บทที่ 874 เถี่ยหลีเทียน
จักรพรรดิหลิงฉยงแค่นเสียง ทำให้ผู้อาวุโสอู่และผู้อาวุโสอินหวาดผวา โอดครวญอยู่ในใจ
คำพูดก่อนนี้ของพวกเขาบิดเบือนและแต่งเติมจากความจริงไปหลายส่วนจริงๆ
เพียงแต่คนทั้งสองเองก็คาดคิดไม่ถึงว่า จักรพรรดิหลิงฉยงจะมองเห็นเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น
ไม่เพียงเท่านั้น จักรพรรดิหลิงฉยงและ ‘หนานเฟิงอ๋อง’ ที่เป็นผู้ปกครองสูงสุดของดินแดนเกาะเทียนเฟิงมีความสัมพันธ์เป็นการส่วนตัว นางไม่ได้ปกปิดความชื่นชมที่มีต่อจ้าวเฟิงแม้แต่น้อย
“ในเมื่อผู้อาวุโสที่สามเห็นเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด เช่นนั้นแล้วก็รบกวนท่านตัดสินอย่างเป็นธรรมเถอะ”
ราชาลู่อวิ๋นและพวกเอ่ยเสนอ
ทั้งสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นมีจักรพรรดิปราณเทวะอยู่เพียงแค่สองสามคนเท่านั้น ตำแหน่งของจักรพรรดิหลิงฉยงผู้นี้สูงที่สุดแล้วในบรรดาผู้คน ณ ตรงนั้น
หนำซ้ำจักรพรรดิหลิงฉยงมีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องซื่อตรง ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว คนจำนวนมากต่างเคารพยำเกรง และก็มีคนเกลียดชังนางด้วยเช่นกัน
“ได้!” จักรพรรดิหลิงฉยงผงกศีรษะ นัยน์ตางามเคลื่อนมาหยุดลงบนร่างของจ้าวเฟิงก่อน
“จ้าวเฟิง!”
เสียงเย็นชาดังทะลุเข้ามาในชั้นวิญญาณ หอบเอาพลานุภาพของราชันปกคลุมทั่วร่างของจ้าวเฟิง
โครม!ร่างของจ้าวเฟิงสั่นสะท้านน้อยๆ อยู่กลางอากาศ เผยแววตื่นตระหนกออกมา เดิมเขาคิดว่าจักรพรรดิหลิงฉยงผู้นี้ชื่นชมเขา บวกกับความสัมพันธ์ที่มีกับหนานเฟิงอ๋อง จึงมีความเป็นไปได้ว่าจะปกป้องเข้าข้างเขา แต่สถานการณ์ในตอนนี้ ทันทีที่จักรพรรดิหลิงฉยงปรากฏกายก็จงใจเขย่าขวัญเขา
เพียงแต่การเขย่าขวัญนี้ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่นัก ถึงแม้ว่าจะเป็นความน่าครั่นคร้ามจากพลังของจักรพรรดิก็ไม่ได้ทำให้จ้าวเฟิงอ่อนข้อให้
บนวงหน้างามของจักรพรรดิหลิงฉยง ในที่สุดก็ปรากฏร่องรอยอารมณ์
นางค้นพบว่าตนเองดูแคลนจ้าวเฟิงไป อีกฝ่ายไม่เสียทีที่เป็นบุคคลที่หนานเฟิงอ๋องชื่นชมและต้องการจะชักจูงมาเป็นพวก
แต่แรกสุดขนาด ‘บรรดาศักดิ์ป๋อ’ ที่สูงส่งจ้าวเฟิงยังปฏิเสธได้
“ขอบังอาจถาม ผู้อาวุโสที่สาม ข้าทำอะไรผิดและจะลงโทษข้าอย่างไร?”
จ้าวเฟิงเอ่ยถามอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน
สถานการณ์ในตอนนี้ เขาไม่อยากจะเป็นศัตรูกับจักรพรรดิในขอบเขตปราณเทวะ และไม่อยากแตกหักกับสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น
ด้วยเพราะหลังจากที่จ้าวเฟิงย้ายร่างถือกำเนิดใหม่ ก็ได้อาศัยสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นเป็นดังสะพานที่ทำให้เขาได้พัฒนาอย่างก้าวกระโดดเช่นนี้
“จ้าวเฟิง เจ้าทอดทิ้งกองกำลังที่มิติเทพลวงตา มีเรื่องนี้เกิดขึ้นหรือไม่?”
จักรพรรดิหลิงฉยงเอ่ยถาม
พลังจักรพรรดิบนร่างนางยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ กดดันอยู่รอบตัวของจ้าวเฟิง หากเปลี่ยนเป็นราชันทั่วไปคนอื่นคงจะสูญสลายไปนานแล้ว แต่จ้าวเฟิงกลับไม่สะทกสะท้านใดๆ
“มี” จ้าวเฟิงตอบอย่างตรงไปตรงมา
“เจ้าไม่เคารพผู้อาวุโส ทำร้ายผู้อาวุโสอู่จนบาดเจ็บหนัก มีเรื่องนี้เกิดขึ้นหรือไม่?”
เสียงของจักรพรรดิหลิงฉยงเปลี่ยนเป็นเย็นชา
“มี” น้ำเสียงนั้นไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ในเวลาดังกล่าว ทั่วทั้งที่ดังกล่าวตกอยู่ในความเงียบสงัด ใบหน้าของผู้อาวุโสอู่และผู้อาวุโสอินฉายแววสะใจที่ผู้อื่นเดืดร้อน
เดิมทีทุกคนคิดว่าจักรพรรดิหลิงฉยงจะปกป้องจ้าวเฟิง แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับกันอย่างสิ้นเชิง
แววตาที่สมาชิกของสำนักส่วนหนึ่งทอดมองจ้าวเฟิงเจือความรู้สึกเวทนาอย่างอดไม่ได้
ทุกคนต่างรู้ว่าที่จ้าวเฟิงทำร้ายผู้อาวุโสอู่เป็นการปกป้องตัวเองและพลั้งมือไปเท่านั้น
“ดีมากจ้าวเฟิง ข้าชื่นชมในความตรงไปตรงมาของเจ้า ถึงแม้ว่าการกระทำดังกล่าวจะเกิดขึ้นเพราะสถานการณ์บีบบังคับก็พอจะเข้าใจได้ แต่ความจริงในมิติเทพลวงตาก็ไม่มีอะไรมายืนยัน ตัวข้าเองคงไม่อาจกำหนดโทษของเจ้าอย่างง่ายดาย”
คำพูดของจักรพรรดิหลิงฉยงเปลี่ยนไปในทันใด
เมื่อได้ยินเช่นนั้น พวกของผู้อาวุโสอู่และผู้อาวุโสอินต่างก็เห็นด้วย
ดูท่าทางแล้ว จักรพรรดิหลิงฉยงเตรียมกำหนดโทษจ้าวเฟิง แต่มีความจริงบางส่วนที่จำเป็นต้องรอหัวกะทิคนอื่นๆ ที่เข้าไปในมิติเทพลวงตาออกมาบอกความจริง
ด้วยเพราะในที่แห่งนี้ไม่มีใครยืนยันคำพูดมากมายของจ้าวเฟิงได้เลย
ไม่แน่ว่าจ้าวเฟิงอาจจะทรยศสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นจริงๆ และยังหักหลังกองกำลังของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นด้วย
“ตอนนี้ไม่สามารถกำหนดโทษได้งั้นรึ? พูดแบบนี้แปลว่าข้ากลับไปฝึกตนได้ก่อนใช่หรือไม่?”
จ้าวเฟิงเอ่ยเนิบนาบ
สำหรับการลงโทษที่อาจเกิดขึ้นจากจักรพรรดิหลิงฉยง จ้าวเฟิงไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย
เขาไม่ได้จะอยู่ที่สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นนานนัก รอให้ฟื้นฟูพลังฝึกตนในขอบเขตปราณเทวะเสร็จก็จะไปจากสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น
“ได้”
จักรพรรดิหลิงฉยงชะงักไป มักรู้สึกว่าเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้คล้ายมองข้ามตนเอง แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีล่วงเกินออกมาอย่างชัดเจน
เหล่าราชันปราณเทวะในที่แห่งนั้นอดรู้สึกประหลาดพิกลไม่ได้ เมื่อเห็นจ้าวเฟิงดูไม่มีทีท่าจะกังวลต่ออนาคตของตนเองเลยแม้แต่น้อย
ท่าทีสงบราบเรียบไม่หวาดกลัวอะไร ทำให้จักรพรรดิหลิงฉยงรู้สึกไม่ยินดีเท่าไหร่นัก
“แต่ก่อนที่ความจริงจะเปิดเผย ข้าจะกักบริเวณเจ้าสองเดือน ในระยะเวลาสองเดือน เจ้าห้ามออกกจากสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น มิฉะนั้นจะถือว่าทรยศและสามารถปลิดชีพเจ้าได้โดยไม่ต้องมีเหตุผลใด!”
วงหน้าของจักรพรรดิหลิงฉยงเยือกเย็น
พวกราชันในที่ดังกล่าวต่างก็สัมผัสได้ถึงความกดดันที่น่าสะพรึงกลัว แต่ละคนใจสั่นระรัว
คนที่คุ้นเคยกับจักรพรรดิหลิงฉยงต่างก็รู้ว่า จ้าวเฟิงยั่วโมโหจักรพรรดิหญิงนางนี้เข้าแล้ว ด้วยนิสัยใจคอของจักรพรรดิหลิงฉยง มีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะ ‘ขัดเกลา’ จ้าวเฟิงสักหน่อย
“สองเดือนหรือ?”
จ้าวเฟิงชะงักเท้า แล้วจึงเดินออกจากแท่นบูชาราวกับว่ารอบด้านไม่มีใครทั้งนั้น
ในความเป็นจริงแล้ว
จ้าวเฟิงเดินทางกลับมาในครั้งนี้ เขากะว่าจะใช้เวลาเต็มสามเดือนเก็บตัวฝึกตน เพื่อให้พลังเข้าใกล้ขอบเขตปราณเทวะ เมื่อเป็นเช่นนี้พลังของเขาจะเข้าใกล้ ‘เทพราชาดวงตาซ้าย’ ในยามรุ่งโรจน์แล้ว
เปรี๊ยะ!
ใต้ฝ่าเท้าของจ้าวเฟิงปรากฏพาหนะโบราณคันหนึ่ง ลากเอากลุ่มหมอกเพลิงสีฟ้าสว่างสายหนึ่งทะยานผ่านท้องฟ้า และเข้ามายังส่วนลึกของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น
“รวดเร็วเสียจริง! ความเร็วในการโบยบินเกือบเท่ากับจักรพรรดิปราณเทวะแล้ว!”
ราชันในที่นั้นตกใจกันเป็นแถบๆ
“ศิษย์น้องจ้าวเปลี่ยนพาหนะตั้งแต่ตอนไหนกัน?”
ในดวงตาของลูกศิษย์ส่วนหนึ่งฉายแววริษยาและอิจฉา มองจ้าวเฟิงจนลับสายตาไป
“ผลึกเซียนระดับล่าง…”
จักรพรรดิหลิงฉยงร้องอย่างตื่นตระหนก เมื่อสัมผัสได้ถึงระลอกพลังผลึกเซียนที่แผ่ออกมารางๆ จาก ‘พาหนะเพลิงวายุ’
ผลึกเซียนระดับล่างก็เป็นหินผลึกในตำนานระดับสูงสุดของดินแดนทวีปแล้ว
แรงเย้ายวนของผลึกเซียนระดับล่างนั้น ต่อให้เป็นจักรพรรดิในขอบเขตปราณเทวะก็ยังต้องลุ่มหลงอย่างมาก แม้กระทั่งผู้ที่ฝึกตนเป็นเซียนในขอบเขตเทวาเร้นลับก็ยังต้องการผลึกเซียนระดับล่างแบบนี้
แต่ผลึกเซียนระดับล่างประเภทนี้กลับถูกจ้าวเฟิงเลี่ยมลงบนพาหนะบินคันหนึ่ง
ข้อดีของการทำเช่นนี้คือแหล่งพลังงานของพาหนะเพลิงวายุจะไม่ขาดช่วงไป และไม่มีวันใช้จนหมด แทบไม่จำเป็นต้องให้จ้าวเฟิงหลอมรวมปราณที่แท้จริง
ห้วงคิดเซียนของพวกยอดฝีมือในขอบเขตปราณเทวะและจักรพรรดิหลิงฉยงมองเขม็งจ้าวเฟิงที่เข้าไปด้านในของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น
เส้นทางในการบินของจ้าวเฟิงไม่ได้แสดงให้เห็นทีท่าว่าจะเดินทางออกจากสำนัก ด้วยเหตุนี้พวกจักรพรรดิหลิงฉยงจึงไม่ได้ลงมือขัดขวาง
เวลาสิบช่วงลมหายใจยังไม่ทันพ้นไป พาหนะเพลิงวายุที่จ้าวเฟิงบังคับก็ร่อนลงบนเขตที่พักของศิษย์หลัก
ทันใดนั้นเอง จ้าวเฟิงตั้งป้ายคำสั่งเข้าฌาน ตั้งค่ายกล แล้วจึงเริ่มเก็บตัวฝึกตน
ก่อนที่จะฝึกฝน ความคิดของจ้าวเฟิงเข้าไปภายในมิติส่วนตัวที่อยู่ด้านในอาวุธเทพชั้นรอง ‘มนตราอากาศ’
ผืนดิน สายน้ำ หุบเขาแห่งนี้โอบอุ้มสิ่งมีชีวิตและป่าไม้ใบหญ้าเอาไว้
จ้าวเฟิงเอาสมบัติล้ำค่าต่างๆ อย่างเช่นบัวฟ้าวารีคราม รากบัวหิมะหลอมกายา เพาะลงในมิติส่วนตัวแห่งนี้
นอกจากนี้
‘ผึ้งเบญจพิษ’ ฝูงนั้นที่เขาได้มาก็ถูกเพาะเลี้ยงไว้ในพื้นที่ส่วนหนึ่งโดยเฉพาะ อีกทั้งยังต้องส่งเกสรดอกไม้ให้ไม่หยุดด้วย
ภารกิจเหล่านี้จ้าวเฟิงมอบให้เจ้าแมวขโมยตัวน้อยเป็นการชั่วคราว
เมี้ยว เมี้ยว!
เจ้าแมวขโมยตัวน้อยกระโดดโลดเต้น รับภารกิจจากผู้เป็นนายมา แต่ก็ยื่นข้อเสนอในด้านทรัพยากรบางส่วน ข้อเรียกร้องด้านทรัพยากรของมัน มากพอที่จะทำให้ราชันในขอบเขตปราณเทวะหลายคนต้องสิ้นเนื้อประดาตัว
จ้าวเฟิงตอบตกลงโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
สิ่งที่เร่งด่วนในตอนนี้คือ เขาจำเป็นต้องฟื้นฟูพลังโดยเร็ว อีกทั้งพื้นที่ในมนตราอากาศ ก็ต้องจัดการให้เรียบร้อย
ในห้องพัก ณ ลานที่พัก
จ้าวเฟิงนั่งขัดสมาธิบนพื้น วายุอัสนีธาตุน้ำสีเขียวอ่อนเรืองรองผุดออกมาทั่วร่าง
ขวับ! ขวับ!
ทรัพยากรสมบัติชั้นยอดอย่างแก่นผลึกวายุอัสนีขั้นราชัน พฤกษาไร้ขอบเขต น้ำผึ้งไป่หยวน บัวฟ้าวารีคราม ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าจ้าวเฟิง
นอกเหนือไปจากแก่นผลึกวายุอัสนี ทรัพยากรอื่นๆ โดยมากจะมีแก่นสำคัญของพฤกษา และยังมีผลลัพธ์ประหลาดที่ดีเยี่ยมต่างๆ เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาพลังฝึกตน ร่างกาย สายเลือด หรือกระทั่งดวงวิญญาณ
พลังวายุอัสนีรวมตัวกลางอากาศเหนือที่พักของจ้าวเฟิงไม่หยุด จนกลายเป็นกลุ่มวายุอัสนีขนาดมโหฬาร
หลังจากที่พลังจักรพรรดิฟื้นฟูไปในขั้นต้นแล้ว พลังฝึกตนของจ้าวเฟิงก็ไม่มีกำแพงขอบเขตอะไรอีก
สิ่งที่เขาต้องทำก็มีเพียงสะสม รวมไปถึงฝึกฝนเพื่อให้บรรลุชุดวิชา ‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ ก็พอ
เพียงพริบตาเดียวเวลาครึ่งเดือนก็ผ่านไป
‘วายุอัสนีธาตุน้ำ’ ที่แปรผันและถือกำเนิดภายในร่างจ้าวเฟิงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ คุณภาพของมันก็ไปแตะขั้นขอบเขตปราณเทวะทั้งสิ้น
อีกทั้ง แก่นผลึกในร่างของจ้าวเฟิงไม่เหมือนกับวิชาธรรมดาทั่วไป
แก่นผลึกของเขาถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งเป็นสีน้ำเงิน ส่วนหนึ่งเป็นสีเขียวคราม
ดูไปแล้วเหมือนเป็นการเชื่อมต่อกันระหว่างแร่สีน้ำเงินและแร่สีเขียว
ในส่วนแก่นผลึกสีน้ำเงินเป็นตัวแทนของวายุอัสนีธาตุน้ำ ในตอนนี้มีพื้นที่สองในสาม ส่วนที่เป็นเขียวเป็นตัวแทนของวายุอัสนีธาตุไม้ มีพื้นที่อยู่หนึ่งในสาม
แต่ที่เกินความคาดหมายก็คือ วายุอัสนีธาตุน้ำสีน้ำเงินสามารถแปรสภาพเป็นวายุอัสนีธาตุไม้ได้
“น้ำให้กำเนิดไม้…ไม้ให้กำเนิดไฟ…ไฟให้กำเนิดดิน…ดินให้กำเนิดทอง…ทองให้กำเนิดน้ำ…”
ทิศทางต่อไปของ ‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ ที่จ้าวเฟิงฝึกฝนชัดเจนแจ่มแจ้งขึ้น
แน่นอนว่า การแปรเปลี่ยนประเภทนี้ยังเป็นไปในทิศทางเดียวเท่านั้น วายุอัสนีธาตุน้ำสามารถเปลี่ยนสภาพเป็นวายุอัสนีธาตุไม้ แต่ทว่าวายุอัสนีธาตุไม้ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นวายุอัสนีธาตุน้ำได้
นอกเสียจากวายุอัสนีห้าสายทั้งหมดผสานเข้าหากันจนกลายเป็นหนึ่งเดียว
ถึงยามนั้น จำนวนสะสมของปราณที่แท้จริงของจ้าวเฟิงจะอยู่ห่างไกลระดับขั้นเดียวกันอย่างมาก วิธีการที่ใช้ ธาตุทั้งห้าที่ชำนาญ แทบจะเอาชนะเหนือฟ้าดิน ไม่หวาดกลัวสิ่งใด
ในขณะที่จ้าวเฟิงปิดผนึกฝึกตนเป็นเวลายี่สิบวัน
“ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงช่วงสุดยอด!”
จ้าวเฟิงที่นั่งขัดสมาธิในห้อง กลิ่นอายทะลักพวยพุ่ง แก่นผลึกในร่างขยายออกจนถึงขีดสุด
แซ่ด พรึ่บ!
อากาศเหนือที่พัก พลังวายุอัสนีกลายเป็นน้ำวนดั่งมหาสมุทรลึกล้ำ
ศิษย์หลักคนสำคัญที่อยู่ในละแวกใกล้เคียงใจสั่นสะท้านหวาดกลัว
ตัดลูกศิษย์ผู้สืบทอดส่วนหนึ่งออกไป ลูกศิษย์จำนวนมากของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นล้วนยังไม่ทะลวงผ่านขอบเขตแก่นก่อกำเนิด นับประสาอะไรกับขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสุดยอด
ยิ่งไปกว่านั้น
คุณภาพปราณที่แท้จริงของจ้าวเฟิงเทียบเท่าได้กับราชันปราณเทวะ เหลือแต่รอให้ภายในแก่นผลึกสร้างมิติปราณที่แท้จริงขึ้นมาเท่านั้นเอง
“ยังขาดไปอีกแค่ก้าวหนึ่ง ข้าก็จะสามารถเข้าใกล้ช่วงรุ่งโรจน์ของชีวิตก่อน แล้วต่อจากนั้นก็จะเหนือไปกว่านั้น…”
แววตาของจ้าวเฟิงเป็นประกาย อดตื่นเต้นรอคอยไม่ได้
ในช่วงชีวิตนี้ วิชาที่เขาฝึกแกร่งกล้ากว่าเดิม อนาคตก็ยาวไกลมากกว่าเดิม หลังจากที่เข้าไปในมิติเทพลวงตาแล้ว ทรัพยากรของเขาก็ครบสรรพมากขึ้นกว่าช่วงชีวิตก่อนมาก
และในขณะที่จ้าวเฟิงทุ่มเทพลังใจทะลวงผ่านขอบเขตปราณเทวะ
เหนือสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นในวันนั้น กลิ่นอายจักรพรรดิศาสตร์อัคคีที่ทรงพลังไร้เทียมทานปรากฏขึ้น อากาศเหนือทางเข้าสำนักปกคลุมไปด้วยลำแสงสีแดงเจิดจ้า สาดซัดกลิ่นอายพลานุภาพศาสตร์อัคคีที่กว้างขวางไร้ขอบเขต
พวกคนชั้นสูงของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น แต่ละคนต่างใจสั่นสะท้าน
ราชันและจักรพรรดิส่วนหนึ่งต่างถูกเขย่าขวัญ สีหน้าหวาดกลัว ใช้ประสาทสัมผัสจิตวิญญาณสำรวจค้นหา
ในตอนนี้ สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นมีจักรพรรดิสามคน
สองคนในนั้นกำลังปิดผนึกฝึกตน เหลือแต่จักรพรรดิหลิงฉยงอีกคนหนึ่ง
“ ‘เถี่ยหลีเทียน’ จักรพรรดิของตระกูลเถี่ย เขาปรากฏตัวขึ้นที่นี่ได้อย่างไร…”
จักรพรรดิหลิงฉยงหน้าถอดสีไปเล็กน้อย
นามของจักรพรรดิที่ลี้ลับผู้นี้คนนี้สามารถกระเทือนฟ้าดิน ทั้งยังเป็นคนของตระกูลเถี่ยที่เป็นหนึ่งในแปดตระกูลชนชั้นสูงด้วย
ในลำแสงสีแดงเจิดจ้าพอจะมองเห็นผู้เฒ่าในชุดนักรบสีแดงได้เลือนราง
กลิ่นอายของจักรพรรดิศาสตร์อัคคีผู้นี้ อยู่เหนือจักรพรรดิหลิงฉยงไปขั้นหนึ่งอย่างเห็นได้ชัด ฝ่ายหลังจึงหายใจถี่กระชั้น
“ข้ารีบรุดมาจาก ‘คฤหาสน์เขาประจิม’ เมื่อได้ยินว่าปรากฏสายเลือด ‘เพลิงมารโลหิต’ ของตระกูลข้าที่ดินแดนเกาะเทียนเฟิง สำรวจอยู่หลายครั้งก็ไล่ตามมาถึงที่นี่ และเห็นความจริงเต็มสองตาแล้ว”
‘เถี่ยหลีเทียน’ ผู้เฒ่าในชุดนักรบคนดังกล่าว เสียงหัวเราะของเขาดังกึกก้องราวโลหะ กระเทือนทั้งสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น