Skip to content

King of Gods 870

King Of Gods

บทที่ 870 หนวกหูนัก

มิติเทพลวงตา

มิติรูปธรรมในยามนี้นิ่งสงบราบเรียบ ดุจจันทร์สะท้อนในกระจก เริ่มจะโปร่งแสงว่างเปล่า

ในเวลานั้นเอง เงาซ้อนของเขตแดนประดุจภาพฝันมายาที่ปกคลุมฟ้าดินกำลังค่อยๆ เลือนหายไปจากพื้นที่ของดินแดนทวีป

ส่วนแรกที่เลือนหายไปก็คือบริเวณทิศตะวันตกเฉียงเหนือของดินแดนทวีป ไม่ใช่ดินแดนส่วนในของราชวงศ์

ภายในตำหนักหลังใหญ่ราวกับสัตว์อสูรยักษ์แห่งหนึ่ง

“หยูเทียนฮ่าว! ครั้งนี้ถือว่าเจ้าโชคดี! มรดกสิ่งของศักดิ์สิทธิ์อย่าง ‘เทพนภา’ ให้เจ้าเอาไปก่อนแล้วกัน…”

ชายหนุ่มผมแดงที่เปล่งแสงสีทองทั่วร่าง มือข้างหนึ่งกำหอกยาวด้ามหนึ่งเอาไว้ ยืนอยู่บน ‘มังกรปีกเพลิง’ ยาวหลายสิบจั้ง เป็นประหนึ่งเทพเจ้าเพลิงสงคราม

เพียงแค่กลิ่นอายที่ ‘มังกรปีกเพลิง’ สาดซัดอออกมาก็ใกล้เคียงจักรพรรดิในขอบเขตปราณเทวะ

ด้านตรงข้ามของชายหนุ่มผมแดงเป็นบุรุษผมสีดำสนิท ใบหน้าซีดขาว บริเวณมุมปากมีเลือดไหล

‘หยูเทียนฮ่าว’ บุรุษหนุ่มผมดำผู้นี้ ถึงแม้ว่าจะมีพลังฝึกตนอยู่เพียงแค่ปราณเทวะช่วงกลางเท่านั้น แต่บนร่างกลับมีจิตต่อสู้ที่เขย่าฟ้าดิน กระเทือนภูติผีปีศาจ

“เจ้าแข็งแกร่งยิ่งนัก! แต่ว่าเจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่แท้จริงของข้า…”

หยูเทียนฮ่าวปาดคราบเลือดตรงมุมปาก บนร่างมีความเชื่อมั่นที่ไม่อาจจะบรรยายได้

ชายหนุ่มผมแดงผู้นั้นเก่งกล้าอย่างยิ่ง พลังฝึกตนและสายเลือดสูงส่งไร้ที่ติ ในช่วงต้นของมิติเทพลวงตาได้โอกาสติดๆ กันจนทะลวงผ่านขอบเขตปราณเทวะได้

หนำซ้ำเขายังได้ ‘มังกรปีกเพลิง’ ที่มีกำลังรบใกล้เคียงกับจักรพรรดิมาด้วย

ถ้าหากไม่ได้รับการยอมรับจากพลังมรดกอย่าง ‘เทพนภา’ หยูเทียนฮ่าวก็คงจะพ่ายแพ้ราบคาบไปนานแล้ว

“ยโสโอหังเสียจริง! ในอัจฉริยะรุ่นใหม่ทั่วทั้งมิติเทพลวงตาแห่งนี้ มีเพียง ‘เซวียนหยวนเหวิน’ ผู้นั้นที่เป็นศัตรูตัวฉกาจของข้า เสียดายก็แต่ในครั้งนี้ไม่มีโอกาสได้เจอกับเขา…”

มุมปากของชายผมแดงยกขึ้นน้อยๆ เป็นรอยยิ้มเยาะ

เหมือนกับว่าเขาไม่เห็นหยูเทียนฮ่าวอยู่ในสายตา

ขวับ! ขวับ! ในอากาศที่ค่อยๆ อ่อนจางลงไป หยูเทียนฮ่าวและชายหนุ่มผมแดงหายไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้น พื้นที่ที่ทับซ้อนตรงส่วนในของราชวงศ์แห่งดินแดนทวีป เช่นเงาร่างของอัจฉริยะในคฤหาสน์เสียหยางก็เริ่มจางหาย

พวกจ้าวเฟิงเป็นกลุ่มสุดท้ายที่หายไป

ถ้าหากว่ามองมิติเทพลวงตาเป็นโลกที่โปร่งแสงที่บรรจบกับมิติดินแดนทวีป

เช่นนั้นแล้วพื้นที่ทับซ้อนฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือจะหายไปก่อนเป็นลำดับแรก

ถัดจากนั้นจึงเป็นฝั่งดินแดนทวีปส่วนกลาง

ส่วนลำดับสุดท้ายเป็นพวกริมทะเลอันเป็นที่ตั้งของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น หรือกระทั่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่ที่ชังไห่ซึ่งไกลออกไป

สถานที่ที่อันตรายที่สุดในมิติเทพลวงตายังเป็นคฤหาสน์เสียหยาง

ขวับ! ขวับ! พรึ่บ!

ยามนี้ ในคฤหาสน์เสียหยาง อัจฉริยะชั้นหัวกะทิแต่ละคนมีความสุขแทบบ้าที่ได้กลับมาถึงดินแดนทวีป

ถึงแม้ว่าคฤหาสน์เสียหยางจะเป็นสถานที่ที่อันตรายที่สุด แต่โอกาสที่จะได้รับ ณ ที่แห่งนี้ก็อยู่เหนือกว่าพื้นที่อื่นๆ มาก ในทันทีที่หนีไปได้โดยมีชีวิตอยู่รอด ความสำเร็จในวันหน้าไม่อาจจะคาดการณ์ได้

“มิติรูปธรรมที่แท้จริง…ดียิ่งแล้ว ดียิ่งแล้ว!”

มังกรวารีล้างโลกามองยอดอัจฉริยะพวกนั้นหายไปด้วยสายตาเย็นชา แต่กลับไม่ได้ขัดขวางอะไร มันแลบลิ้นเล็กน้อย มีแววตั้งหน้าตั้งตารอคอย

“ทุกที่ที่ข้าผ่านไปจะต้องถูกทำลายจนราบคาบ…”

เงาร่างของมังกรวารีล้างโลกาค่อยๆ ดิ่งลงไปในมิติดินแดนทวีปที่เลือนรางด้านล่าง

ดินแดนทวีป พื้นที่ริมฝั่งทะเล ดินแดนเกาะใหญ่เทียนเฟิง

พรึ่บ! เด็กหนุ่มผมม่วงคนหนึ่งปรากฏกายขึ้นบนแท่นบูชาที่เชื่อมต่อกับ ‘สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น’

“ปรากฏตัวแล้ว! เป็นเขา…จ้าวเฟิง!”

“เด็กหนุ่มผู้นี้ คิดไม่ถึงเลยว่าจะปรากฏตัวขึ้นเป็นคนแรก?”

ในละแวกใกล้เคียงแท่นบูชาสีดำสนิท เกิดเสียงร้องตกใจของสมาชิกส่วนหนึ่งในสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น

“ข้า เป็นคนแรกงั้นหรือ?”

จ้าวเฟิงยืนนิ่งอึ้งอยู่กับที่

เขาครุ่นคิดพิจารณาเล็กน้อยจึงเข้าใจในเหตุผล ขณะที่ตนเองอยู่ในมิติเทพลวงตาได้ไล่ตาม ‘มังกรวารีล้างโลกา’ และเข้าไปในพื้นที่ทับซ้อนกันระหว่างมิติเทพลวงตาและส่วนในของทวีป

ทางเชื่อมต่อระหว่างส่วนในของทวีปและมิติเทพลวงตาเกิดขึ้นเร็วกว่าทางฝั่งนี้ เวลาที่การทับซ้อนจะสลายไปจึงไวกว่าด้วย

นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมจ้าวเฟิงสามารถกลับมาเป็นลำดับแรกสุด

“ศิษย์น้องจ้าว! ในมิติเทพลวงตาเก็บเกี่ยวอะไรมาได้บ้าง?”

“ผู้เยาว์! เหตุใดเจ้าจึงเดินทางออกมาเพียงลำพัง ไม่เห็นวี่แววของคนที่เหลือเลย?”

ผู้อาวุโสและผู้เยาว์ของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นที่อยู่รอบแท่นบูชามุงเข้ามา จับจ้องจ้าวเฟิงด้วยสายตาเป็นประกาย

การเปลี่ยนแปลงบนร่างจ้าวเฟิงมากมายเหลือเกิน!

“ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงช่วงปลาย?”

“ก่อนจะเข้าไปในมิติเทพลวงตา เหมือนว่าเจ้าเด็กนี่มีพลังฝึกตนเพียงขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงกลางเท่านั้น” ลูกศิษย์ของสำนักส่วนหนึ่งเอ่ยถกกันไปต่างๆ นานา

เพิ่งจะไม่กี่เดือน จากขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงกลางขึ้นไปเป็นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงช่วงปลาย นี่ทำให้คนได้ยินแล้วอกสั่นขวัญแขวนอย่างยิ่ง

จะต้องรู้ว่า การใช้เวลาส่วนหนึ่งหมดไปกับการสำรวจค้นหาในมิติเทพลวงตา เวลาที่ใช้ในการฝึกตนจึงไม่มากนัก

“ความเร็วนี้ไม่ถือว่ามากอะไรนัก” จ้าวเฟิงส่ายศีรษะ

เขาอยู่ในมิติเทพลวงตา เวลาในการฝึกตนไม่ได้มีมากนัก เมื่อเปรียบกับหนานกงเซิ่งและคนอื่นแล้วไม่นับว่ารวดเร็วอะไรมากมาย

ถึงแม้ว่าพัฒนาการของจ้าวเฟิงไม่ด้อยไปกว่าหนานกงเซิ่ง แต่เพราะเขาย้ายร่างฝึกฝนใหม่จึงไม่ได้อยู่ในสถานการณ์เดียวกัน ดังนั้น จ้าวเฟิงไม่พอใจกับระดับความเร็วในการพัฒนาของตนจึงเป็นคำพูดที่ออกมาจากใจจริงของเขา แต่คำพูดเช่นนี้ กลับทำให้สีหน้าสมาชิกเก่าใหม่ส่วนหนึ่งของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นในที่นั้นเผยแววประหลาด เหมือนถูกทำให้สำลัก

“เจ้าเด็กคนนี้แกล้งโง่สินะ!”

“เด็กคนนี้จะต้องได้โอกาสมหาศาลในมิติเทพลวงตามาแน่นอน”

แววตาของคนจำนวนมากจับจ้องไปบนร่างของ ‘จ้าวเฟิง’ ด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย ทั้งร้อนรุ่ม จริงจัง อิจฉา ริษยา และไม่ยินยอม

ในนั้นยังมีห้วงคิดเซียนของราชันในขอบเขตปราณเทวะหนึ่งสองสาย

“จ้าวเฟิง!”

พลังมหาศาลของราชันกลุ่มหนึ่งปกคลุมกดดันเข้ามา เกิดเสียงดังขึ้นในชั้นวิญญาณ

พื้นที่ของแท่นบูชาที่เสียงดังอื้ออึง จู่ๆ ก็เงียบไปในทันที ห้วงความคิดและสติของคนจำนวนมากคล้ายโดนกดทับจากภูเขาที่ไร้รูปร่าง

“คนละโลกกัน ความแตกต่างมากจริงๆ”

จ้าวเฟิงเกือบปรับตัวไม่ทัน เขาทอดถอนใจอยู่ข้างใน

แรงกดดันของมิติเทพลวงตารุนแรงยิ่งนัก เมื่อราชันปราณเทวะอยู่ที่นั่น พลังและแรงทำลายล้างที่สามารถปลดปล่อยออกมาได้จะต่างกันกับมิติในขณะนี้เป็นร้อยเป็นพันเท่าตัว

“จ้าวเฟิง!”

ในน้ำเสียงของราชันแฝงความเกรี้ยวกราด แรงกดดันมหาศาลที่ไร้รูปเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวในฉับพลัน

ราชันเปิดปากเอ่ย คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าเด็กนั่นกลับมีท่าทีเหม่อลอย ทันใดนั้นเอง

สมาชิกในสำนักส่วนหนึ่งที่อยู่รอบจ้าวเฟิงเริ่มสูดลมหายใจติดขัด สตินึกคิดเหมือนโดนกักขังเอาไว้ ทว่าจ้าวเฟิงที่ยืนนิ่งไม่ไหวติง ด้วยท่าทีเหมือนไม่มีความรู้สึกใดๆ แม้แต่น้อย

“หืม?”

เหตุการณ์นี้ทำให้ราชันปราณเทวะที่เปิดปากเอ่ยคนนั้นร้องเสียงหลงอย่างแปลกใจ ครึ่งก้าวสู่ราชันที่เหลือ และยอดฝีมืออาวุโสจำนวนไม่น้อยต่างสัมผัสได้ถึงความชั่วร้าย

“ผู้อาวุโสท่านนี้มีอะไรจะชี้แนะหรือ?”

จ้าวเฟิงแหงนหน้าขึ้น มองผู้อาวุโสสวมชุดคลุมที่มีลำแสงมหาศาลหมุนวนรอบกายอยู่กลางอากาศ

ไกลออกไป ยังมีราชันวัยกลางคนในชุดคลุมสีขาวบริสุทธิ์อีกคนหนึ่งรีบไล่ตามมา ซึ่งก็คืออาจารย์ของหวงอวิ๋นหู่นามว่า ‘ราชาลู่อวิ๋น’

“ผู้อาวุโสอู่! มีอะไรก็ค่อยพูดค่อยจา หากถกเถียงกับเจ้าเด็กนี่ไม่เท่ากับว่าท่านลดตัวลงไปหรอกหรือ?”

ราชาลู่อวิ๋นรีบร้อนเอ่ยสงบศึก

ณ ดินแดนเกาะเทียนเฟิง ภูมิหลังของจ้าวเฟิงไม่ได้แข็งแกร่งธรรมดา

ว่ากันว่าเบื้องหลังของเขายังมีจักรพรรดิในขอบเขตปราณเทวะที่ปลีกตัวจากโลกภายนอกผู้หนึ่ง และยังได้รับความชื่นชมและคำเชื้อเชิญมาเป็นพวกจากหนานเฟิงอ๋องอีก

“เหอะ! เจ้าเด็กนี่ไม่ให้ความเคารพผู้อาวุโส ทำผิดแล้วไม่ได้รับโทษ ข้าคนแซ่อู่จะไม่ถือสาหาความแล้วกัน แต่ว่าสำหรับข่าวคราวของสมาชิกคนอื่นในกองกำลังของสำนัก เจ้าจะต้องรายงานตามความจริงอย่างละเอียดทั้งหมด”

ผู้อาวุโสอู่ผู้นั้นเอ่ยเสียงเย็น

ผู้อาวุโสอู่เพียรข่มความโกรธเกรี้ยวไม่พอใจ ผู้เยาว์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดถือว่าตนเองมีคนหนุนหลัง ถึงกับไม่เคารพเขา แม้กระทั่งคนในขั้นราชันก็ไม่อยู่ในสายตา

“จ้าวเฟิง เจ้าปรากฏกายขึ้นเร็วกว่าที่คาดครึ่งวัน รีบเล่าข่าวคราวของคนอื่นๆ มาเร็ว?”

ราชาลู่อวิ๋นเอ่ยอย่างเคร่งขรึม

สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นทั้งหมดสนใจใคร่รู้ว่าเหตุใดจ้าวเฟิงจึงกลับมาเพียงลำพัง ส่วนคนอื่นเผชิญหน้ากับอะไรหรือไม่

ข้อสงสัยนี้ทำให้พวกคนในระดับสูงของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นตึงเครียด

ก็ด้วยเพราะคนที่เข้าไปภายในมิติเทพลวงตาเหล่านี้ ถ้าไม่ใช่คนรุ่นใหม่ที่ถูกเลือก ก็เป็นหัวกะทิอาวุโส มีศักยภาพมหาศาล

ความเป็นตายของคนชั้นยอดกลุ่มนี้ บางทีอาจจะส่งผลเกี่ยวข้องกับอนาคตของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น

“คนอื่น?”

จ้าวเฟิงครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ พลางยิ้มแล้วเอ่ย “ในช่วงแรกที่เข้าไปในมิติเทพลวงตา ข้าก็แยกกับพวกเขาแล้ว ในตอนนั้นพวกเขายังคงปลอดภัย ล้มหายตายจากไม่มากนัก…”

ในช่วงต้นของมิติเทพลวงตา จ้าวเฟิงอยู่ในกองกำลังของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นช่วงหนึ่ง

หลังจากที่มังกรวารีล้างโลกาปรากฏตัวขึ้น จ้าวเฟิงร่วมมือกับหนานกงเซิ่งแล้วแยกตัวออกจากกลุ่มทันที

“แยกตัวออกมาเดินทางคนเดียว? เหตุใดเจ้าจึงทอดทิ้งเพื่อนพ้อง”

ผู้อาวุโสอู่สีหน้าเคร่งขรึมลงไป

คำถามนี้เป็นคำถามสำคัญที่คนทั้งหมดสนใจมากเช่นกัน

“เพราะว่ามีมหันตภัยครั้งใหญ่ ‘มังกรวารีล้างโลกา’ ที่ถูกผนึกเอาไว้หลุดออกมา ทุกคนต่างหนีจากอันตราย ต่างคนต่างแยกย้ายไป…”

จ้าวเฟิงเล่าสถานการณ์อย่างคร่าวๆ

คำพูดของเขามีความจริงอยู่แปดเก้าส่วน แต่ที่ปกปิดเอาไว้ก็คือ เขาไม่เห็นถึงพลังอำนาจของกองกำลังสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น จึงตัดสินใจลงมือเพียงคนเดียวและเดินทางไปกับหนานกงเซิ่ง

ความจริงได้แสดงให้เห็นว่า

นี่คือการตัดสินใจที่เป็นจุดเปลี่ยน ในตอนเริ่มต้นของมิติเทพลวงตา จ้าวเฟิงร่วมมือกับหนานกงเซิ่ง ข้ามผ่านช่วงที่พลังอ่อนแอถึงที่สุด

“เผ่าพันธุ์ล้างโลกา? มังกรวารีล้างโลกา?”

สมาชิกในสำนักที่ได้ยินดังนั้น แต่ละคนเหมือนได้ยินตำนาน มีท่าทีเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

“ฮึ! เหลวไหล!”

สีหน้าของผู้อาวุโสอู่เย็นชาดุดัน พลังราชันหมุนวนรอบกายจ้าวเฟิง ลองกดดันเด็กหนุ่มผู้นี้ แต่กลับพบว่าอีกฝ่ายไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ทั้งสิ้น

หลังจากนั้น จ้าวเฟิงจึงข่มใจเล่ารายละเอียด

แต่พวกผู้อาวุโสอู่ทุกคนมีข้อสงสัยมาทีละข้อๆ รายละเอียดที่พวกเขาถามมากขึ้นเรื่อยๆ

จ้าวเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เริ่มอดทนไม่ไหว

“เช่นนั้นข้าถามเจ้าหน่อย! หลังจากนั้นที่มิติเทพลวงตา เจ้าได้พบโอกาสอะไร? เพียงแค่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดคนหนึ่งหนีออกจากกองกำลัง เหตุใดจึงสามารถเพิ่มพลังฝึกตนขึ้นเป็นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงช่วงปลายได้ราบรื่นไร้อุปสรรคในเวลาอันสั้นเช่นนี้?”

แวววตาของผู้อาวุโสอู่เป็นประกายวาววับ

แม้กระทั่งการสำรวจโดยพลังราชันของเขายังไม่อาจทำให้ผู้เยาว์ที่อยู่เบื้องหน้ามีปฏิกิริยาอะไร ในมิติเทพลวงตาจะต้องได้รับโอกาสยิ่งใหญ่แน่นอน

“โอกาส? นี่ไม่ใช่ความลับใหญ่หลวงอะไร คนจำนวนมากต่างบุกเข้าไปในคฤหาสน์ลับเทพบรรพกาล ส่วนความเร็วในการบุกเข้าไป ต้องขออภัยด้วย ข้าต้องยอมรับว่าไม่เร็วเท่าไหร่นัก”

จ้าวเฟิงเอ่ยตอบทุกอย่าง ‘ตามจริง’

การจงใจตั้งคำถามที่บีบคั้นและสร้างความลำบากใจของผู้อาวุโสอู่ทำให้เขาเริ่มจะอดทนไม่ไหวเข้าไปทุกที

“คฤหาสน์ลับเทพบรรพกาล? เหลวไหลทั้งเพ! ก้าวหน้าเช่นนี้ยังไม่นับว่ารวดเร็ว? ช่างเป็นเรื่องน่าขันยิ่งนัก!”

ความโกรธเกรี้ยวบนใบหน้าผู้อาวุโสอู่ยิ่งรุนแรงมากขึ้น

ผู้เยาว์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดคนหนึ่งถึงกับกล้าไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา แล้วยังเล่นลิ้นกับเขาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เขาไม่สามารถล่วงรู้ได้เลยว่า ทั้งหมดที่จ้าวเฟิงพูดออกมาเป็นความจริงทั้งสิ้น

หลังจากที่มิติเทพลวงตาในครั้งนี้สิ้นสุดลง ไม่นานนัก ชื่อเสียงของ ‘จ้าวเฟิง’ จะต้องสะเทือนขั้วอำนาจที่ยิ่งใหญ่ระดับสามหรือสี่ดาวของราชวงศ์แห่งดินแดนทวีปแน่

“เชื่อไม่เชื่อก็แล้วแต่ท่าน ข้าขอตัว…”

เอ่ยจบ จ้าวเฟิงเดินออกไปนอกแท่นบูชาสีดำด้วยคร้านจะเอ่ยอธิบายให้ยืดยาว

เขายังต้องกลับไปจัดแจงสิ่งของที่เก็บเกี่ยวได้จากการไปมิติเทพลวงตาในครั้งนี้อีก

เขาเก็บเกี่ยวของจากการเดินทางในมิติเทพลวงตาครั้งนี้ได้มากมายยิ่ง แหวนเหล็กโบราณอันเก่ายังเก็บไม่พอ ยังดีที่เขาได้อาวุธเทพชั้นรอง ‘มนตราอากาศ’ มาแล้ว

“เจ้าหนุ่ม หยุดก่อน! ถ้าหากไม่พูดเหตุผลที่มาที่ไปทั้งหมด ข้าก็จะจับตัวเจ้าเอาไว้ก่อน!”

ภายใต้โทสะของผู้อาวุโสอู่ ลำแสงที่มีพลังมหาศาลบนร่างของเขาขยายออกปกคลุมร้อยลี้ พลังที่ไร้รูปร่างกลุ่มหนึ่งทะลวงผ่านอากาศมาปกคลุมดูดซึมจ้าวเฟิง

หากเปลี่ยนเป็นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดทั่วไป เมื่อถูกจัดการจากพลังมหาศาลของราชัน จะไม่มีแรงตอบโต้แม้แต่น้อย

“หนวกหูนัก!”

จ้าวเฟิงเองก็โมโหแล้ว เขาโคจรแก่นแท้พลังกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ ใช้เท้าข้างหนึ่งถีบไปทางผู้อาวุโสอู่

ผลัวะ! โครม ตู้ม——

ในวินาทีที่ยันเท้าออกไป ฟ้าดินก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง มีเสียงอึกทึกครึกโครม แก่นแท้พลังสีฟ้าอมทองที่น่าหวาดกลัวราวสัมผัสได้จริงทะลวงผ่านอากาศไป

“อ๊าก!” เพียงกลิ่นอายที่เหลืออยู่ก็ทำให้สมาชิกในสำนักจำนวนมากแถวนั้นเหมือนโดนปะทะโดยภูเขาลูกยักษ์ คนจำนวนไม่น้อยกระอักเลือดและทรุดลง

“แย่แล้ว! ลืมไป…”

จ้าวเฟิงหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย ตระหนักได้ถึงความแตกต่างระหว่างที่นี่กับมิติเทพลวงตา

พลังกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ของเขาเข้าใกล้ขั้นห้าระดับต่ำ น่าสะพรึงกลัวเสียเหลือเกิน แน่นอนว่าสามารถสยบราชันธรรมดาได้อยู่แล้ว

เปรี้ยง——

ผู้อาวุโสอู่ร้องโหยหวน ลำแสงพลังมหาศาลแตกละเอียดเมื่อถูกเตะกระเด็นออกไปหลายร้อยลี้ กระดูกเกือบจะแหลกละเอียด กระอักเลือดติดต่อกันกลางอากาศ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version