Skip to content

King of Gods 880

King Of Gods

บทที่ 880 ในนามของข้า

กลางอากาศ

จักรพรรดิในขอบเขตปราณเทวะและราชันของตำหนักวิญญาณปฐพี ทั้งหมดรวมตัวอยู่ด้วยกัน

ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น คนอีกสิบคนที่เหลือก็ยังคงไม่รู้สึกอุ่นใจแม้แต่น้อย ใบหน้าแสดงออกถึงความเกรี้ยวกราด ตื่นตระหนก รวมไปถึงหวาดกลัว

พื้นที่ดังกล่าวตกอยู่ในบรรยากาศเงียบสงัดและกดดัน

จักรพรรดิและราชันตำหนักวิญญาณปฐพีที่โชคดีรอดชีวิตมีเหงื่อเย็นๆ ผุดขึ้นบริเวณหน้าผาก ในใจของคนไม่น้อยรู้สึกเสียใจภายหลังและสิ้นหวัง

ถ้าหากเวลาย้อนกลับก่อนที่จ้าวเฟิงจะลงมือ ‘สังหารหมู่’ พวกเขาจะหนีไปให้ไกลเท่าที่จะหนีได้ ย่อมไม่มีทางประมืออย่างซึ่งๆ หน้ากับเด็กหนุ่มผู้ที่เป็นดั่งฝันร้ายผู้นี้แน่นอน

แต่ทว่า

จ้าวเฟิงตกอยู่ในสภาวะที่จะไล่ล่าสังหารแล้ว ต่อให้พวกเขาหนีไปไกลเท่าไหร่ก็ไม่มีโอกาสอีก

เวลาดำเนินมาจนถึงตอนนี้ ไม่มีใครกล้าสงสัยในความสามารถของจ้าวเฟิงอีก

“จ้าวเฟิง เจ้าอย่าใจร้อนเด็ดขาด ผลีผลามสังหารคนพวกนี้ไม่เป็นผลดีอะไรต่อเจ้าและสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นแม้แต่น้อย…”

จักรพรรดิหลิงฉยงและขอบเขตปราณเทวะขั้นสูงส่วนหนึ่งจากสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นวิตกกังวล ลอบปาดเหงื่อเย็น

ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ตำหนักวิญญาณปฐพีก็เป็นสำนักสามดาวขนาดใหญ่

และการจะเป็นสำนักระดับสามดาวได้มีเงื่อนไขข้อหนึ่ง ภายในสำนักต้องมีพลังคุกคามในระดับ ‘ขอบเขตเทวาเร้นลับ’

ราชันและจักรพรรดิเหล่านี้เป็นเพียงกองกำลังส่วนหนึ่งของตำหนักวิญญาณปฐพี

จ้าวเฟิงกำธนูเหนือนภาไว้ในมือ ตาซ้ายเล็งเป้าหมายไปยังฟากตำหนักวิญญาณปฐพี สีหน้าเรียบเฉย แต่จิตสังหารที่ปะทุขึ้นบนร่างกายยังไม่สูญสลายไป

จ้าวฟิงไม่เหมือนหนานกงเซิ่ง เขาไม่ใช่คนที่ชื่นชอบการฆ่าฟัน

แต่เมื่อศัตรูที่ต้องการจะสังหารและขโมยสมบัติของเขา เขาก็จะไม่ใจอ่อนหรือออมมือให้โดยเด็ดขาด

“แต่ก็สังหารไปครึ่งหนึ่งแล้ว”

สีหน้าของจ้าวเฟิงไม่ใยดี ในสายเลือดดวงตาซ้ายทะลักแสงแวววาวสีม่วงเข้มที่หนาวเย็นหมุนวนไปมา

จักรพรรดิสามคนของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นกล้ำกลืนฝืนทน

ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นไม่ขยับเขยื้อน จ้องมองจ้าวเฟิงฉายเดี่ยวลงมือสังหารกระบวนพลที่แข็งแกร่งของตำหนักวิญญาณปฐพี

ภายในสำนัก

สมาชิกและศิษย์ที่สนิทชิดเชื้อกับจ้าวเฟิงทั้งข่งเฟยหลิง หวงอวิ๋นหู่ หลิ่วเทียนฝาน ศิษย์พี่ก่วงเถียนและคนอื่นๆ แต่ละคนหน้าถอดสี มีความรู้สึกราวกับอยู่ในฝัน

“บอกข้ามาที…นี่ไม่ใช่เรื่องจริงสินะ…”

“นี่ไม่ใช่ฝันใช่ไหม?”

โดยเฉพาะศิษย์พี่ก่วงเถียนกับหลิ่วเทียนฝานพวกที่เคยตั้งตนเป็นศัตรูกับจ้าวเฟิง ไม่เพียงแต่ตัวสั่นหวาดกลัว แต่ยังถกกันส่งเสียงสั่นเครือ

เมื่อจ้าวเฟิงเปิดปากเอ่ย ฝั่งตำหนักวิญญาณปฐพีตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวัง

ใช่แล้ว สังหารไปแล้วครึ่งหนึ่ง ที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งจ้าวเฟิงเองก็ไม่เสียดายพลัง

“ไม่สามารถยับยั้งได้แล้วจริงหรือ?”

ใจของ ‘จางเสวียนต้ง’ จักรพรรดิชุดทองหมดเรี่ยวแรง

ในฐานะที่เป็นจักรพรรดิชั้นยอด เขาไม่หวาดกลัวที่จะต้องสู้กับจ้าวเฟิง ถึงแม้ว่าโอกาสชนะมีไม่มากนัก

ความเร็วท่าร่างที่จ้าวเฟิงสำแดงออกมาอยู่เหนือระดับขั้นจักรพรรดิไปแล้ว เขาเองก็ทำอะไรไม่ได้ สายเลือดดวงตาซ้ายของฝ่ายตรงข้าม จักรพรรดิจำนวนมากยังยากจะต้านทานได้

แต่ปัญหาก็คือ

จ้าวเฟิงต้องลงมือสังหารจักรพรรดิและราชันคนอื่นจนสิ้น ถึงจะลงมือทำร้ายจักรพรรดิชั้นยอด ‘จางเสวียนต้ง’ ที่พลังแข็งแกร่งที่สุดได้

ที่ผ่านมา ณ ชางไห่ ‘เทพราชาดวงตาซ้าย’ ในช่วงรุ่งโรจน์สามารถสังหารจักรพรรดิชั้นยอดได้ในช่วงสิบลมหายใจ

ตอนนี้จ้าวเฟิงอยู่ห่างจากช่วงรุ่งโรจน์ในขณะนั้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนที่สำคัญคือชั้นวิญญาณ

ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นก็ตาม เขาก็ยังลงมือสุดแรง ราชันชั้นยอดทั่วไปก็มีความเป็นไปได้ค่อนข้างมากว่าจะถูกสังหารภายในร้อยกระบวนท่า

“แข็งแกร่งเกินปกติไปมากจริงๆ!”

เถี่ยหลีเทียนที่อยู่บนชั้นเมฆสูดหายใจเข้าลึก “เพลิงมารโลหิตที่สมบูรณ์แบบ บำเพ็ญร่างกายในศาสตร์อัสนีที่แข็งแกร่งทรงพลัง

สายเลือดดวงตาซ้ายที่สูงส่งเกินทั้งมวล ถ้าหากว่าคนผู้นี้กลับคืนสู่ตระกูลเถี่ย ภายในวันหน้าจะต้องเป็นคนสำคัญที่ควบคุมชะตาของดินแดนทวีปอย่างแน่นอน”

แต่ว่าเรื่องที่จะโน้มน้าวให้จ้าวเฟิงหวนกลับตระกูลเถี่ย เถี่ยหลีเทียนไม่มีความหวังมากนัก

ศักยภาพและความสามารถที่น่ากลัวเช่นนี้ ถึงจะให้ผู้อาวุโสสูงสุดเซียนในขอบเขตเทวาเร้นลับของตระกูลเถี่ย มาเชิญด้วยตนเองก็ไม่สามารถทำอะไรได้

ในวินาทีที่คนในที่นั้นตึงเครียดและหวาดกลัวจนถึงขีดสุด

เปรี๊ยะ——

กลิ่นอายพลังมหาศาลที่ไร้ขอบเขตที่ลอยมาจากไกลๆ กดดันจักรพรรดิทั่วไป ถึงขั้นที่ว่ากระทั่งจักรพรรดิชั้นยอดส่วนหนึ่งยังต้องหวาดกลัวเพราะมัน

พริบตาเดียว พลังแต่ละประเภทในใต้หล้าก็ตกอยู่ในความหวาดกลัวจนแข็งค้างไปอย่างประหลาด

“หยุดก่อน!”

เสียงที่ตึงเตรียดของบุรุษดังขึ้นทะลุชั้นเมฆ ในเวลาเดียวกันก็ทะลวงเข้าไปในชั้นกายเนื้อและดวงวิญญาณ

กองกำลังทั้งสองฝ่าย ณ ที่นั้นรวมไปถึงเถี่ยหลีเทียนต่างใจกายสั่นสะท้าน

“นั่นคือ…”

จักรพรรดิชั้นยอดที่แข็งแกร่งอย่าง ‘จางเสวียนต้ง’ สัมผัสได้ถึงแรงกดดันมหาศาล

กลิ่นอายกลุ่มนั้นเกรงว่าจะแตะไปถึงขอบเขตเทวาเร้นลับ

สีหน้าของจ้าวเฟิงสะท้านไปเล็กน้อย กลิ่นอายพลังของผู้มาเยือนสูงส่งไม่ด้อยไปกว่าจักรพรรดิแห่งความตายในอดีต และในบางด้านก็อยู่เหนือกว่าด้วย

ถ้าหากว่าเจ้าของกลิ่นอายกลุ่มนั้นมาจากตำหนักวิญญาณปฐพี เช่นนั้นก็ยุ่งยากกันสักหน่อยแล้ว

แต่ในเวลาเดียวกัน จ้าวเฟิงสัมผัสได้ว่าตนเองคุ้นเคยกับกลิ่นอายกลุ่มนี้อยู่บ้าง

“ยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง!”

‘จางเสวียนต้ง’ จักรพรรดิชุดทองมีอาการยินดี เหมือนล่วงรู้ได้ถึงฐานะของผู้มาเยือน

ขณะเดียวกัน ไกลออกไปหลายพันลี้

“หวังว่ายังทัน…”

บุรุษผู้น่าเกรงขามในชุดสีทองล้ำค่า หอบเอากลุ่มเมฆริ้วมังกรขนาดใหญ่มา และกลิ่นอายชะตามังกรของราชวงศ์คละคลุ้งไปทั่วผืนฟ้า

ในทุกที่ที่ชายผู้น่าเกรงขามไปถึง สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนในอาณาเขตของราชวงศ์ศิโรราบลงโดยสัญชาตญาณ ทรุดตัวลงทำความเคารพ

“ที่แท้ก็เป็นหนานเฟิงอ๋อง!”

สายเลือดดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงมองสถานะของผู้มาเยือนออกถึงจะอยู่ไกลลิบก็ตาม

“ผู้ปกครองของดินแดนเกาะเทียนเฟิง มิน่าล่ะจึงมีกลิ่นอายและชะตาราชวงศ์ที่แกร่งกล้าเช่นนี้”

เถี่ยหลีเทียนแห่งตระกูลเถี่ยเข้าใจทุกอย่างในฉับพลัน

หากจะพูดเรื่องความเร็ว หนานเฟิงอ๋องไม่ต่างกับจ้าวเฟิงเท่าไหร่นัก มาถึงที่สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นอย่างรวดเร็ว

“ยังดี”

แววตาของหนานเฟิงอ๋องหยุดลงบนร่างของจ้าวเฟิง เมื่อเห็นฝ่ายหลังปลอดภัยไร้รอยขีดข่วนก็ผ่อนลมหายใจออกมา

เหตุที่เขาเร่งรุดมาในครั้งนี้เพราะได้ข่าวมา จ้าวเฟิงกำลังเผชิญหน้ากับอันตราย ถูกราชันและจักรพรรดิของตำหนักวิญญาณปฐพีล้อมสังหาร

เมื่อล่วงรู้ข่าวคราวเช่นนี้ กระทั่งการทะลวงขอบเขตเทวาเร้นลับเขายังวางมือไว้ชั่วคราว และรีบมาด้วยความเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

ด้วยเพราะเขาเคยติดบุญคุณของจ้าวเฟิง ถ้าหากฝ่ายตรงข้ามเกิดอะไรขึ้นในขณะนี้ ใจของเขาก็ยากจะสงบสุขได้

อีกทั้งนี่ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องทดแทนบุญคุณเท่านั้น ยังเป็นโอกาสชักจูงจ้าวเฟิงมาด้วย

ทว่า

ในขณะที่หนานเฟิงอ๋องมาถึงสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นก็พบว่าสถานการณ์มีอะไรผิดปกติ

จ้าวเฟิงยังคงปลอดภัย ถือธนูเหนือนภา แววตาเย็นชา สุขุมสงบนิ่ง และประจันหน้ากับฝั่งของตำหนักวิญญาณปฐพีอยู่ไกลๆ

มองย้อนกลับมา

ฟากตำหนักวิญญาณปฐพี บนใบหน้าของแต่ละคนฉายแววหวาดกลัวและลนลาน มีราชันและจักรพรรดิที่บาดเจ็บอยู่

จักรพรรดิราชันเหล่านี้รวมตัวอยู่ด้วยกัน ระแวดระวังกระวนกระวาย เมื่อเผชิญหน้ากับเด็กหนุ่มผมม่วงคนนั้นก็ยังคงไม่รู้สึกปลอดภัย

กระทั่งหนานเฟิงอ๋องยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายเศษเสี้ยวดวงวิญญาณที่สูญสลายของขอบเขตปราณเทวะอยู่เลือนราง

“หนานเฟิงอ๋อง! ท่านมาได้ก็ดี รีบช่วยเหลือพวกเราเถอะ!”

“เจ้าบ้านี่สังหารผู้แข็งแกร่งในขอบเขตปราณเทวะของพวกเราไปครึ่งหนึ่งแล้ว และยังจะสังหารพวกเราทั้งหมดด้วย!”

พวกจักรพรรดิชุดทองสองสามคนแห่งตำหนักวิญญาณปฐพีเอ่ยขอความช่วยเหลือกันเซ็งแซ่

โดยเฉพาะจักรพรรดิชุดทอง ‘จางเสวียนต้ง’ ที่เหมือนจะรู้จักกับหนานเฟิงอ๋องและมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวนัก

เมื่อได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือของราชันและจักรพรรดิฟากตำหนักวิญญาณปฐพี หนานเฟิงอ๋องตัวแข็งค้างไปขณะหนึ่ง สีหน้าเหมือนหายใจไม่ออก

“พวกเจ้า…ขอความช่วยเหลือ?”

ใบหน้าของหนานเฟิงอ๋องกระตุกเล็กน้อย แววตากวาดผ่านฝั่งตำหนักวิญญาณปฐพี แล้วหยุดลงที่ร่างของจ้าวเฟิงอีกครั้ง

สีหน้าของจ้าวเฟิงเรียบเฉย ในแววตาปรากฏจิตสังหารออกมา เห็นได้ชัดว่าเป็นฝ่ายที่แข็งแกร่ง

ผู้คนของตำหนักวิญญาณปฐพีหวาดกลัวกระวนกระวาย ฝากความหวังในการมีชีวิตรอดเอาไว้ที่หนานเฟิงอ๋อง

“หนานเฟิงอ๋อง พวกเรารู้จักกันมาหลายร้อยปีแล้ว รีบช่วยขวางเจ้าบ้านี่ไว้ แล้วข้าคนแซ่จางจะถือว่าติดหนี้บุญคุณท่านครั้งหนึ่ง!”

‘จางเสวียนต้ง’ ผู้เป็นจักรพรรดิชุดทองเอ่ยอ้อนวอน

ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ของเขาและหนานเฟิงอ๋องจะไม่อาจนับได้ว่าแนบแน่นนัก แต่ก็คุ้นเคยกันอยู่

ในละแวกชายทะเลของทวีป จักรพรรดิชั้นยอดเองก็มีอยู่ไม่มาก ดังนั้นทุกคนจึงพอรู้จักกันอยู่บ้างไม่มากก็น้อย

เวลานี้

แววตาของทุกคนในที่นั้นหยุดลงบนร่างของหนานเฟิงอ๋อง

หนานเฟิงอ๋องเป็นบุคคลที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง

อันดับแรก เขาเป็นผู้ปกครองสูงสุดของดินแดนเกาะเทียนเฟิง

อันดับที่สอง พลังของเขาอยู่เหนือกว่าจักรพรรดิชั้นยอดทั่วไปอยู่เล็กน้อย ตัวเขาเองก็มีแรงสนับสนุนจากชะตาราชวงศ์ ส่วนแฝงมากมายเกินจะเปรียบ

คนทั้งหมดไม่สงสัยเลยว่าหนานเฟิงอ๋องมีคุณสมบัติและความสามารถนี้

“น้องจ้าว ไม่เจอกันไม่เท่าไหร่ เจ้าก็ลงมือสังหารจักรพรรดิและราชันของตำหนักวิญญาณปฐพี จนอเนจอนาถเช่นนี้”

สีหน้าของหนานเฟิงอ๋องแปลกประหลาด ฝืนยิ้มมองไปทางจ้าวเฟิง

เดิมทีเขาคิดจะมา ‘ช่วยเหลือ’ จ้าวเฟิง คิดไม่ถึงว่าจะมาเห็นสถานการณ์เช่นนี้

ที่จริงแล้วเป็นใครกันแน่ที่ต้องการความช่วยเหลือ?

“หนานเฟิงอ๋อง พวก…พวกท่านรู้จักกันหรือ?”

‘จางเสวียนต้ง’ และคนอื่นๆ ชะงักไป คนบางคนมีสีหน้าหมดอาลัยตายอยากยิ่งขึ้น

รบราฆ่าฟันกันไปค่อนวัน สุดท้ายคนกันเองกลับมาบาดหมางเพราะไม่รู้จักกันซะได้

ผลลัพธ์เช่นนี้ทำให้จางเสวียนต้งและคนอื่นทุกข์ทรมานเกินทน

“ท่านอ๋องอาจจะไม่รู้ว่าคนเหล่านี้มาสังหารข้าก่อน ข้าถึงลงมือต่อสู้กลับ อีกทั้งก่อนที่ข้าจะลงมือก็ได้เอ่ยเตือนพวกเขาไปแล้ว”

จ้าวเฟิงเก็บ ‘ธนูเหนือนภา’ แล้วเอ่ยอย่างเนิบนาบ

เมื่อเอ่ยออกมาเช่นนี้ คนทางฟากตำหนักวิญญาณปฐพีก็เงียบไปทันที ในใจรู้สึกสำนึกอย่างยิ่ง

ก่อนจะลงมือจ้าวเฟิงเคยเตือนพวกเขาว่า ข้าไม่อยากลงมือสังหารหมู่

เพียงแต่คนเหล่านี้ในตอนนั้นส่งเสียงเยาะขึ้นจมูกด้วยความดูแคลน

“น้องจ้าว พอจะเห็นแก่ข้าแล้วปล่อยพวกเขาไปก่อนได้หรือไม่? หลังจากเรื่องนี้แล้วข้าจะเชิญเจ้าไปเป็นแขกที่จวนข้า”

ใบหน้าของหนานเฟิงอ๋องฉายแววขมขื่น ใช้ห้วงคิดเซียนส่งเสียงมา

“ได้ แต่คนพวกนี้ต้องสัญญาว่าต่อไปจะไม่มาหาเรื่องสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น และห้ามตั้งตัวเป็นศัตรูกับข้า”

จ้าวเฟิงผงกศีรษะ

เขาไม่ใช่คนที่โหดร้าย ปลิดชีพคนเหล่านี้ไปครึ่งหนึ่งก็สร้างความหวาดกลัวมากพอแล้ว

ดินแดนเกาะเทียนเฟิงเป็นอาณาเขตในปกครองของหนานเฟิงอ๋อง จึงควรจะไว้หน้าให้เขา

เมื่อพวกตำหนักวิญญาณปฐพีได้ยินเช่นนั้น จึงรู้สึกโล่งใจไปในทันที

“คำสัญญานี้ พวกเรารับรองได้เพียงว่าตัวของเราเองทำได้อย่างแน่อนน แต่ไม่สามารถรับปากแทนทั้งตำหนักวิญญาณปฐพี”

‘จางเสวียนต้ง’ แห่งตำหนักวิญญาณปฐพีเอ่ยตอบอย่างหนักแน่น

ถึงแม้ว่าเขาเป็นจักรพรรดิชั้นยอด แต่ที่ตำหนักวิญญาณปฐพีก็ไม่มีสิทธิ์พูดอะไรเต็มร้อยนัก

จ้าวเฟิงเองก็เข้าใจในเรื่องนี้ เพียงแค่คนพวกนี้รับปากก็พอแล้ว

แต่หนานเฟิงอ๋องรวมไปถึงยอดฝีมือจำนวนมากของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น ณ ตรงนั้นต่าเป็นพยาน

สวบ! สวบ! สวบ!

ไม่นานนัก บรรดาจักรพรรดิและราชันของพวกตำหนักวิญญาณปฐพีสลายตัวจากไปอย่างรีบร้อน

บรรดาคนเหล่านี้มีสีหน้าสำนึกผิด แต่บางทีในใจอาจจะไม่ยินยอมอย่างมาก

“ถึงแม้ว่าพวกเราจะทำอะไรจ้าวเฟิงไม่ได้ และรับปากว่าจะไม่ตั้งตนเป็นศัตรูกับเขาอีก แต่ขอแค่รอให้ผู้อาวุโสสูงสุดใน ‘ขอบเขตเทวาเร้นลับ’ ออกจากฝึกตนก่อนเถอะ การรับมือกับราชันตัวเล็กๆ คนหนึ่งเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้นเอง”

ในบรรดาผู้โชคดีที่เอาชีวิตรอดมาได้ มีคนจำนวนไม่น้อยที่โกรธเกรี้ยวอัดอั้นตันใจ

‘จ้าวเฟิงสังหารจักรพรรดิราชันของตำหนักวิญญาณปฐพีมากมายเช่นนี้ หลังจากที่ผู้เฒ่าขอบเขตเทวาเร้นลับออกจากฝึกตนจะต้องไม่ละเว้นเขาแน่…’

กูเจาจื้อพึมพำในใจ

แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ในทุกครั้งที่นึกถึงเด็กหนุ่มผู้นั้น ในใจของเขามักจะมีเงาของความหวาดกลัวและหวาดระแวงตามมาหลอกหลอนอย่างประหลาด

บนอากาศเหนือสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น

“ถึงเวลาที่ต้องจากไปแล้ว”

เงาใหญ่ของแก่นแท้ร่างกายสีฟ้าทองของจ้าวเฟิงลอยอยู่กลางอากาศ กวาดตามองใบหน้าที่คุ้นเคยในสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น

สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น จักรพรรดิหลิงฉยงและพวกไม่รู้สึกแปลกใจ กลับผ่อนลมหายใจออกมา

สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นที่สงบสุขย่อมไม่สามารถฟูมฟักมังกรที่ทรงพลานุภาพอย่างจ้าวเฟิงได้

อีกทั้งมารคู่หูผมม่วงได้ทำผิดต่อขั้วอำนาจยิ่งใหญ่มากมาย เพียงแค่สำนักสองดาวแห่งหนึ่งย่อมไม่อาจคุ้มครองเขาได้

“จ้าวเฟิงในกาลก่อนได้จากไปแล้ว ข้าชื่อจ้าวเฟิง เทพราชาดวงตาซ้ายแห่งดินแดนชางไห่ เป็นนามของข้า!”

เสียงหนึ่งดังกึกก้องกังวานในฟ้าดิน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version