจากมังกรวารีทมิฬ

ไม่นึกเลยว่า ซินอู๋เหินผู้สำรวจก่อนหน้าจะพบแกนกลางของค่ายกลเทพคุ้มกันแล้ว

“พวกมนุษย์โง่เขลา ค่ายกลเทพคุ้มกันแตกร้าวหนักแล้ว พวกเจ้าแค่ต้องทำลายแกนกลางทิ้ง ข้าก็จะไว้ชีวิตให้…”

เสียงยโสดังผ่านหูของทุกคน

ได้ยินเสียงของมังกรวารีทมิฬชัดเจนผ่านตราประทับล้างโลกา

“ค่ายกลเทพคุ้มกัน? รับพาข้าไป! นี่เป็นโอกาสพลิกสถานการณ์…”

ศิษย์พี่จูเก๋อเผยสีหน้ายินดี

จ้าวเฟิงก็มีทีท่าแปลกไปเล็กน้อย ความคิดของจูเก๋อเหมือนกับเขาไม่มีผิด

“เป็นโอกาสอันดี ใช้กำลังคนแซ่ซินเพียงคนเดียวยังมีขีดจำกัด”

ซินอู๋เหินผงกศีรษะ

แม้เขาพบค่ายกลเทพคุ้มกันแล้ว แต่พลังเขาคนเดียวก็มีขีดสูงสุด ไม่อาจพลิกสถานการณ์ได้

“มนุษย์ตัวกระจ้อย พวกเจ้าควบคุมค่ายกลไม่ได้ และยิ่งไม่อาจคุกคามข้าได้!”

มังกรวารีทมิฬส่งเสียงหยามเหยียดมา

ทั้งคฤหาสน์เสียหยาง ค่ายกลเป็นระบบระเบียบใหญ่ยักษ์อย่างหนึ่ง เข้าใจได้ว่าเป็น ‘ตาข่าย’ ที่เชื่อมต่อระหว่างกัน

ขอแค่หาแกนกลางพบ แล้วควบคุมมันในระดับหนึ่ง ก็จะกำหนดพลังของทั้งค่ายกลได้

นี่ก็เป็นความคิดที่จ้าวเฟิงนึกได้ตั้งแต่เข้ามาในคฤหาสน์

ไม่นึกเลยว่า คนที่มีแผนการอย่างเดียวกันไม่ได้มีแค่จ้าวเฟิง ยังมีจูเก๋อ ซินอู่เหิน และคนอื่นๆ

ทำนองเดียวกัน บางคนมีความคิดอยากหากุญแจของโซ่ผนึกวิญญาณ

หากได้มันมา อาจข่มขู่คุกคามมังกรวารีทมิฬได้

อย่างไรกุญแจนั่นก็น่าจะมีเพียงหนึ่งเดียว

“แกนกลางของค่ายกลเทพคุ้มกันอยู่ด้านหลังนี่…”

ซินอู่เหินหันไปทิศทางนั้น

คนทั้งหมดมองตาม เห็นเรือนสีเงินเข้มหลังหนึ่ง ทั้งหลังสร้างจากโลหะ มองไม่เห็นทางเข้าแม้แต่นิด

เรือนพักโลหะเช่นนี้มั่นคงดุจทอง ไม่มีช่องโหว่สักนิด

ยังไม่ทันเข้าใกล้ ทุกคนก็รู้สึกถึงพลังมหาศาลของค่ายกลเทพ

“เรือนพักหลังนี่ชื่อ ‘หอค่ายกลเทพ’ จุดเปิดปิดแกนกลางค่ายกลทั้งคฤหาสน์รวมอยู่ที่นี่…”

ซินอู๋เหินอธิบาย

ไม่นาน กลุ่มคนทั้งหมดมุ่งไปรวมตัวตรงหน้าหอค่ายกลเทพ

หอคอยปีศาจ หอค่ายกลเทพ หนึ่งอยู่หน้า อีกหนึ่งอยู่หลัง แน่นอนว่ายังมีคนส่วนน้อยหยุดอยู่ข้างหอคอยปีศาจ ยังไม่วางมือ

คนเหล่านี้ก็เช่นเซวียนหยวน องค์ชายเก้า มารคู่ผมม่วง จ้าวหยูเฟย ลั่วจุน ม่อตงเหยา

ราชันที่อยากทดลองดูมีสิบกว่าคน

“ลองหน่อยก็ไม่เสียหาย” ซินอู๋เหินไม่คัดค้าน “เพียงแค่รู้จักถอยเมื่อลำบาก ภายในหอคอยปีศาจไม่คุกคามชีวิต แต่ก็ไม่กำจัดสภาวะพิเศษบางอย่าง”

สวบ! สวบ! สวบ!

เพิ่งกล่าวจบ เงาคนเหล่านั้นพากันทะยานเข้าสู่หอคอยปีศาจ

ถึงอย่างไร หอคอยนี้ก็เป็นที่ฝึกบำเพ็ญของเทพเสียหยาง และเป็นใจกลางที่สุดของคฤหาสน์ ทว่าคนที่เหลือกลับรวมตัวกันอยู่หน้าหอค่ายกลเทพ ร่วมมือกันทำลาย หารอยโหว่ พยายามเข้าไปในพื้นที่แกนกลาง

“พลังของระดับเทพ ต่อให้แค่ไปเปิดหูเปิดตา ก็ไม่มีอะไรต้องเสีย”

ร่างเซวียนหยวนเหวินสั่นไหว ใช้ความเร็วสูงสุดเข้าไปด้านใน

ต่อจากนั้น จึงเป็นองค์ชายเก้า จ้าวหยูเฟย และพวกมารคู่ผมม่วง

องค์ชายเก้าอยู่ในลำดับสิบสามในกลุ่มอัจฉริยะรายชื่อจักรพรรดิ หลังเข้ามาในคฤหาสน์เสียหยาง พลังก็ทะลวงไปถึงราชันระดับสุดยอด

ฮู่! วินาทีที่ก้าวเข้าสู่หอคอยปีศาจ กลิ่นอายลี้ลับเหนือทุกสิ่งพุ่งปะทะเข้ามา ราวกับอานุภาพน่าสะพรึงที่ทำลายล้างฟ้าดิน ราชันหลายคนในนั้นที่รายละเอียดพลังค่อนข้างต่ำ เลือดลมปั่นป่วน เกือบจะกระอักเลือด

จ้าวเฟิงใจกายหนักอึ้ง รู้สึกเพียงปราณที่แท้จริงในร่างแข็งทื่อในพริบตา อยากจะโคจรได้

“ปราณที่แท้จริงแทบจะถูกสะกดไวแล้ว…”

ราชันปราณเทวะบางส่วนในที่นั้น หลังก้าวเข้าสู่ในหอก็เหนื่อยล้าอย่างประหลาด ระดับขั้นปราณที่แท้จริงของจ้าวเฟิงต่ำที่สุด จึงปลดปล่อยการควบคุมมันเสีย และยอมให้กลิ่นอายกลุ่มนั้นกดข่มควบคุม

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version