บทที่ 879 ท้อแท้สิ้นหวัง
ในวินาทีที่ผู้คนจากตำหนักวิญญาณปฐพียินดีอย่างบ้าคลั่ง จ้าวเฟิงไม่ได้ร่นถอยแต่กลับรุกคืบ ตรงเข้าไปใกล้จักรพรรดิชุดนักรบสีดำผู้นั้นอย่างทรงพลัง
ในวินาทีนั้น
กายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ของจ้าวเฟิงขยายออกอีกครั้ง จนกลายเป็นยักษ์ตัวเล็กตนหนึ่ง เขาโคจรสายเลือดเพลิงมารโลหิต ทั่วร่างปลดปล่อยลำแสงอาทิตย์เลือดร้อนแรงออกมา
ตุบ ตุบ! แซ่ด!
ระลอกโซ่สายฟ้าสีขาวที่รัดอยู่รอบกายเหมือนไม่มีผลใดๆ แทบไม่อาจทำร้ายกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ที่ขยายออกของจ้าวเฟิงได้เลย
จักรพรรดิชุดนักรบสีดำผู้นี้เชี่ยวชาญเคล็ดวิชาศาสตร์อัสนี มากพอที่จะกักขังจำกัดจักรพรรดิปราณเทวะทั่วไปได้ แต่กลับไม่มีผลใดๆ ต่อจ้าวเฟิง
“เป็นไปได้อย่างไร…”
จักรพรรดิชุดนักรบดำสังเกตได้ถึงสิ่งที่ผิดแปลกไป พบว่าร่างกายของจ้าวเฟิงมีแรงต่อต้านที่แกร่งกล้าต่อการโจมตีของศาสตร์อัสนี จนถึงขั้นดูดซึมเอาพลังในนั้นมาใช้ได้
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
“โครม——”
มองเห็นเพียงยักษ์เพลิงตนหนึ่ง ปีกวายุอัสนีที่เบื้องหลังโบกสะบัดจนเกิดเป็นพายุอัสนี ความเร็วในการโจมตีที่เกิดขึ้นในระะเวลาสั้นๆ ก็มากพอจะทำให้จักรพรรดิปราณเทวะ ณ ตรงนั้นพูดอะไรไม่ออก
หลังจากที่เปลี่ยนร่างฝึกฝนใหม่ วิชาวายุอัสนีของจ้าวเฟิงยังสืบทอดความเร็วของมรดกวายุอัสนีดั้งเดิมเอาไว้
แต่ร่างกายของเขาแข็งแกร่งขึ้น บวกกับการระเบิดออกของเพลิงมารโลหิต ความเร็วที่กระตุ้นออกมาในทันใดชวนให้ตื่นตะลึงอย่างยิ่ง
โครม ตูม——
จักรพรรดิชุดนักรบดำผู้นั้นรับมือไม่ทัน ยากที่จะหลีกหนีได้ ทำให้ถูกกลุ่มแสงเพลิงร้อนแรงราวกับไฟเผาไหม้ปะทะเข้าอย่างจัง เสียงระเบิดดังกึกก้องไม่หยุดหย่อน
“เขตแดนเมืองมายา!”
ในวินาทีที่การโจมตีมาถึง เขตแดนศาสตร์วิญญาณที่แกร่งกล้ามองข้ามขีดจำกัดของโลกมิติส่วนตัวของเขา ปกคลุมร่างของจักรพรรดิชุดนักรบดำ
ถึงแม้ว่าจะเป็นจักรพรรดิผู้นั้น ประสาทสัมผัสจิตวิญญาณก็สับสนวุ่นวาย ไม่สามารถทำลายผลกระทบของเขตแดนเมืองมายาได้
โครม!อั๊ก!
สีหน้าของจักรพรรดิชุดนักรบตื่นตระหนก ร่างกายกระเด็นถอยไปหลายร้อยจั้ง กระอักเลือดออกมา
ในขณะที่กระเด็นล่าถอยไป ปรากฏลูกไฟสีแดงชั้นหนึ่งทั่วร่างของเขา ปราณและเลือดลมรั่วไหลออกไปส่วนหนึ่ง สีหน้าไม่ค่อยดีนัก
ในการโจมตีระลอกนี้ จักรพรรดิชุดนักรบดำโดนจ้าวเฟิงโจมตีจนบาดเจ็บสาหัส กระอักเลือดออกมาทันที
“เป็นไปได้อย่างไร!”
บรรดายอดฝีมือขอบเขตปราณเทวะของตำหนักวิญญาณปฐพีอุทานตกใจ
ฟากของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น จักรพรรดิหลิงฉยงและพวกจักรพรรดิราชันแต่ละคนต่างตกตะลึง ยืนนิ่งไม่ไหวติง
“เพลิงมารโลหิต! เพลิงมารโลหิตที่สมบูรณ์แบบเหนือยุคที่รุ่งเรืองที่สุด…”
บนทะเลเมฆ สีหน้าของ ‘เถี่ยหลีเทียน’ ผู้เป็นจักรพรรดิตระกูลเถี่ยฉายแววตื่นตะลึง ตื่นเต้น และปลื้มปีติออกมา
เพลิงมารโลหิตที่สำแดงบนร่างจ้าวเฟิง อานุภาพที่เพิ่งทะลักออกมาอยู่เหนือความคาดหมาย ในทุกครั้งที่โจมตีสามารถเผาผลาญทั้งร่างของเป้าหมาย เผาไหม้เลือดบริสุทธิ์และชีวิตของอีกฝ่าย
สิ่งที่เกินความคาดหมายคือ
ในทุกครั้งที่เพลิงมารโลหิตของจ้าวเฟิงโจมตีในระยะประชิด จะขโมยเอาปราณชีวิตของฝ่ายตรงข้ามมาได้
ในเวลานี้ หลังจากที่กายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์และเพลิงมารโลหิตของจ้าวเฟิง ปลดปล่อยพลังในระดับสุดยอดออกมาครั้งหนึ่ง จิตวิญญาณของเขาไม่เพียงไม่ลดลง กลับเพิ่มขึ้นมากทุกที
“สู้ตายจนกายอาบเลือด ยิ่งต่อสู้ยิ่งกล้าหาญ สายเลือดที่เกิดมาเพื่อสู้รบเช่นนี้ย่อมไม่อาจปล่อยให้สูญหายไป และยิ่งไม่สามารถปล่อยให้หลุดออกไปนอกตระกูลเถี่ย…”
เถี่ยหลีเทียนตื่นเต้นอย่างยิ่ง ร่างกายสั่นสะท้านเล็กน้อย
สายเลือดเช่นเพลิงมารโลหิต การระเบิดโจมตีสูงส่งเกินจะเปรียบ แต่ข้อเสียคือแรงที่จะประคับประคองให้ยาวนานยังไม่มากพอ
แต่เพลิงมารโลหิตที่สมบูรณ์แบบของจ้าวเฟิง ต่อให้บาดเจ็บสาหัส ก็สามารถฟื้นฟูอาการบาดเจ็บและไอสวรรค์ได้อย่างรวดเร็วผ่านการโจมตีที่กระตุ้นสายเลือด
“พื้นฐานของพลังแก่นแท้กายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ การระเบิดอย่างรุนแรงของเพลิงมารโลหิต และความเร็วที่เปลี่ยนไปของวิชาวายุอัสนี…”
จ้าวเฟิงเป็นดั่งยักษ์ปีกมารอาทิตย์เลือดที่ตระหง่านอยู่กลางอากาศ
การใช้วิชาควบคู่กับสายเลือด ได้สำแดงกำลังรบที่แข็งแกร่งเกินจะเปรียบ คิดไม่ถึงว่าจะโจมตีอย่างจังจนจักรพรรดิขอบเขตปราณเทวะบาดเจ็บสาหัสเมื่อครู่ ถึงแม้ว่าจะเพราะอาศัยช่วงที่ฝ่ายตรงข้ามเผอเรอก็ตาม
ร่างกายที่แข็งแกร่งอย่าง ‘กายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์’ ขั้นที่ห้าระดับสูง ทำให้จ้าวเฟิงแทบจะอยู่เหนือคนในขอบเขตปราณเทวะ ต่อให้เป็นจักรพรรดิก็ยังสามารถรับมือได้บ้าง
การระเบิดอย่างรุนแรงของ ‘เพลิงมารโลหิต’ รวมไปถึงการแผดเผา ลุกไหม้ และดูดซึมที่ทรงพลัง ทำให้กำลังรบของเขาปะทุออกไม่ขาดสาย
ความเร็วและการเปลี่ยนแปลงที่ ‘วิชาวายุอัสนี’ นำมาให้ หรือกระทั่งสำนึกรู้อันแกร่งกล้า ก็มากพอช่วยจ้าวเฟิงไม่ต้องเกรงกลัวระแวดระวังท่ามกลางพวกราชันและจักรพรรดิแล้ว
จักรพรรดิชุดนักรบดำที่บาดเจ็บสาหัส ในใจนึกหวาดกลัว จิตต่อสู้สาดกระจายออกไปมากกว่าครึ่ง
“ยื้อเขาไว้สักครู่ก่อน!”
จักรพรรดิหลายคนของตำหนักวิญญาณปฐพีได้สติกลับมาจากความตกใจ กุลีกุจอมาจากหลากหลายทิศทาง
จักรพรรดิชุดนักรบดำก็เข้าใจเหตุผล ด้วยแรงของตนเพียงคนเดียว เกรงว่าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเด็กหนุ่มที่เป็นราวกับสัตว์ประหลาดผู้นี้
“ตายซะ!”
ยักษ์เพลิงที่เป็นร่างแปลงของจ้าวเฟิงพาพายุอัสนีบาตถาโถมมากดดันอีกครั้งด้วยความเร็วที่ไม่อาจหลบหลีกได้
โครม!
กลิ่นอายพลังที่เหี้ยมโหดแกร่งกล้าทำให้เลือดลมของจักรพรรดิชุดนักรบดำปั่นป่วน ร่างกายหนักอึ้งลงไป
แรงกดดันนี้เกิดจากกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์กับสายเลือดและร่างกายที่แข็งแกร่งของเพลิงมารโลหิต
“คิดจะสังหารข้า ไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก”
จักรพรรดิชุดนักรบดำหัวเราะเสียงเย็นออกมา ไม่ว่าการถือกำเนิดของจักรพรรดิปราณเทวะคนใด การทำให้ดวงวิญญาณและชั้นสำนึกรู้สมบูรณ์ย่อมไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
เปรี้ยง!
แขนทั้งสองข้างของจักรพรรดิชุดนักรบไขว้อยู่บริเวณทรวงอก ทั่วร่างเปล่งแสงเกิดเป็นเกราะอัสนีสีขาวพร่างพราย งูสายฟ้าสีขาวหลายตัวยืดยาวออกมาหลายร้อยจั้ง พวกมันเต้นระเร่า ปิดกั้นเส้นทางการโจมตีของจ้าวเฟิงไว้
กลยุทธ์สร้างความวุ่นวายทั้งโจมตีและตั้งรับเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
“เหอะ!”
ในดวงตาของยักษ์เพลิงไฟที่จ้าวเฟิงกลายร่างฉายแววเยาะเย้ย
โครม บึ้ม บึ้ม!
ทุกแห่งที่เขาผ่านไป ทั้งภูเขาแม่น้ำพังทลายราบลงเป็นหน้ากลอง อสรพิษสายฟ้าสีขาวที่โจมตีพัวพัน ถูกพลังร้อนแรงและแก่นแท้ร่างกายที่ทรงพลังปะทะจนแหลกสลายเป็นชิ้นๆ
“เป็นการโจมตีที่ทรงพลังเหลือเกิน…”
เงาของโลกมิติส่วนตัวที่ปรากฏขึ้นเบื้องหลังจักรพรรดิชุดนักรบดำ เขาตื่นตระหนก ทั้งรุกทั้งถอย
ถึงแม้ว่าจ้าวเฟิงจะรุกคืบเข้าไปอย่างรวดเร็ว แต่ว่าจุดมุ่งหมายของจักรพรรดิชุดนักรบดำก็กำลังจะบรรลุผล ขอเพียงแค่รั้งเอาไว้อีกหลายช่วงลมหายใจ
ด้วยบาดแผลที่เจ็บหนักมากยิ่งขึ้น เขาเองก็ต้องการยืดเวลาออกไปเช่นกัน
และในเวลานี้เอง การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
“หนามจิตวิญญาณ!”
สายเลือดดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงปล่อยหนามแหลมไร้รูปร่างที่เป็นดังแก้วสีม่วงหนาวเหน็บออกมา ทะลวงเข้าไปในชั้นวิญญาณของจักรพรรดิชุดนักรบดำ
“อ๊าก!”
จักรพรรดิผู้นั้นกรีดร้องเสียงแหลม หนามจิตวิญญาณจำนวนมหาศาลเกาะกลุ่มกันจนถึงขีดจำกัด มันถูกขัดเกลาจนเหมือนผลึกแก้ว และยังมีพลังดวงตาของด่านเคราะห์อัสนีที่ไม่สูญสลายด้วย
วินาทีนั้น
ดวงวิญญาณของจักรพรรดิชุดนักรบดำถูกทิ่มแทงจนเย็นยะเยือก การลุกลามโจมตีโดยพลังอัสนีเทวะแทบทำให้วิญญาณหลุดลอยออกจากร่าง
แซ่ด วิ้ง!
ในทะเลวิญญาณสีม่วงของจ้าวเฟิง กลิ่นอายพลังอัสนีเทวะสว่างขึ้นหลายร้อยเส้นสายในทันที
ยามนี้ พลังอัสนีเทวะที่เขาสามารถใช้ได้เข้าใกล้ระดับในยามที่ไล่ล่าสังหาร ‘จักรพรรดิแห่งความตาย’ ครั้งสุดท้ายแล้ว
โครม เปรี้ยง——
วินาทีต่อมา ยักษ์เพลิงที่จ้าวเฟิงแปลงกายปะทะเข้าใส่จักรพรรดิชุดนักรบดำ
“ไม่——”
จักรพรรดิหลายคนที่กำลังเข้ามาใกล้คำรามเสียงต่ำอย่างเสียไม่ได้ ใบหน้าฉายแววเกินจะทานทน
ทว่าในเวลาดังกล่าว
ดวงวิญญาณของจักรพรรดิชุดนักรบดำเกือบจะสลายไป ร่างกายบาดเจ็บสาหัส แทบจะไม่อาจตอบโต้ใดๆ ถูกจ้าวเฟิงทำร้ายในทันทีจนตายคาที่
“คนที่ห้า”
น้ำเสียงราบเรียบไร้ความประหลาดใจดังกึกก้องไปทั่ว
จักรพรรดิ!
สังหารจักรพรรดิผู้หนึ่ง!
ผู้คนของทั้งสองฝ่ายในที่นั้นตกอยู่ในความเงียบสงัดอีกครั้ง
คนในสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นทั้งระดับสูงและล่าง ในใจเกิดกระแสคลื่นความพรั่นพรึง พูดอะไรไม่ออก
บรรดายอดฝีมือขอบเขตปราณเทวะฝั่งตำหนักวิญญาณปฐพีใจเย็นวาบ เงามืดที่น่าสะพรึงกลัวกลุ่มหนึ่งแผ่ขยายในใจ
“ลงมือสังหารหมู่…เขาถึงขั้น…”
กูเจาจื้อสีหน้าซีดเผือด ร่างกายสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่กล้าเข้าร่วมการไล่ล่าสังหารจ้าวเฟิง
ในขณะที่อยู่ในคฤหาสน์เสียหยาง หนานกงเซิ่งซึ่งเป็นหนึ่งในมารคู่ผมม่วงได้รับผลกระทบจากพลังเทพปีศาจ ก็เคยลงมือสังหารอย่างโหดเหี้ยมมาแล้ว
การสังหารหมู่ ณ ขณะนั้นถูกจ้าวเฟิงปรามเอาไว้
แต่ในตอนนี้
เขาที่ลึกลับยิ่งกว่าและเป็นผู้บงการของมารคู่หูผมม่วงเปิดฉากฆ่าอย่างไร้ความปรานีเช่นกัน
คนที่ถูกสังหารในครั้งนี้ไม่ได้อยู่ในระดับอัจฉริยะหน้าใหม่ แต่เป็นจักรพรรดิและราชันอาวุโส
พรึ่บ!
ปีกวายุอัสนีเบื้องหลังจ้าวเฟิงโบกสะบัด ทิ้งไว้เพียงเศษเสี้ยวเงาสายฟ้า ใช้ท่าร่างและความเร็วที่โดดเด่นสลัดจักรพรรดิในขอบเขตปราณเทวะที่ร่วมมือกันกรูเข้ามาอย่างง่ายดาย
“ผู้เยาว์ อย่าคิดหนี——”
‘จางเสวียนต้ง’ จักรพรรดิในชุดทองและพวกทะยานเข้ามาอีกครั้ง
ทว่าอีกทางหนึ่ง หลังจากที่จ้าวเฟิงปรากฏกายขึ้น เมื่อปีกอัสนีฟาดฟันลงไปหรือ มีการโจมตีครั้งหนึ่งของกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ ก็ล้วนแต่สามารถสังหารราชันธรรมดาผู้หนึ่งได้อย่างสบายๆ
พรึ่บ! เปรี๊ยะ สวบ!
เด็กหนุ่มปีกอัสนีคนนั้น ในทุกครั้งที่ปรากฏกายขึ้นจะสังหารผู้แข็งแกร่งในขอบเขตปราณเทวะผู้หนึ่งได้ง่ายดาย
ในตอนนี้ ผู้แข็งแกร่งในขอบเขตปราณเทวะของตำหนักวิญญาณปฐพีลดน้อยลงไปทีละนิด
สถานการณ์ทั้งหมดถูกจ้าวเฟิงควบคุมเอาไว้หมดแล้ว
นอกจากจะไม่ไปยั่วยุอารมณ์ ‘จางเสวียนต้ง’ ผู้เป็นจักรพรรดิชั้นยอด ขอแค่จ้าวเฟิงสบโอกาส ก็จะลงมือสังหารราชันและจักรพรรดิคนอื่นๆ ในทันที
เพียงแค่เวลาจิบชาหนึ่งถ้วย
ผู้แข็งแกร่งในขอบเขตปราณเทวะจากตำหนักวิญญาณปฐพีถูกจ้าวเฟิงสังหารไปมากกว่าครึ่ง
หนึ่งในนั้น เขาสังหารราชันในขอบเขตปราณเทวะไปสิบหกคน สังหารจักรพรรดิปราณเทวะสองคน และลงมือทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสไปหนึ่งคน
กับจักรพรรดิในขอบเขตปราณเทวะทั่วไป จ้าวเฟิงใช้สายเลือดดวงตาและพลังอัสนีเทวะ ร่วมกันก็สังหารได้ในเวลาอันรวดเร็ว
จักรพรรดิในขอบเขตปราณเทวะที่บาดเจ็บสาหัสคนหนึ่งในจำนวนนั้นมีเคล็ดวิชารักษาชีวิตที่แก่กล้า ทำให้รอดชีวิตไปได้
“ยั้งมือก่อน ผู้เยาว์——”
จักรพรรดิหลายคนที่เหลือของตำหนักวิญญาณปฐพีซึ่งนำโดยจางเสวียนต้ง ดวงตาสองข้างแดงก่ำ ร้องตะโกนออกมาสุดเสียง
เสียงตะโกนนั้น นอกเสียจากความเกรี้ยวกราดแล้ว ยังมีความอับจนหนทางและการวิงวอนอยู่หลายส่วน
‘จางเสวียนต้ง’ ผู้เป็นจักรพรรดิชุดทองถ่ายทอดคำสั่งลงไป ให้จักรพรรดิและราชันที่เหลืออยู่รวมตัวเป็นชั้นป้องกัน
ยามนี้
ฝั่งของตำหนักวิญญาณปฐพีไม่กล้าหวังจะสังหารจ้าวเฟิงอีก หนีรอดไปได้ก็นับว่าโชคดีมากแล้ว
“ไม่ว่าพวกเจ้าจะรวมตัวกันหรือว่าแยกกัน ก็หนีไม่รอดจากการไล่ล่าสังหารของข้า”
จ้าวเฟิงลอยตัวอยู่กลางอากาศ สายเลือดดวงตาซ้ายจ้องเขม็ง
การลงมือสังหารครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้เขาสิ้นเปลืองพลังไปไม่น้อย โชคดีที่เขามีความสามารถในการดูดเลือดคืนปราณของเพลิงมารโลหิต
เมื่อเอ่ยจบ จ้าวเฟิงก็หยิบเอาธนูเหนือนภาออกมา ใช้สายเลือดดวงตาซ้ายเล็งไปยังเป้าหมายใดๆ ในกลุ่มตำหนักวิญญาณปฐพี
ถ้าหากว่าคนของตำหนักวิญญาณปฐพีรวมตัวอยู่ด้วยกัน ธนูเหนือนภาและสายเลือดดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงสามารถโจมตีในระยะไกล ลงมือปลิดชีพทีละคนได้
ถ้าหากคนเหล่านี้กระจายตัวกัน จ้าวเฟิงจะค่อยๆ ไล่สังหารไปทีละคน กระทั่งจะง่ายดายกว่าเดิมด้วยซ้ำ
เพียงแค่ตีตราเนตรเทพเจ้าบนร่างของคนเหล่านี้ จ้าวฟิงจะไล่ล่าสังหารทีละคน ย่อมต้องสามารถจัดการทั้งหมดได้ก่อนที่พวกเขาจะออกไปจากสำนักอย่างแน่นอน
“จ้าวเฟิง เจ้าคงไม่คิดจะสังหารคนเหล่านี้จริงๆ ใช่หรือไม่?”
จักรพรรดิหลิงฉยงแห่งสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นและคนอื่นๆ สูดลมหายใจเย็นเข้าลึก
กองกำลังตำหนักวิญญาณปฐพีที่บุกมามีความสามารถอย่างยิ่ง สามารถบดขยี้สำนักสองดาวอย่างสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นได้
แต่กระบวนพลเช่นนี้กลับไม่มีแรงจะต้านทาน และถูกจ้าวเฟิงปลิดชีพสังหารไปทีละคนๆ
“เขาย่อมต้องมีความสามารถเช่นนี้แน่!”
ในกลุ่มตำหนักวิญญาณปฐพี กูเจาจื้อใบหน้าซีดขาว น้ำเสียงสั่นพร่า
ในความทรงจำของเขา หนานกงเซิ่งผู้เป็นหนึ่งในมารคู่หูผมม่วงโหดเหี้ยมเป็นที่สุด ส่วนจ้าวเฟิงอีกคนหนึ่งลึกล้ำจนเกินคาดเดา ลงมือไม่บ่อยนัก และไม่สังหารอย่างบ้าคลั่ง
ทว่าเมื่อผู้บงการหลักของมารคู่คนนี้ลงมือปลิดชีพสังหารจริงๆ กูเจาจื้อเพิ่งจะรู้ว่าความน่ากลัวคืออะไร
ระหว่างการลงมือสังหารทั้งหมด สีหน้าของจ้าวเฟิงนิ่งเรียบราวไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งสิ้น
การกดดันทางจิตใจไปทีละขั้น แทบทำให้ราชันและจักรพรรดิที่เหลือของตำหนักวิญญาณปฐพีตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวังและท้อแท้