บทที่ 873 จักรพรรดิหลิงฉยง
“ตูม!”
ในเวลาเดียวกันกับที่จ้าวเฟิงโจมตีจนผู้อาวุโสอินถอยร่นไป
กลางอากาศเหนือทิวเขา ณ พื้นที่ส่วนเหนือของดินแดนเกาะเทียนเฟิง
“กลิ่นอายสายเลือดกลุ่มนี้…หรือว่าจะเป็น ‘เพลิงมารโลหิตที่สมบูรณ์แบบ’ ที่เคยเกิดขึ้นและหายไปอย่างรวดเร็วในยามก่อนของตระกูลข้า?”
ผู้เฒ่าในชุดนักรบสีแดงเข้มผู้หนึ่งมีปฏิกิริยาตอบสนองโดยฉับพลัน ร่างสั่นสะท้านน้อยๆ ยากที่จะควบคุมความหวาดกลัวและความตื่นตระหนกบนใบหน้าได้
ในแววตาของเขาปรากฏแสงศักดิ์สิทธิ์ที่ทะลวงฟ้าดินออกมา
ช่วงเวลานั้น เสวียนอ้าวศาสตร์อัคคีจำนวนมากในฟ้าดินรอบๆ บริเวณหมุนวนรอบกายเขา กลิ่นอายจักรพรรดิศาสตร์อัคคีที่ทรงอำนาจไร้เทียมทาน กดดันจนสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ใกล้เคียงหายใจไม่ออก ประหนึ่งตกอยู่ในนรกที่ร้อนระอุ
หากจะพูดเรื่องกลิ่นอายพลัง ผู้เฒ่าชุดนักรบสีแดงเข้มผู้นี้ใกล้เคียงกับตวนมู่ชิงในยามที่อยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่
“ทิศนั้นเป็นสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น!”
ห้วงคิดเซียนของผู้เฒ่าชุดนักรบแดงหมุนวน ในชั้นวิญญาณปรากฏแผนที่อย่างละเอียดแผ่นหนึ่ง
ตำแหน่งที่เขาอยู่บนแผนที่เป็นอาณาเขตของตระกูลจ้าวแห่งเขาเมฆาพอดี
ตามการผงาดขึ้นอย่างแข็งแกร่งของจ้าวเฟิง ในวันนี้ ยอดเขาเมฆาคือพื้นที่ของตระกูลจ้าว แม้กระทั่งตระกูลลั่วที่แข็งแกร่งยังไม่กล้ายื่นมือเข้ามายุ่ง
ปากทางเข้าสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น
“สายเลือดศาสตร์อัคคีน่ากลัวอย่างยิ่ง…”
บริเวณใกล้เคียงแท่นบูชาสีดำ ยอดฝีมือของสำนักจำนวนมากตกใจจนพูดไม่ออก เลือดในร่างกายสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว
ยามนี้พื้นที่ในละแวกสำนักถูกย้อมจนกลายเป็นสีแดงฉาน
แก่นแท้ร่างกายของจ้าวเฟิงขยายออกจนสูงใหญ่ จนเป็นดั่งยักษ์สำริดที่เผาผลาญด้วยเพลิงโลหิต ให้ความรู้สึกราวกับโดนปะทะจากพลังที่ทำลายล้างทุกสรรพสิ่ง
จากการจับคู่ที่สมบูรณ์แบบของเพลิงมารโลหิตที่เปลี่ยนไปและกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ เพียงการโจมตีครั้งเดียวของจ้าวเฟิงก็ทำเอาผู้อาวุโสอินผู้อยู่ในขั้นราชันระดับสุดยอดกระเด็นออกไป
ราชันจำนวนมากที่ชมการต่อสู้เหม่อลอย อ้าปากค้างจนคางแทบจะจรดพื้นอยู่แล้ว
ผู้อาวุโสอินเป็นถึงหนึ่งในราชันระดับสุดยอดที่หาได้ยากยิ่งในสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น คนที่อยู่ในขั้นต่ำกว่าจักรพรรดิยากที่จะต่อกรได้
“สายเลือดประหลาดนี้!”
ผู้อาวุโสอินดับลูกไฟสีแดงร้อนที่เผาไหม้บนร่าง สัมผัสได้ถึงการไหลทะลักออกของเลือดลมและชีวิตในร่างกายอย่างชัดเจน
หลังจากผ่านศึกใน ‘มิติเทพลวงตา’ มา จ้าวเฟิงสามารถดึงศักยภาพและใช้สอยมารเพลิงโลหิตที่เปลี่ยนไปในร่างของตนเองได้ในระดับขั้นใหม่
สายเลือดเพลิงมารโลหิตที่แปรผันไปนี้ เดิมทีตัวของมันเองก็ร้อนแรงเกินจะเปรียบ และยังมีผลกัดกร่อนและเผาไหม้
อีกทั้งความสามารถประหลาดอย่าง ‘ดูดเลือดคืนปราณ’ ก็เป็นสิ่งที่ถือกำเนิดเป็นอย่างสุดท้าย
ในอีกฟาก
สีหน้าของจ้าวเฟิงที่เดิมทีดูค่อนข้างอ่อนล้า กลับฟื้นคืนสภาพเล็กน้อย ถึงขั้นที่ว่าปรากฏสีแดงปลั่งวาววับ
ภายในคฤหาสน์เสียหยาง ถึงแม้ว่าจ้าวเฟิงไม่ได้ผ่านการต่อสู้ในระดับสุดยอดอะไร แต่ก็ทุกข์ทรมานติดกันเป็นเวลาหลายเดือน ต่อสู้ด้วยปัญญาและความกล้า ผ่านสถานการณ์ความเป็นตาย สภาพไม่สู้ดีนัก
บนร่างของจ้าวเฟิงและผู้อาวุโสอินเกิดการเปลี่ยนแปลงที่กลับกันอย่างสิ้นเชิง มีเพียงคนที่ใส่ใจจำนวนน้อยนิดจะสังเกตเห็น
ในนี้ยังรวมไปถึงผู้อาวุโสอินที่ได้สัมผัสด้วยตนเองด้วย
“ตาเฒ่า! รับฝ่ามือของข้าไปอีก!”
จ้าวเฟิงระเบิดเสียงหัวเราะออกมา โคจรเพลิงโลหิตมารและแก่นแท้พลังกายศักดิ์สิทธิ์จนเป็นประหนึ่งภูเขาเพลิงสีทอง จากนั้นพาเอาแรงกดดันที่น่าตื่นตะลึงเข้าไปใกล้ผู้อาวุโสอิน
ร่างกายของผู้อาวุโสอินหนักอึ้ง เพิ่งฟื้นคืนสติจากอาการใจลอยที่เกิดเพราะตกตะลึงในสายเลือดของจ้าวเฟิง
หลังจากที่โดนโจมตีในระยะประชิดแล้ว เขาจึงยิ่งไม่กล้าจะดูแคลนศัตรู และลงมือโต้กลับเต็มแรง
โครม! ตูม!
เงาสองร่างโจมตีสั่นสะเทือนกลางอากาศอีกครา เขตแดนมิติของผู้อาวุโสอินถูกโจมตีจนเกิดรอยแตกร้าวขึ้นอีก
พรึ่บ!
ในครั้งนี้ ผู้อาวุโสอินเตรียมพร้อมเอาไว้ อาศัยแรงระเบิดที่รุนแรงของเพลิงโลหิตมาร กระเด็นลอยละลิ่วไปไกล ทิ้งระยะห่างเอาไว้
ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ตาม เลือดลมในร่างกายของผู้อาวุโสอินก็ปั่นป่วน ลูกไฟโลหิตสีแดงฉานเผาไหม้ขึ้นทั่วร่าง
เขาได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ถ้าหากเป็นแค่นั้นก็แล้วไป ผู้อาวุโสอินมีส่วนประกอบพลังฝึกตนของราชันในระดับสุดยอด สามารถต่อสู้เป็นเวลายาวนานและปลิดชีพจ้าวเฟิง
ถึงอย่างไรพลังฝึกตนของจ้าวเฟิงก็ไม่สูงส่งมากนัก บางทีหากพึ่งพาเพียงจุดเด่นของกลยุทธ์สายเลือดหรือว่าอาวุธวิเศษ จะท้าทายเป็นที่สุด แต่หากยืดระยะเวลาให้ยาวนานต่อไปอีก จะต้องไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่อยู่ในระดับเดียวกันแน่
แต่ทว่า
‘ดูดเลือดคืนปราณ’ ของเพลิงโลหิตมารที่แปรผันได้ทำลายกรอบนี้ลงไป
ในการประมือครั้งที่สอง
จ้าวเฟิงดูดซึมเอาเลือดลมและพลังชีวิต ส่วนหนึ่งในร่างของผู้อาวุโสอินอีกครั้ง สภาพร่างกายก็ดีขึ้นเรื่อยๆ
“อาวุธวิเศษชั้นพิภพ กระบี่เขี้ยวมังกร!”
สีหน้าของผู้อาวุโสอินโหดเหี้ยม ปรากฏกระบี่กระดูกสีทองเข้มในมือ มันโอบล้อมไปด้วยพลังกระบี่ที่เป็นเงามังกรสีทองขนาดใหญ่ รอบๆ มีเพลิงมังกรที่เคลื่อนไหวเป็นระลอกสีทองหลายกลุ่ม จากนั้นกระจายตัวปกคลุมเป็นรัศมีร้อยลี้
“ที่แท้เป็น ‘กระบี่เขี้ยวมังกร’ อาวุธที่สูงส่งจนจะเทียบเท่าได้กับอาวุธชั้นพิภพระดับสุดยอด!”
“วัสดุหลักของกระบี่เล่มนี้คือฟันของราชามังกรย่าหลงแห่งยุคโบราณ…”
ยอดฝีมือของสำนักที่ด้านล่างใจเต้นระรัว สัมผัสได้ถึงพลังสยบและกลิ่นอายของสิ่งมีชีวิตมหาศาลกลุ่มหนึ่ง
ทันทีที่ ‘กระบี่เขี้ยวมังกร’ ปรากฏขึ้น กำลังรบของผู้อาวุโสอินเพิ่มขึ้นห้าหกส่วน พลังมังกรที่กระเทือนสิ่งมีชีวิตในฟ้าดินทำให้จ้าวเฟิงกระเด็นถอยร่นไป
ตุบ!
ครั้งที่สามที่จ้าวเฟิงเข้าประชิดตัว ในที่สุดแล้วจะถูกผู้อาวุโสอินฟันฉับจนกระเด็นออกไป
บนผิวกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ของเขาผุดสะเก็ดไฟขึ้นหลายระลอก บาดแผลที่เกิดขึ้นก็สามารถมองข้ามไปได้เมื่อมีสายเลือดและร่างกายที่แข็งแกร่ง
“อาวุธชั้นพิภพระดับสุดยอด…”
จ้าวเฟิงหรี่ตาลงเล็กน้อย การเข้าประชิดตัวครั้งนี้ไม่เป็นไปอย่างที่คาดไว้ ผลลัพธ์จากการดูดเลือดคืนปราณของเขาแย่กว่าครั้งสองครั้งก่อน
แต่อาวุธชั้นพิภพระดับสุดยอดชิ้นนี้ของผู้อาวุโสอินก็ไม่ธรรมดา เป็นราชาในระดับเดียวกันเลยทีเดียว
“ ผู้เยาว์ ‘กระบี่เขี้ยวมังกร’ ของข้า นอกจากมรดกอาวุธศักดิ์สิทธิ์กับอาวุธชั้นพิภพ ก็ไม่เคยเจอคู่มือมาก่อน เจ้าเข้าใกล้ข้าไม่ได้หรอก ภัยคุกคามสายเลือดที่เกิดขึ้นกับข้าก็ลดลงไปมาก”
ใบหน้าของผู้อาวุโสอินมีแววยโส
ในเวลาเดียวกัน เขาลอบถอนหายใจอยู่ข้างใน ถ้าหากไม่สามารถข่มจ้าวเฟิงได้ เขาผู้มีพลังฝึกตนในขั้นราชันระดับสุดยอดจะมีหน้าไปสู้คนได้อย่างไร?
“มรดกอาวุธศักดิ์สิทธิ์? ข้ามีพอดี”
ในแววตาของจ้าวเฟิงเผยแววนึกสนุกและเยาะเย้ย
ไม่ต้องพูดถึงมรดกอาวุธศักดิ์สิทธิ์ ต่อให้เป็นอาวุธเทพชั้นรองในตำนาน เขาเองก็มีชิ้นสองชิ้น
“มรดกอาวุธศักดิ์สิทธิ์ ธนูเหนือนภา!”
ในมือของจ้าวเฟิงปรากฏคันธนูโบราณสีเงินคันหนึ่งขึ้นในมือ บนพื้นผิวของธนูสลักตัวอักษรโบราณลึกลับ เปล่งแสงประกายสีเงิน กลายเป็นลวดลายราวกับตัวลูกอ๊อดหลายตัว
พรึ่บ!
คันธนูเปล่งระลอกแสงสีทองที่หนาวเหน็บ ทำให้ ‘กระบี่เขี้ยวมังกร’ ในมือของผู้อาวุโสอินสั่นไหวไม่สงบ
“มรดกอาวุธศักดิ์สิทธิ์! และยังเป็นประเภทอาวุธวิเศษในระยะไกลอีกด้วย…”
รอยยิ้มบนใบหน้าของผู้อาวุโสอินค้างแข็งไป
ยอดฝีมือมีเก่งมีด้อย อาวุธวิเศษเองก็มีระดับขั้นเช่นกัน
ในระดับขั้นของอาวุธวิเศษ ‘กระบี่เขี้ยวมังกร’ ถูกกดข่มโดย ‘ธนูเหนือนภา’ ของจ้าวเฟิงไปส่วนหนึ่ง อานุภาพที่มันจะสามารถสำแดงได้ก็จะถูกจำกัดไปด้วย
“ธนูเหนือนภา! มรดกอาวุธศักดิ์สิทธิ์!”
“นี่จะต้องเป็นโอกาสที่จ้าวเฟิงได้มาจากมิติเทพลวงตาแน่”
ผู้ชมการต่อสู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างตื่นตะลึง
“ในเมื่อเจ้าไม่ยอมต่อสู้ในระยะประชิด เช่นนั้นพวกเราก็มาต่อสู้ระยะไกล…”
มุมปากของจ้าวเฟิงยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม
เมื่อเอ่ยจบ มือข้างหนึ่งของเขาก็ง้างคันธนูสีทองของธนูเหนือนภา ปราณที่แท้จริงวายุอัสนีในร่างทะลักหลั่งเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง
พรึ่บ!
บนสายของธนูเหนือนภา ลำแสงธนูสีทองสว่างเจิดจ้าก่อตัวขึ้น มีแสงวายุอัสนีราวกับเมฆโอบล้อม
“แย่แล้ว!”
ผู้อาวุโสอินที่อยู่ไกลออกไปใจเย็นวาบอย่างประหลาด โดนคมแหลมสีทองที่ทะลวงผ่านอากาศปักลงไป
ผู้อาวุโสอินกำ ‘กระบี่เขี้ยวมังกร’ ไว้ในมือ ร่างกายค้างแข็ง เหงื่อเย็นผุดขึ้นบนหน้าผาก
เขาเกิดความรู้สึกราวกับไม่ว่าตนเองจะหลบหลีกอย่างไร ก็ไม่สามารถหลบหนีการโจมตีของธนูเหนือนภาได้
“ธนูเหนือนภา เป็นมรดกอาวุธศักดิ์สิทธิ์ในตำนานจริงๆ”
“ไม่เพียงแต่การสู้ในระยะประชิดของจ้าวเฟิงจะแกร่งกล้า เขายังชำนาญการใช้อาวุธที่โจมตีระยะไกลด้วย หากไม่เช่นนั้นแล้วเขาก็คงยากจะได้รับการยอมรับจากธนูเหนือนภา”
ราชันส่วนหนึ่งในที่นั้นต่างก็มีสีหน้าสงสัยแปลกใจ
ยากจะจินตนาการได้ว่า การดำรงอยู่ที่น่ากลัวเช่นนี้เป็นเพียงแค่คนรุ่นหลังในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดผู้หนึ่งเท่านั้น
‘ขั้นพลังปราณที่แท้จริงของข้าสู้ผู้อาวุโสอินไม่ได้ การโจมตีกายเนื้อของธนูเหนือนภาค่อนข้างยากจะลงมือสังหารเขาได้ ทว่าหากรวบรวม ‘ธนูลำแสงวิญญาณ’ ขึ้น บางทีอาจจะสังหารเขาได้อย่างรวดเร็ว…’
สายเลือดดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงทำงานร่วมกับธนูเหนือนภา เล็งเป้าหมายตรงไปที่ผู้อาวุโสอิน
ผู้อาวุโสอินไม่กล้าลงมือผลีผลาม แรงกดดันและภัยคุกคามที่ไร้รูปร่างทำให้เขาราวกับตกลงไปในห้องน้ำแข็งที่หนาวเหน็บ
จ้าวเฟิงเพียงกำลังลอกเลียนแบบ วิเคราะห์ แต่กลับไม่ได้โจมตีแต่อย่างใด
เขายังมีความคิดอย่างหนึ่ง หากใช้ ‘ศรสังหารเทพ’ ที่เป็นอาวุธเทพชั้นรองบนพื้นฐานของ ‘ธนูเหนือนภา’ไม่รู้ว่าจะมีพลังในระดับไหนกันแน่
‘นอกเสียจากว่าจะเลื่อนระดับขึ้นเป็นราชัน ถึงจะสามารถใช้ ‘ศรสังหารเทพ’ ได้’
จ้าวเฟิงวิเคราะห์แจกแจงในใจ
อาวุธวิเศษจำพวกศรเป็นสิ่งของสิ้นเปลือง เงื่อนไขด้านพลังฝึกตนต่ำกว่าอาวุธวิเศษที่อยู่ในระดับเดียวกัน
ธนูเหนือนภาสามารถมองเป็นชะแลง ส่วนศรสังหารเทพก็เป็นสิ่งของที่ต้องใช้ชะแลงงัดขึ้น
สำหรับจ้าวเฟิงในตอนนี้
สิ่งของที่ต้องงัดขึ้นอย่างศรสังหารเทพชิ้นนี้มีน้ำหนักมากเกินไป อยู่เหนือขีดจำกัดที่เขามี นอกเสียจากว่าพลังของตัวเขาเองเพิ่มขึ้นถึงจะสามารถปลดปล่อยพลังของมันได้
กลางอากาศเหนือสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น
กลิ่นอายของอาวุธวิเศษชั้นพิภพและมรดกอาวุธศักดิ์สิทธิ์ปะทะกันไม่หยุด คนที่รับชมรอบๆ บริเวณ ล้วนแต่รักษาระยะห่าง แต่ละคนตึงเครียดอย่างมาก
“ยั้งมือก่อน——”
เสียงร้องตะเบ็งที่น่าเกรงขามเกินจะเปรียบดังขึ้นโดยฉับพลัน อีกฟากหนึ่งมีเสียงดังกึกก้องขึ้นรางๆ
ในทันใดนั้นเอง
พลานุภาพของจักรพรรดิที่ไร้ขอบเขตกลุ่มหนึ่งปกคลุมไปทั่วพื้นที่ ยอดฝีมือจำนวนมากรวมไปถึงราชันขอบเขตปราณเทวะ ในใจหวาดกลัว หายใจลำบากอย่างยิ่ง
และในวินาทีถัดมา
ขวับ!
ไม่รู้ว่าเป็นเวลาใด สตรีวงหน้างดงามสวมมงกุฎสีม่วงแวววาวปรากฏกายขึ้นบนชั้นเมฆ
โฉมงามนางนั้นอยู่กลางลำแสงสกาวแวววาวที่หมุนวนรอบกาย บุคลิกสูงส่งช่างโดดเด่นงดงามอย่างยิ่ง
“จักรพรรดิหลิงฉยง!”
เสียงที่เต็มไปด้วยความเคารพปนหวาดเกรงดังมา ศิษย์ในสำนักที่อยู่ในระดับค่อนข้างต่ำทรุดเข่าลงทำความเคารพภายใต้แรงกดดันมหาศาล
“คารวะผู้อาวุโสที่สาม”
ผู้อาวุโสอินถอนหายใจยาว ราชันคนอื่นอย่างเช่นราชาลู่อวิ๋นหรือผู้อาวุโสอู่ต่างทำความเคารพกันพัลวัน
“ผู้อาวุโสที่สาม จักรพรรดิหลิงฉยง…”
จ้าวเฟิงอดเหลือบมองไม่ได้
สตรีใบหน้างดงามผู้มาเยือนนางนี้เป็นจักรพรรดิหญิงคนเดียวของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น หรือจักรพรรดิหลิงฉยง
นี่ทำให้จ้าวเฟิงอดนึกถึง ‘จักรพรรดิเหมันต์จันทรา’ แห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ราชาโจรสลัดในยามก่อนไม่ได้
เมื่อเปรียบกับไอสังหารเย็นยะเยือกและทะนงองอาจของ ‘จักรพรรดิเหมันต์จันทรา’ จักรพรรดิหลิงฉยงผู้นี้มีความงดงามเลอค่า แต่กลับไม่สูญเสียความน่าเกรงขามไป
“จักรพรรดิหลิงฉยง ท่านจะต้องให้ความเป็นธรรมกับพวกเรา…”
ผู้อาวุโสอินและผู้อาวุโสอู่ที่ได้รับบาดเจ็บพลันชิงพูดก่อน ฟ้องการกระทำที่ ‘เลวร้าย’ ของจ้าวเฟิง “เจ้าเด็กผู้นี้ละเมิดกฎสำนัก ไม่ใยดีในความเป็นตายของเพื่อนร่วมสำนัก ล่วงเกินผู้สูงศักดิ์กว่า กล้าไร้มารยาทต่อผู้อาวุโส ทำร้ายผู้อาวุโสของสำนักจนบาดเจ็บสาหัส…”
จักรพรรดิหลิงฉยงได้ยินเรื่องที่ผู้อาวุโสทั้งสองฟ้อง สีหน้ากลับราบเรียบราวสายน้ำนิ่ง ดูไม่ออกว่าคิดอะไรในใจ
จ้าวเฟิงลอยตัวอยู่กลางอากาศ ในขณะที่ถูกกดดันจากจักรพรรดิปราณเทวะ ก็ไม่มีท่าทีหวาดกลัวลนลานออกมาให้เห็น
“ไม่เสียทีที่เป็นอัจฉริยะที่หนานเฟิงอ๋องชื่นชม!”
นัยน์ตาคู่งามของจักรพรรดิหลิงฉยงฉายแววชื่นชมและสนใจ มองจ้าวเฟิงอย่างประเมินหลายครั้ง ในดวงตาไม่มีร่องรอยของความเป็นศัตรูแม้แต่น้อย ถือขั้นที่ว่ายังดูเป็นมิตรด้วยซ้ำไป
ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้ผู้อาวุโสอินและผู้อาวุโสอู่กระวนกระวายใจ
“ผู้อาวุโสที่สาม ท่านจะต้องตัดสินอย่างเป็นธรรม! กระดูกของข้าเกือบจะถูกหักกระจายอยู่แล้ว…”
น้ำเสียงของผู้อาวุโสอู่สั่นเครือ ท่าทางบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ มากพอที่จะทำให้คนไม่รู้ที่มาที่ไปเกิดความสงสารเห็นใจ
“เหอะ!”
วงหน้างามจักรพรรดิหลิงฉยงเย็นชา “ข้าเห็นเรื่องทั้งหมดตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ”
ทันทีที่เอ่ยจบ ใจของผู้อาวุโสอินและผู้อาวุโสอู่พลันหนักอึ้ง สีหน้าซีดเผือดลงไป
“ตามข่าวคราวที่เล่าลือกันมา จักรพรรดิหลิงฉยงและหนานเฟิงอ๋องมีความสัมพันธ์กันอยู่…”
ราชาลู่อวิ๋นและพวกที่อยู่ไม่ไกลนักแอบกระซิบกระซาบกัน