Skip to content

King of Gods 881

King Of Gods

บทที่ 881 ออกจากสำนัก

“จ้าวเฟิงในกาลก่อนได้จากไปแล้ว ข้าชื่อจ้าวเฟิง เทพราชาดวงตาซ้ายแห่งดินแดนชางไห่ เป็นนามของข้า!”

เสียงนั้นดังสะท้อนในฟ้าดิน ทะลวงผ่านเข้าไปในชั้นวิญญาณ

ในรัศมีหลายพันลี้ สิ่งมีชีวิตที่มีปัญญาจำนวนนับไม่ถ้วน ไม่เพียงแต่เผ่าพันธุ์มนุษย์ ล้วนแต่รู้แจ้งชัดเจนในความหมายที่แฝงในคำพูดดังกล่าว

เมื่อได้ยินดังนั้น ผู้แข็งแกร่งจำนวนมากที่อยู่ตรงนั้นเช่น จักรพรรดิหลิงฉยงและราชาลู่อวิ๋นแห่งสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น หนานเฟิงอ๋องที่เพิ่งมาถึง รวมไปถึงเถี่ยหลีเทียนที่อยู่ในชั้นเมฆ ร่างกายและจิตใจก็สั่นสะท้านไป

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเสียงนี้ของจ้าวเฟิงเป็นการประกาศก้องต่อโลกภายนอก

ประกาศตัวตนที่แท้จริงของตนเอง!

จ้าวเฟิงคนเดิมได้ตายไปแล้ว

ถึงแม้ว่าเขาจะใช้ร่างนี้ต่อไป แต่พลังดวงวิญญาณถึงจะเป็นเนื้อแท้ของคนคนหนึ่ง

จ้าวเฟิงไม่อยากจะใช้นามและชีวิตของคนอื่นในการดำรงอยู่ต่อไป

อีกทั้งสถานะที่แท้จริงของเขาเกือบจะถูกเปิดเผยอยู่แล้ว ไม่สามารถปิดบังต่อไปได้นาน

“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้”

พวกลูกศิษย์และรุ่นใหญ่ในสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นที่คุ้นเคยกับจ้าวเฟิง แต่ละคนเข้าใจในทันที พวกเขาทอดถอนใจอยู่ข้างใน รู้สึกสับสน

เมื่อคิดๆไปก็ใช่

โลกนี้จะปรากฏคนร้ายกาจที่ต่อต้านลิขิตสวรรค์ระดับนี้ได้อย่างไรกัน ใช้เวลาเพียงแค่ประมาณหนึ่งปี จากเด็กน้อยในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงกระโดดขึ้นมาเป็นราชัน และยังมีกำลังรบที่สามารถสังหารจักรพรรดิได้

“หากเป็นเช่นนี้ ข้อสงสัยต่างๆ ก็คลี่คลายลงไป”

หนานเฟิงอ๋องกระจ่างแจ้ง

ในโลกของสำนัก คนที่อยู่ในขั้นราชันปราณเทวะจะเปลี่ยนร่างถือกำเนิดใหม่ก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลกหรือหายากอะไร

ก่อนนี้ จ้าวเฟิงและท่านหญิงอวี่ชิงสนิทสนมกันอย่างยิ่ง สามารถปลุก ‘ไหมเมฆาผีเสื้อเซียน’ ได้แล้วยังอายุน้อยเพียงเท่านั้น หนานเฟิงอ๋องย่อมเคยส่งคนไปตรวจสอบชาติกำเนิดของเขา

ผลการสืบค้นพบว่าข้อสงสัยของจ้าวเฟิงมีมากมายนัก

แต่ในตอนนี้ เมื่อจ้าวเฟิงประกาศก้องสถานะที่แท้จริงของตนเองแล้ว ความจริงทั้งหมดจึงกระจ่างแจ้ง

“นี่…มันเรื่องอะไรกันแน่?”

สีหน้าของเถี่ยหลีเทียนหวาดผวา จุดเปลี่ยนที่เกิดขึ้นในฉับพลันทำให้เขาไม่ทันรับมือ

พรึ่บ!

เถี่ยหลีเทียนวาดมือข้างหนึ่ง ในโลกมิติส่วนตัวปรากฏเงาของผู้เฒ่าคนหนึ่ง ซึ่งก็คือท่านปู่จ้าว

“เป็นเช่นนั้นจริงๆ”

ท่านปู่จ้าวยิ้มอย่างขมขื่น อารมณ์สับสนปนเป “เฟิงเอ๋อร์ถูกคนของตระกูลอินในตอนนั้นทำร้ายจนตายตก หลังจากที่เขาตายแล้วก็ถูกคนมากฝีมือผู้หนึ่งยึดร่างเปลี่ยนวิญญาณ”

“แล้วสายเลือดเพลิงมารโลหิต…”

แววตาของเถี่ยหลีเทียนเป็นประกายสว่างวาบ

สิ่งที่เขาเป็นห่วงที่สุดคือสายเลือดเพลิงมารโลหิตที่สมบูรณ์แบบ ความเป็นตายของจ้าวเฟิงคนเก่าเป็นเพียงเรื่องรองเท่านั้น

“สายเลือดเพลิงมารโลหิตเพิ่งจะเกิดขึ้นหลังจากที่ ‘เขา’ มา”

ท่านปู่จ้าวตอบตามความจริง

ก่อนที่จ้าวเฟิงจะเปลี่ยนร่างถือกำเนิดใหม่ ถึงแม้ว่าพรสวรรค์ของจ้าวเฟิงคนเดิมจะไม่เลวนัก ทว่าก็ไม่ได้มีสายเลือดที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้

เมื่อเถี่ยหลีเทียนได้ยินก็อดจะครุ่นคิดไม่ได้

เขาสงสัย หลังจากที่จ้าวเฟิงมาถึงแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง จึงทำให้สายเลือดที่ซ่อนอยู่ของร่างดังกล่าวตื่นขึ้นมา

หรืออาจเป็นไปได้ว่าจ้าวเฟิงถือครองเคล็ดวิชาลับอะไรอยู่ จึงสามารถทำให้สายเลือดตื่นขึ้นและพัฒนาได้

ในความเป็นจริง

สิ่งมีชีวิตจำนวนมากในโลกใบนี้มีองค์ประกอบทางสายเลือดไม่มากก็น้อยในร่างกาย เพียงแต่เบาบางอย่างมาก บางทีอาจอยู่ในสภาวะแฝงตัว และเป็นไปได้มากว่าจะไม่ตื่นขึ้นเลยในชีวิตนี้

“จ้าวเฟิงผู้นี้เปลี่ยนร่างถือกำเนิดใหม่ ในช่วงชีวิตก่อนจะต้องเป็นยอดฝีมือของพื้นที่หนึ่งเป็นแน่ อย่างน้อยๆ ก็เป็นจักรพรรดิชั้นยอดหรือไม่ก็เซียนในขอบเขตเทวาเร้นลับ”

เถี่ยหลีเทียนสูดหายใจเข้าลึก

เรื่องยุ่งยากยิ่งขึ้นแล้ว!

จ้าวเฟิงเปลี่ยนร่างถือกำเนิดใหม่ เช่นนั้นแล้วจึงไม่รู้สึกผูกพันกับตระกูลเถี่ยหรือกระทั่งตระกูลอวิ๋นแห่งเขาเมฆาจริงๆ

คิดจะให้เขากลับไปที่ตระกูลเถี่ยภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ความยากจึงเพิ่มมากยิ่งขึ้น

“ศิษย์พี่ก่วงเถียน”

จ้าวเฟิงลอยตัวอยู่กลางอากาศ สายตากลับจับจ้องเงาร่างหนึ่งที่หดตัวอย่างขลาดเขลาอยู่ท่ามกลางฝูงชนภายในประตูสำนักด้านล่าง

“อ๊าก!”

ศิษย์พี่ก่วงเถียนผู้นั้นตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ ทรุดลงนั่งกับพื้น

จ้าวเฟิงส่งเสียงเหอะออกมา ห้วงความคิดของเขาเคลื่อนไหว แล้วพลังมหาศาลในฟ้าดินที่ไร้รูปปกคลุมไปบนร่างของศิษย์พี่ก่วงเถียน

“นายท่านไว้ชีวิตด้วย! จักรพรรดิจ้าวไว้ชีวิตด้วย…”

ศิษย์พี่ก่วงเถียนไม่มีแรงตอบโต้กลับ และถูกดึงขึ้นไปกลางอากาศ

คนทั้งระดับบนและล่างของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นก็ไม่มีใครกล้าลงมือขัดขวาง

รวมไปถึงอาจารย์ของก่วงเถียนอย่าง ‘ราชาลิ่วฉยง’ หน้าเขาเปลี่ยนสีแต่กลับไม่กล้าเอ่ยคัดค้าน

“การตายของจ้าวเฟิงคนก่อนเกิดขึ้นเพราะการร่วมมือของเจ้าและตระกูลอิน ในฐานะที่เป็นเจ้าของใหม่ของร่างนี้ ข้าย่อมไม่มีทางปล่อยเจ้าไป”

จ้าวเฟิงยิ้มเรียบๆ

วันนี้ความจริงทั้งหมดกระจ่างแจ้ง เวลาก็ถึงคราวเหมาะแล้ว

มีเรื่องบางอย่างที่ต้องจัดการต่อหน้าสาธารณะ จ้าวเฟิงเองก็ไม่หวั่นเกรงอะไรทั้งสิ้น

สีหน้าของศิษย์พี่ก่วงเถียนซีดเผือด เมื่อถูกปกคลุมด้วยพลังของจ้าวเฟิง แม้กระทั่งความคิดจะโกหกหรือกลับกลอกก็ไม่มีทั้งนั้น

“ตายซะ!”

ห้วงความคิดของจ้าวเฟิงขยับ ศิษย์พี่ก่วงเถียนก็ถูกพลังมหาศาลที่ไร้รูปร่างบีบอัดจนแหลกละเอียดเป็นชิ้น

เมื่อแตะถึงขอบเขตปราณเทวะแล้ว ดวงวิญญาณจะเกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพ พลังวิญญาณหลอมรวมเข้าไปในใจกลางของเสวียนอ้าวฟ้าดิน ทำให้ระหว่างห้วงคิดสามารถโคจรพลังอำนาจที่สอดคล้องกับเสวียนอ้าวได้

พลังมหาศาลของราชันก็เกิดมาจากสิ่งนี้

อีกทั้งจักรพรรดิในขอบเขตปราณเทวะ จากความสมบูรณ์ดวงวิญญาณ พลังมหาศาลที่สามารถโคจรได้ก็จะแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น

สำหรับเซียน ‘ขอบเขตเทวาเร้นลับ’ ที่สูงขึ้นไปกว่านั้น พวกเขาเป็นระดับขั้นของขอบเขตพลังที่สูงส่งเกินเอื้อม ว่ากันว่าแม้กระทั่งชีวิตของชั้นกายเนื้อและพลังปราณที่แท้จริงก็อยู่ในเสวียนอ้าวของฟ้าดิน

เมื่อถึงระดับขั้นนั้นแล้ว ทุกการกระทำ ทุกห้วงความคิด ล้วนสามารถกดข่มพลังมากมายในโลกได้ กายเนื้อจะหลุดพ้นออกจากกรอบของสิ่งมีชีวิตและเข้าใกล้ขอบเขตเซียน

แน่นอนว่าจ้าวเฟิงเพียงแค่พอจะเข้าใจเรื่องเหล่านี้อยู่บ้าง

‘นางพญาผึ้ง’ ที่เจอในคฤหาสน์เสียหยาง ระดับขั้นชีวิตเทียบเท่าได้กับเซียนขอบเขตเทวาเร้นลับ แต่เป็นเผ่าพันธุ์ที่ทำเพื่อดำรงอยู่ต่อไปก็เท่านั้น ไม่มีพลังสู้รบอะไร และยังไม่สามารถพลิกแพลงใช้พลังที่แท้จริงของตนเองได้

“โครม!”

พลังมหาศาลกระแทกเข้าไป ศิษย์พี่ก่วงเถียนถูกห้วงความคิดเดียวของจ้าวเฟิงสังหารกลายเป็นฝุ่นธุลี

คนที่อยู่ต่ำกว่าขั้นราชันลงไปเป็นเพียงมดปลวกเท่านั้น ถึงจะเป็นที่ดินแดนทวีป สำหรับผู้ฝึกตนจำนวนมาก ราชันในขอบเขตปราณเทวะก็เป็นผู้ที่สูงส่งอย่างมากเช่นกัน

ในพื้นที่ทั่วไปของทวีป ราชันขอบเขตปราณเทวะก็มีค่อนข้างน้อย

เพียงแต่ว่าระดับขั้นที่จ้าวเฟิงทะลวงผ่านจะสูงส่งยิ่งขึ้นไป สังคมและผู้คนที่เขาต้องเจอในภายภาคหน้าก็จะยิ่งสูงส่งขึ้นไปเรื่อยๆ

โครม!โครม!

ในสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น สมาชิกลูกศิษย์ส่วนหนึ่งอย่างเช่นหวงอวิ๋นหู่และหวังหยวนต่างคุกเข่าลงบนพื้นในทันใด

“ไว้ชีวิตด้วย! จักรพรรดิจ้าวไว้ชีวิตด้วย!”

เมื่อก่อนคนเหล่านี้มีความแค้นกับจ้าวเฟิงอยู่ไม่มากก็น้อย ตอนนี้ต่างรีบแสดงตัวรับผิดกันหมด

ในวันนี้ ที่สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นไม่มีใครสามารถขัดขวางจ้าวเฟิงไม่ให้สังหารคนได้

อย่าว่าแต่สมาชิกและลูกศิษย์ทั่วไป ต่อให้เป็นราชันในขอบเขตปราณเทวะ จ้าวเฟิงคิดจะสังหารก็ทำได้

อย่างเมื่อครู่ที่จ้าวเฟิงสังหารศิษย์พี่ก่วงเถียน ‘ราชาลิ่วฉยง’ ผู้เป็นอาจารย์ของเขาไม่เอ่ยปากขัดขวางเลยสักนิด ไม่กล้าลงมือขัดขวางด้วยซ้ำไป

ถึงแม้ว่าศิษย์พี่ก่วงเถียนเป็นเพียงแค่ศิษย์ในนามของราชัน แต่ก็ทำให้มองเห็นความแข็งแกร่งของจ้าวเฟิงในตอนนี้

“จ้าวเฟิงคนเดิมจากไปแล้ว นับจากวันนี้เป็นต้นไป ข้าจะออกจากสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น”

น้ำเสียงเรียบเฉยดังกึกก้องไปทั่วทางเข้าสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น

จ้าวเฟิงไม่สนใจหวงอวิ๋นหู่และพวก บุญคุณความแค้นเมื่อก่อนเป็นเพียงแค่การทะเลาะเบาะแว้งเพียงเล็กน้อยระหว่างศิษย์เท่านั้น ด้วยความสูงส่งของเขาในตอนนี้ จึงไม่เอาเรื่องเหล่านี้มาใส่ใจแม้แต่น้อย

“ออกจากสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น!”

คนทั้งสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นไม่ว่าจะระดับไหน จะเล็กจ้อยอย่างศิษย์สายนอกหรือสูงส่งอย่างจักรพรรดิราชัน ก็ต่างสั่นสะท้านทั้งใจและกาย

ต้องยอมรับว่า

คนมากฝีมือเช่นนี้ออกจากสำนัก สำหรับสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นแล้วเป็นความเสียหายอย่างมหาศาล แต่ทว่าทั้งสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นมีเพียงคนจำนวนไม่มากที่คาดเดาได้ถึงเจตนาของจ้าวเฟิง

หลังจากเรื่องมิติเทพลวงตา ‘มารคู่ผมม่วง’ ทำผิดต่อขั้วอำนาจต่างๆ มากมาย สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นที่เล็กจ้อยไม่อาจปกป้องจ้าวเฟิงได้

จ้าวเฟิงทำเช่นนี้ ดูไปแล้วเหมือนไร้หัวใจ แต่ที่จริงเป็นการขีดเส้นแบ่งระหว่างสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นอย่างชัดเจน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้พลอยเกิดผลร้ายต่อสำนัก

“จ้าวเฟิงผู้นี้นับว่ามีน้ำใจ มีหลักการของความเป็นคน เพียงแต่สมญานามเทพราชาดวงตาซ้าย นี้เหมือนจะคุ้นหูอยู่…”

หนานเฟิงอ๋องเอ่ยอย่างชื่นชมเล็กน้อย และตกลงสู่ห้วงความคิดอีกครั้ง

ดินแดนชางไห่นับได้ว่าอยู่ไกลจากดินแดนทวีปค่อนข้างมาก ซ้ำยังคั่นด้วยทะเลแดนใต้อยู่ตรงกลาง

ชื่อเสียงของเทพราชาดวงตาซ้ายลือกระฉ่อนขึ้นในดินแดนชั่งไห่ก็แค่หลายปี

ก่อนหน้านี้ที่ทะเลแดนใต้ก็พอมีคนรู้จักสมญานามนี้

แต่พื้นที่ติดทะเลของทวีปอย่างละแวกดินแดนเกาะเทียนเฟิง มีคนจำนวนไม่มากนักที่รู้จักสมญานามนี้ อย่างเช่นหน่วยดูแลข่าวสารส่วนหนึ่ง

“จ้าวเฟิง สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นของข้าจะไม่รั้งเจ้าเอาไว้ แต่ไม่ว่าในภายหน้าจะสำเร็จหรือล้มเหลว อย่างน้อยเจ้าก็เคยเป็นสมาชิกคนหนึ่งของที่นี่”

เงาขนาดใหญ่ของเฒ่าประหลาดสวีลอยอยู่กลางอากาศพลางทอดถอนใจ

‘เฒ่าประหลาดสวี’ ผู้นี้เดิมเป็นจักรพรรดิชั้นยอดของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น แต่ล้มเหลวในการทะลวงผ่านขอบเขตเทวาเร้นลับ อายุขัยจึงใกล้ถึงขีดสุด

เจตนาที่เขาพูดเช่นนั้นด้วยเพราะหวังว่าจ้าวเฟิงจะเห็นแก่มิตรภาพ

ด้วยศักยภาพที่แฝงอยู่ของจ้าวเฟิง รวมไปถึงโอกาสมหาศาล ความสำเร็จในภายภาคหน้าจึงไม่มีขีดจำกัด

หากว่าในอนาคตจ้าวเฟิงทะยานขึ้นไปถึงขั้นสูงยิ่งกว่า หวังว่าเขาจะระลึกได้ถึงมิตรภาพนี้ และคำนึงถึงสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นบ้าง

“เคลื่อนย้ายมิติ!”

ในสายเลือดดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงเกิดระลอกสายน้ำวนชั้นหนึ่งขึ้นในฉับพลัน เล็งเป้าหมายไปยังสถานที่ต้องห้ามแห่งหนึ่งของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น

หืม?

ภายในสถานที่ต้องห้ามนั้นมีผู้เฒ่าใกล้โรยราคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ พบว่าจู่ๆ ก็ปรากฏขวดหยกขนาดเล็กขวดหนึ่งอยู่เบื้องหน้า

เงาร่างแก่ชรานี้ก็คือเฒ่าประหลาดสวีของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น

เขายื่นมือออกไปรับขวดหยกเล็กตามจิตสำนึก พอจะมองเห็นของเหลวชั้นเลิศหลากสีที่ข้นคลั่กอยู่ภายในขวดได้รางๆ

“อายุขัยชีวิตของท่านใกล้ถึงขีดจำกัด นอกเสียจากว่าจะทะลวงผ่านขั้นเซียนในขอบเขตเทวาเร้นลับ เห็นแก่ในฐานะที่เป็นคนในสำนักเดียวกัน ข้าจะมอบ ‘วารีศักดิ์สิทธิ์ไป่หยวน’ ขวดนี้ให้ท่าน”

เงาเลือนรางร่างหนึ่งกระซิบที่ริมหูของเฒ่าประหลาดสวี

“วารีศักดิ์สิทธิ์ไป่หยวน!”

เฒ่าประหลาดสวีที่นั่งอยู่ในพื้นที่ต้องห้าม ร่างกายสั่นสะท้านในฉับพลัน ความปีติยินดีระบายเต็มใบหน้า ตื้นตันใจจนยากจะเอ่ย

“แน่นอน นี่ไม่ใช่เพราะมิตรภาพของคนในสำนักเดียวกันทั้งหมด ถ้าหากว่าท่านเลื่อนขั้นได้สำเร็จ ในภายภาคหน้าต้องยินยอมช่วยข้าสามครั้ง”

เสียงของจ้าวเฟิงดังขึ้นเรื่อยๆ

“ไม่มีปัญหา!ขอเค่เลื่อนขั้นได้สำเร็จ เจ้าก็คือผู้ช่วยให้ข้าได้ถือกำเนิดขึ้นอีกครั้ง ต่อให้เจ้าเรียกใช้ข้าสิบครั้งสามสิบครั้งแล้วมันจะอย่างไร?”

เฒ่าประหลาดสวีอดกลั้นความรู้สึกลิงโลดในใจอย่างยากเย็น

เขาไม่ต้องเดาก็รู้ว่าวารีศักดิ์สิทธิ์ไป่หยวนเป็นของที่ได้มาจากมิติเทพลวงตาแน่นอน ในสภาพแวดล้อมอย่างดินแดนทวีป แทบไม่มีทางจะปรากฏของล้ำค่าศักดิ์สิทธิ์ระดับนี้

“ในใจของท่านหมายมั่นสัญญานี้ไว้ก็พอแล้ว”

น้ำเสียงของจ้าวเฟิงค่อยๆ เบาบางและจางหายไปจากริมหูของเฒ่าประหลาดสวี

เมื่อไปถึงระดับขั้นอย่างเฒ่าประหลาดสวีและจ้าวเฟิง ในช่วงสำคัญของชีวิต ไม่ว่าคำสัญญาใดก็มีผลลัพธ์ไม่ต่างอะไรกับการสบถสาบานด้วยใจ

ยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็นคำสัญญาที่เฒ่าประหลาดสวีเอ่ยออกมาในขณะที่อายุขัยกำลังถึงขีดสุดแล้ว

บนฟ้าเหนือสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น

เงาร่างของจ้าวเฟิงลอยสูงขึ้นไปเรื่อยๆ กล่าวลาสมาชิกของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น

ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป เขาถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นอย่างเป็นทางการ

บวกกับสถานะที่เขาเปลี่ยนร่างถือกำเนิดใหม่ การไล่ล่าสังหารของขั้วอำนาจอื่นๆ ก็ไม่น่าจะเกิดขึ้นในถิ่นของหนานเฟิงอ๋อง จนส่งผลกระทบต่อสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น

อีกฟากหนึ่ง เถี่ยหลีเทียนที่อยู่กลางอากาศและหนานเฟิงอ๋อง ในใจก็คาดหวังรอคอยอย่างอดไม่ได้

หลังจากที่ออกจากสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นไปแล้ว จ้าวเฟิงจะไปที่ไหนกัน?

หนานเฟิงอ๋องระบายยิ้มบนใบหน้า เตรียมจะเปิดปากเอ่ย

สวบ! ทันใดนั้น เงาแสงสีแดงเจิดจ้าสายหนึ่งก็ลอยมาด้วยความเร็ว ชิงตัดหน้ามาอยู่ข้างกายของจ้าวเฟิงก่อน

“จ้าวเฟิง ฟังข้าก่อน!”

เถี่ยหลีเทียนสูดหายใจเข้าลึก เอ่ยอย่างเว้าวอนตัดหน้าก่อนที่หนานเฟิงอ๋องจะได้เปิดปากเอ่ย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version