บทที่ 871 ตายยกหมู่?
ตุบ! ตุบ! ตุบ!
ลูกเตะนี้ของจ้าวเฟิงไม่เพียงแต่เตะจนผู้อาวุโสอู่ผู้เป็นราชันในขอบเขตปราณเทวะลอยละลิ่วออกไปไกล สมาชิกสำนักที่อยู่ใกล้เคียงยังทรุดลงเมื่อได้ยินเสียงกึกก้อง คนไม่น้อยกระอักเลือดออกมาทันที
แก่นแท้พลังที่รุนแรงของลูกเตะนี้ เป็นเหมือนภูเขาอัสนีขนาดยักษ์หนักหลายพันหมื่นชั่งที่กระเทือนทั้งผืนฟ้า
เปรี้ยง! ครืน——
ภูเขาในละแวกใกล้เคียงยังสั่นสะเทือนน้อยๆ เสียงสายฟ้าดังขึ้นที่ข้างหู
“นี่…เป็นไปได้อย่างไรกัน…”
ลูกศิษย์ของสำนักที่อยู่ไกลออกไปหน่อยเลือดลมปั่นป่วน แต่ละคนตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก
ผู้อาวุโสราชันอีกคนอย่าง ‘ราชาลู่อวิ๋น’ อ้าปากค้าง จนริมฝีปากล่างแทบจะหลุดออกมาอยู่แล้ว
“เพียงแก่นแท้กายเนื้อแค่อย่างเดียว ก็สามารถทำร้ายผู้อาวุโสอู่จนบาดเจ็บสาหัส…”
แผ่นหลังของราชาลู่อวิ๋นเปียกโชก เหม่อลอยไปชั่วขณะ
ถึงแม้ว่าความเป็นจริงจะอยู่ตรงหน้า แต่ราชาลู่อวิ๋นก็ยังคงสงสัยสายตาของตนเอง
โครม!
ผู้อาวุโสอู่ที่อยู่อีกฟากหนึ่งกระเด็นออกไปสองร้อยกว่าลี้ ปะทะเข้ากับภูเขาขนาดใหญ่เข้าอย่างจัง จนฝุ่นธุลีลอยคละคลุ้ง
“เจ้า…เป็นไปได้อย่างไร!”
ผู้อาวุโสอู่หน้าซีดขาว เหมือนกระดูกทั่วร่างแตกกระจายออกจากกัน แทบจะชันกายขึ้นมาไม่ได้
ด้านบนแท่นบูชาสีดำสนิท จ้าวเฟิงตกเป็นเป้าสายตาที่มองเขาอย่างหวาดกลัวและสงสัย ราวกับว่าเขาไม่ใช่มนุษย์ สมาชิกของสำนักที่บาดเจ็บส่วนหนึ่งยังไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะอะไรด้วยซ้ำไป
“ต้องขออภัยทุกท่านด้วยที่ไม่ได้ควบคุมพลังให้ดี…”
จ้าวเฟิงเอ่ยขอโทษต่อสมาชิกของสำนักที่ถูกลูกหลง แต่กลับทำให้เกิดเสียงร้องอย่างตื่นตระหนกมากขึ้น
เขาไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายสมาชิกของสำนักที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เหล่านั้นจริงๆ
จ้าวเฟิงไม่เหมือนกับหนานกงเซิ่ง พลังของเขาเกิดจากการสะสมเองทีละน้อย และคอยระวังไม่ไปทำร้ายผู้บริสุทธิ์ซึ่งเป็นเรื่องค่อนข้างน่ารังเกียจ
เพียงแต่ว่า เขาเพิ่งออกมาจากมิติเทพลวงตา จึงยังควบคุมพลังไม่ค่อยได้
ถ้าหากว่าเป็นในมิติเทพลวงตา พลังของเท้านี้จะถูกกดจนถึงขีดสุด ไม่มีทางมีพลังที่กระเทือนได้มากขนาดนี้
อีกทั้งก่อนที่จ้าวเฟิงจะเข้าไปในมิติเทพลวงตา กายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ยังหยุดอยู่ที่ขั้นสี่ระดับแรกเริ่ม แตกต่างกับตอนนี้ราวฟ้ากับเหว
“วายุอัสนีธาตุไม้!”
แขนสองข้างของจ้าวเฟิงกางออกน้อยๆ ระลอกอัสนีธาตุไม้สีเขียวเข้มชั้นหนึ่งปรากฏขึ้นรอบๆ
แซ่ด! สมาชิกของสำนักที่ได้รับบาดเจ็บถูกวายุอัสนีธาตุไม้หลายสายพันรัดเอาไว้ ร่างกายชาไร้ความรู้สึก อาการบาดเจ็บฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว
ถึงขนาดที่ว่าวายุอัสนีธาตุไม้นั้นยังส่งผลช่วยสลายพิษและโรคภัยแอบแฝงในร่างกายด้วย
“ผลลัพธ์และพลังของวายุอัสนีธาตุไม้นี้เทียบเท่าได้กับขั้นราชันปราณเทวะแล้ว…”
ราชาลู่อวิ๋นที่อยู่ไม่ไกลนักแววตาเปล่งประกาย
เขามองประเมินจ้าวเฟิงในมุมมองใหม่ ไม่เห็นว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นเพียงคนรุ่นหลังอีกต่อไป แต่อย่างน้อยก็มองอีกฝ่ายเป็นราชันที่อยู่ในระดับเดียวกัน
“ขอบคุณศิษย์น้องจ้าว!”
สมาชิกในสำนักที่ได้รับการรักษาจนหาย สังเกตได้ว่าผลประโยชน์ที่ร่างกายได้รับส่งผลให้ระดับขั้นชีวิตเพิ่มขึ้นรางๆ
ทันใดนั้นเอง ในแววตาของสมาชิกสำนักที่ทอดมองจ้าวเฟิง นอกเหนือจากความหวาดกลัวแล้วยังฉายแววเคารพนับถือด้วย
ด้วยเพราะจ้าวเฟิงไม่ได้ตั้งใจทำร้ายผู้บริสุทธิ์
“จ้าวเฟิง เจ้าเก่งกาจอย่างยิ่ง แต่ในฐานะที่เป็นสมาชิกคนหนึ่งของ ‘สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น’ เหตุใดเจ้าจึงทำร้ายผู้อาวุโสจนบาดเจ็บสาหัส?”
ราชาลู่อวิ๋นสูดลมหายใจเข้าลึก เอ่ยถามขึ้นอย่างอดไม่ได้
“เขาไม่ลงมือ ข้าก็คงไม่พลั้งมือทำร้ายเขา”
จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา
ราชาลู่อวิ๋นกระอึกกระอัก
แน่นอนว่าผู้อาวุโสอู่เป็นคนลงมือก่อน การโจมตีกลับของจ้าวเฟิงสามารถมองได้ว่าเป็นการปกป้องตนเอง
เพียงแต่การลงมือเพื่อป้องกันตนเองครั้งนี้ออกจะเกินไปหน่อย
แต่จ้าวเฟิงก็ไม่ได้พูดโกหก เขา ‘พลั้งมือ’ ไปจริงๆ ไม่ได้คาดคะเนน้ำหนักให้ดี
“ข้าไปได้แล้วหรือยัง?”
ท่าทางของจ้าวเฟิงแสดงให้เห็นว่าต้องการไปจากแท่นบูชาสีดำแห่งนี้เต็มที
“นี่…ประเดี๋ยวก่อน”
บนหน้าผากของราชาลู่อวิ๋นผุดเหงื่อเย็นออกมา ใจของเขาตึงเครียด
เมื่อนึกถึงจุดจบของผู้อาวุโสอู่ที่ขัดขวางจ้าวเฟิง เขาจึงเตรียมพร้อมรับมือไว้อย่างลับๆ
“ท่านผู้อาวุโสมีอะไรจะชี้แนะหรือ?”
สิ่งที่เหนือความคาดหมายคือ จ้าวเฟิงชะงักเท้า สีหน้าสงบราบเรียบ ไม่ได้มีท่าทีว่าจะลงมือแต่อย่างใด
ราชาลู่อวิ๋นถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก
ความจริงแล้ว ราชาลู่อวิ๋นคิดมากไป ถ้าหากผู้อาวุโสอู่พูดโน้มน้าวดีๆ จ้าวเฟิงคงจะไม่ลงมือ หากฝ่ายตรงข้ามลงมือ จะให้จ้าวเฟิงนั่งรอความตายได้อย่างไรกัน?
“จ้าวเฟิงผู้นี้…กองกำลังจำนวนมากของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นที่เข้าไปในมิติเทพลวงตายังไม่ปรากฏตัวขึ้น เจ้าออกมาเป็นคนแรก พอจะรอก่อนเล็กน้อยได้หรือไม่ หลีกเลี่ยงไม่ให้มีข้อสงสัยต่างๆ”
ราชาลู่อวิ๋นเอ่ยด้วยสีหน้านอบน้อม
เขาเอ่ยขึ้นอย่างชี้แนะ ไม่ได้บีบบังคับให้อยู่รอ
“ได้ เช่นนั้นข้าจะรอสักหน่อยแล้วกัน”
จ้าวเฟิงผงกศีรษะ รู้สึกว่าที่อีกฝ่ายเอ่ยมาก็มีเหตุผล เขาไม่ได้ทำเรื่องไม่ดี ย่อมไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวอีกฝ่าย
เมื่อเอ่ยจบ เขานั่งขัดสมาธิบนแท่นบูชาสีดำสนิท ดวงตาทั้งหมดปิดลง
จ้าวเฟิงให้ความร่วมมืออยู่รอ ทำให้ราชาลู่อวิ๋นถอนหายใจยาว สมาชิกของสำนักที่เหลือพบว่าจ้าวเฟิงผู้นี้ไม่ได้ไร้เหตุผลอย่างสิ้นเชิง ถึงขนาดว่าเป็นคนสบายๆ ด้วยซ้ำ
“ก็ใช่ มีอะไรเหตุใดจึงไม่พูดดีๆ ทำไมต้องผลีผลามลงมือ”
“ถ้าหากผู้อาวุโสอู่ไม่ชิงลงมือก่อน จ้าวเฟิงก็คงไม่โต้กลับเพื่อปกป้องตนเอง ”
สมาชิกของสำนักที่ได้จ้าวเฟิงรักษาบาดแผลให้เอ่ยถกกันเป็นการส่วนตัว และค่อนข้างจะเห็นด้วยกับจ้าวเฟิง
บนแท่นบูชาสีดำสนิท
จ้าวเฟิงนั่งขัดสมาธิ ในขณะที่เขารอคอยอยู่ก็เริ่มจัดแจงสิ่งของที่เขาเก็บเกี่ยวมาได้จากการเดินทางไปมิติเทพลวงตา
จ้าวเฟิงอยู่ที่มิติเทพลวงตาเป็นเวลาหลายเดือน เก็บเกี่ยวได้มากมาย
ทรัพยากรที่จ้าวเฟิงได้มาเรียกได้ว่ามหาศาล อีกทั้งยังไม่มีทรัพยากรระดับธรรมดาหรือขั้นต่ำ หากเลือกหยิบสิ่งของสุ่มๆ มาอย่างหนึ่ง ก็ล้วนแต่เป็นสิ่งของล้ำค่าที่ดินแดนทวีป
หนึ่งในนี้ยังมีอาวุธเทพชั้นรองสองชิ้นที่มีมูลค่าสูงสุดด้วย
มนตราอากาศและศรสังหารเทพ!
มนตราอากาศคือเกราะบนมือจ้าวเฟิง ถึงแม้ว่าจะเป็นอุปกรณ์อาวุธเทพชั้นรองที่ส่งผลช่วยเหลือ แต่ก็มีประโยชน์อย่างมาก
ส่วน ‘ศรสังหารเทพ’ จ้าวเฟิงได้มาสองดอก ดอกที่สามเป็นพวกเชื้อพระวงศ์ที่ได้ไป
อานุภาพของศรสังหารเทพ จ้าวเฟิงยากจะคาดเดาได้ แต่ด้วยพลังฝึกตนของเขาในตอนนี้ยังไม่สามารถใช้ได้อย่างแน่นอน
นอกจากนี้ ศรสังหารเทพยังเป็นอาวุธเทพชั้นรองที่ใช้ได้เพียงครั้งเดียวและหมดไป มีอานุภาพมหาศาลจนมีฉายาว่าสังหารเทพ
ภายใต้อาวุธเทพชั้นรองสองชิ้นนี้ ยังมีสมบัติล้ำค่าที่โดดเด่นอย่าง ‘วารีศักดิ์สิทธิ์ไป่หยวน’ รวมไปถึงหินแร่ในตำนานที่เขาได้รับมาจากภายในหอหลอมศาสตรา
หินแร่ในตำนานพวกนั้น อย่างน้อยก็สามารถหลอมอาวุธชั้นนภา มรดกอาวุธศักดิ์สิทธิ์ หรือกระทั่งอาวุธเทพชั้นรอง
หินแร่ที่มีมูลค่าสูงส่งในนั้น ระดับขั้นของมันอาจจะไปถึงขั้นล้ำเลิศที่สุด
ถึงแม้ว่าหินแร่เหล่านี้มีมูลค่าสูง แต่ว่าคุณค่าที่มีต่อจ้าวเฟิงในตอนนี้ก็ไม่มากนัก บางทีอาจมีประโยชน์ในภายหน้า
ถัดจากนั้นก็เป็นสมบัติล้ำค่าระดับสุดยอดจำพวก ‘บัวฟ้าวารีคราม’ ‘รากบัวหิมะหลอมกายา’ ‘โครงกระดูกสีทอง’ ‘หินสะกดวิญญาณ’ ที่มีจำนวนไม่น้อย
จำนวนของบัวฟ้าวารีครามและรากบัวหิมะในกลุ่มนั้นเรียกได้ว่ามหาศาล
สมบัติล้ำค่าในระดับเช่นนี้จะส่งผลเย้ายวนใจอย่างมากต่อราชันปราณเทวะ จ้าวเฟิงได้ของมากมายมาจากในมิติเทพลวงตา โดยเฉพาะขณะอยู่ในคฤหาสน์เสียหยาง
สำหรับของล้ำค่าในฟ้าดินที่ระดับขั้นต่ำกว่าบัวฟ้าวารีคราม เช่น ‘จิตนทีเทพ’ หรือ ‘พฤกษาไร้ขอบเขต’ ต่างก็มีมากมายก่ายกองเป็นภูเขา หากไม่ใช่เพราะจ้าวเฟิงได้อาวุธเทพชั้นรองอย่าง ‘มนตราอากาศ’ ทรัพยากรจำนวนมหาศาลเช่นนี้คงเก็บไม่หมด
ในขณะที่เวลาหมุนเวียนเปลี่ยนไป
ความคิดจิตวิญญาณของจ้าวเฟิงดำดิ่งลงไปในโลกมิติส่วนตัวที่มากับมนตราอากาศ
ภายในโลกมิติขนาดเล็กแห่งนี้มีภูเขาลำธาร สามารถรับสิ่งมีชีวิตพักอาศัย อยู่เหนือโลกมิติส่วนตัวที่จักรพรรดิสร้างขึ้นมากกว่าหนึ่งระดับขั้น
แน่นอนว่าสมบัติล้ำค่าชั้นยอดที่ได้มาจากมิติเทพลวงตาล้วนเก็บไว้ในมิติเก็บของของอาวุธเทพชั้นรอง
มิติเก็บของที่ว่านี้มั่นคงมากกว่า พลังป้องกันแก่กล้า พลังจากภายนอกยากที่จะทะลวงเข้ามาได้
วิ้ง~ มุมหนึ่งของโลกมิติส่วนตัวถูกยึดครองจากผึ้งประหลาดเบญจพิษฝูงหนึ่ง มีผึ้งราชาสามตัวในนั้น ผึ้งพิษระดับสูงจำนวนนับร้อยตัว ส่วนหลายร้อยตัวที่เหลือกลิ่นอายอยู่เหนือขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงช่วงปลาย
การโจมตีด้วยวิธีฆ่าตัวตายของผึ้งพิษเหล่านี้สามารถสังหารศัตรูได้เยี่ยมยอด
ทาสรับใช้ส่วนหนึ่งที่จ้าวเฟิงทิ้งไว้มีพรสวรรค์และศักยภาพที่ไม่เลวนัก เมื่อทิ้งเอาไว้ในมิติส่วนตัวจะฟูมฟักเลี้ยงดูต่อได้
การเติบโตของผึ้งประหลาดเบญจพิษต้องอาศัยเกสรดอกไม้ แต่ดอกไม้ใบหญ้าประหลาดที่จ้าวเฟิงได้มาจากมิติเทพลวงตามีจำนวนราวภูเขาเลากา ส่วนหนึ่งที่ใช้ไม่ได้หรือไม่คิดจะใช้ ก็ทิ้งเอาไว้ให้ฝูงผึ้งเบญจพิษนี้แทน
จ้าวเฟิงเชื่อว่า ใช้เวลาไม่นานนัก ผึ้งประหลาดเหล่านี้จะพัฒนาเป็นระดับสูงตามๆ กันได้ อีกทั้งในกลุ่มระดับสูง ยังมีจำนวนไม่น้อยที่เลื่อนเป็นระดับราชาได้
เป้าหมายของจ้าวเฟิงคือ จะฟูมฟักผึ้งฝูงนี้ให้อยู่ในขั้นที่สามารถคุกคามสำนักสามดาวได้
ขวับ! ขวับ! ขวับ!
ในขณะที่จ้าวเฟิงนั่งลงจัดการของรางวัลที่ได้มา ใกล้กันนั้นเกิดเสียงดังขึ้นไม่หยุด
ครึ่งชั่วยามถัดมา
ราชันหลายคนมาถึงแถวแท่นบูชาสีดำ
ในกลุ่มนั้น มีผู้เฒ่าชุดน้ำตาลผู้หนึ่งโอบล้อมด้วยแสงเจิดจ้าทรงพลังชั้นหนึ่ง กลิ่นอายสยบราชันจำนวนมากในที่นั้น พลังฝึกตนของเขาแตะขอบเขตปราณเทวะช่วงสุดยอด
“ผู้อาวุโสอิน!”
ผู้อาวุโสขั้นราชันคนอื่นๆ เมื่อเห็นผู้อาวุโสอินผู้นี้ก็ต่างเอ่ยปากทักทาย ดูเคารพนับถือมากอย่างเห็นได้ชัด
มีคนจำนวนไม่มากนักในสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นที่ไปถึงขั้นราชันระดับสุดยอดได้ ผู้อาวุโสอินผู้นี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น
“ผู้อาวุโสอิน ท่านมาก็ดี…”
‘ผู้อาวุโสอู่’ ที่ได้รับบาดเจ็บมีสีหน้าเหี้ยมเกรียม ฝืนบินไปยังเบื้องหน้าอีกฝ่าย
“ผู้อาวุโสอู่ เหตุใดท่านจึงตกอยู่ในสภาพเช่นนี้?”
สีหน้าของผู้อาวุโสอินตื่นตระหนก
“นี่เป็นเพราะเจ้าคนชั่วผู้นั้น ได้โอกาสมหาศาลมาจากมิติเทพลวงตา จึงไม่เห็นพวกเราราชันอาวุโสอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย…”
ผู้อาวุโสอู่สุมไฟเพิ่ม เล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นอีกครั้ง
“คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีเรื่องเช่นนี้ด้วย?”
เมื่อผู้อาวุโสอินได้ยินเช่นนั้น สีหน้าจึงเคร่งขรึมลงไปเล็กน้อย แววตากวาดผ่านเด็กหนุ่มผมม่วงที่ช่างเย่อหยิ่งนักบนแท่นบูชา
ในขณะที่เด็กหนุ่มผมม่วงนั่งขัดสมาธิเข้าฌาน การมาเยือนของราชันหลายคนไม่ได้ทำให้เกิดร่องรอยอารมณ์ใดๆ บนใบหน้าเขา หากเปลี่ยนเป็นราชันปราณเทวะของสำนักสองดาวหรือสามดาวคนใดก็ตาม เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ก็ย่อมไม่รู้สึกยินดีนัก
“ผู้อาวุโสอิน ศิษย์ของเจ้าก็อยู่ในมิติเทพลวงตา จนถึงตอนยังไม่ออกมา…” ผู้อาวุโสอู่เอ่ยต่อ
ราชันปราณเทวะที่มาถึงก่อนพวกนี้ต่างก็มาเพราะได้ยินข่าวคราว โดยมากแล้วต่างเป็นเพราะห่วงใยสถานการณ์ในมิติเทพลวงตาของลูกศิษย์ตน แต่ทั้งสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น คนที่กลับออกมาจากมิติเทพลวงตามีเพียงจ้าวเฟิงคนเดียวเท่านั้น
“เหอะ! ผู้เยาว์! หากว่าเกิดอะไรขึ้นกับศิษย์ของข้าในมิติเทพลวงตา ข้าจะเอาเจ้ามาสอบสวนแน่”
เสียงราวสายอัสนีบาตลอดเข้ามาในชั้นวิญญาณของจ้าวเฟิง
จ้าวเฟิงเงยหน้าเล็กน้อย มอง ‘ผู้อาวุโสอิน’ ราชันระดับสุดยอดผู้มีพลังมหาศาลที่อยู่กลางอากาศ
ในเวลานี้เอง คนระดับสูงในสำนักตรงนั้นรู้ว่าจ้าวเฟิงแยกตัวออกจากกลุ่ม เดินทางเพียงลำพัง และยังได้รับโอกาสที่ยิ่งใหญ่
มีคนส่วนหนึ่งถึงขั้นสงสัยว่าจ้าวเฟิงฮุบผลประโยชน์เอาไว้เพียงลำพัง และลงมือสังหารคนอื่นๆ ในสำนัก
แต่ว่าความจริงต้องรอการกลับมาของกองกำลังสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น
เวลาหนึ่งสองชั่วยามต่อมา กลุ่มคนหัวกะทิของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นยังไม่ปรากฏกายขึ้น
“ไม่หรอกกระมัง…หรือว่ากองกำลังของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นจะตายทั้งหมดในมิติเทพลวงตาไปแล้ว?”
ใบหน้าของจ้าวเฟิงแปลกพิกล
ในสถานการณ์ปกติ ขอแค่ไม่ปะทะกับสัตว์ในระดับเดียวกันกับมังกรวารีล้างโลกาอย่างจัง โอกาสที่การตายยกกลุ่มเช่นนี้จะเกิดขึ้นก็มีน้อยนิด
แน่นอน สถานการณ์ตายยกกลุ่มเช่นนี้ก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนมิติเทพลวงตา
ถ้าหากว่ากองกำลังของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นตายทั้งหมดในมิติเทพลวงตาจริงๆ เช่นนั้นแล้ว ความสงสัยและแรงกดดันที่จ้าวเฟิงต้องแบกรับก็จะมากขึ้น
แต่ที่โชคดีก็คือสถานการณ์เช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้น
ณ วินาทีหนึ่ง
ขวับ! ขวับ! ขวับ! บนแท่นบูชาสีดำปรากฏเงาที่คุ้นตาหลายร่าง ทำให้เกิดเสียงอุทานของคนจำนวนมาก