Skip to content

King of Gods 909

King Of Gods

บทที่ 909 หมั้นหมาย

เมี้ยว เมี้ยว!

แมวขโมยตัวน้อยมุดออกมาจากมนตราอากาศ นั่งบนไหล่จ้าวเฟิงพลางทอดถอนใจส่ายหัวไปมา ราวกับจะแสดงออกว่านายที่ไม่ได้เรื่องคนนี้เข้าสู่ห้วงนิทราอีกแล้ว

ตั้งแต่จ้าวเฟิงแลกเปลี่ยนไหมเมฆาผีเสื้อเซียนกับหนานเฟิงอ๋อง แมวขโมยตัวน้อยที่อยู่ในมนตราอากาศก็ไม่รู้สึกน่าเบื่อขนาดนั้น

ไหมเมฆาผีเสื้อเซียนเป็นดั่งน้องชายของเจ้าแมวขโมย เชื่อฟังคำพูดเป็นอย่างดี

ยามนี้จ้าวเฟิงเข้าสู่ห้วงนิทราลึก มันไม่สามารถคอยดูแลน้องชายได้ จำเป็นต้องออกมาคุ้มครองความปลอดภัยให้จ้าวเฟิง

มันยังต้องคอยจัดการเรื่องต่างๆ ในมนตราอากาศ อีกทั้งต้องคอยปลูกทรัพยากรล้ำค่าหายากต่างๆ ฝึกฝนผึ้งเบญจพิษ แมวขโมยน้อยรู้สึกเครียดเหลือเกิน

กริ๊ง กริ๊ง!

แมวขโมยน้อยโยนเหรียญทองแดงโบราณ เสียงดังกังวานไปทั่ว เหรียญทองแดงร่วงลงสู่อุ้งเท้าทั้งสองของมัน

หลังมองอยู่ชั่วครู่ เจ้าแมวขโมยรู้สึกอยากจะอาละวาด ดวงตาราวนิลของมันฉายแววเหนื่อยหน่าย

เมี้ยว เมี้ยว!

แมวขโมยน้อยร้องเรียกจ้าวเฟิงสองสามที เหมือนจะบอกว่าเมื่อตื่นขึ้นมาแล้วต้องชดเชยให้กับมันด้วย

……………….

“เจ้าก็คือนักฆ่าอันดับที่สามสิบสองแห่งมุมมืดทมิฬ จักรพรรดิคูอิ่ง (เงาที่แห้งเหี่ยว) งั้นรึ?” เมื่อได้รู้เบื้องหลังของชายร่างผอมแห้ง ในใจเฒ่าประหลาดสวีรู้สึกหวาดเกรง

ไม่คิดเลยว่าตำหนักวิญญาณปฐพีจะจ้างนักฆ่าที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้เพื่อเข้าขัดขวางการบรรลุขั้นเซียนของเขา

ซ้ำร้ายในการทะลวงขั้นเซียนเมื่อครั้งที่แล้ว จักรพรรดิคูอิ่งก็แอบซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดเช่นเดียวกัน

เพียงแต่เห็นว่าทะลวงขอบเขตเทวาเร้นลับไม่สำเร็จ จึงไม่ได้ลงมือ

คิดถึงตรงนี้ เฒ่าประหลาดสวีก็นึกดีใจที่ตนเองโชคดีนัก

“ตำหนักวิญญาณปฐพี ข้าจะต้องล้างแค้นนี้แน่นอน!” ดวงตาของเฒ่าประหลาดสวีฉายแววเหี้ยมโหด

เป้าหมายของจ้าวเฟิงคือยึดครองแถบชายทะเลทั้งหมด แน่นอนว่าตำหนักวิญญาณปฐพีก็ไม่ปล่อยไปเช่นกัน

เฒ่าประหลาดสวีบรรลุขั้นเซียนได้สำเร็จ เกียรติยศของสำนักระดับสามดาวของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นจึงกลับคืนมาอีกครั้ง ขอบเขตการรับสมัครลูกศิษย์ขยายไปกว้างไกลกว่าเดิม การสอบคัดเลือกก็เข้มงวด

เฒ่าประหลาดสวีทำตามคำสั่งของจ้าวเฟิง ใช้เวลาส่วนมากอยู่ในหอควันสมุทร เพราะเขาเองก็ต้องการเวลาเพื่อทำความคุ้นเคยกับพลังขั้นเซียนเช่นกัน

การเปลี่ยนแปลงในระดับการจัดการของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น เขาได้มอบหมายให้จักรพรรดิอีกสองคนเป็นผู้ดูแล

การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น ใครๆ ต่างก็รู้สึกได้ มีเพียงคนระดับสูงบางคนเพียงเท่านั้นที่รู้ถึงสาเหตุแท้จริงของการเปลี่ยนแปลง แม้ในใจจะสั่นสะท้าน แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้

แต่สำหรับลูกศิษย์สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นแล้ว นี่คือการร่วมมือกันของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นกับหอควันสมุทร ทำให้สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นเฟื่องฟูกว่าแต่ก่อนและกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง

จิตใจของเหล่าลูกศิษย์วัยเยาว์พวกนี้ต่างฮึกเหิมพลุ่งพล่าน

อีกด้านหนึ่ง ณ หอควันสมุทร

ปี้ชิงเยวี่ยมีนักฆ่าระดับยอดฝีมือผู้หนึ่งคอยปกป้องอยู่ในเงามืด ดำเนินการเด็ดเดี่ยวและใจกล้าขึ้นมาก หอควันสมุทรจึงพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว

มีจ้าวเฟิงคอยช่วยเหลือเรื่องทรัพยากร สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นช่วยเรื่องกำลังคน

ระยะเวลาสั้นๆ แค่ครึ่งปี กำลังความสามารถพื้นฐานของหอควันสมุทรไม่เป็นรองสำนักสามดาวเลย เพียงแค่ไม่มีขั้นเซียนอยู่ก็เท่านั้น

…………..

ผ่านไปอีกครึ่งปี เทพราตรีทมิฬกลับมาพร้อมกับกลุ่มยอดฝีมือของมุมมืดทมิฬ

ในนั้นมีจักรพรรดิสองคน ราชันแปดคน ที่เหลือเป็นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงหรือครึ่งก้าวสู่ราชัน พวกเขาเหล่านี้ล้วนเป็นยอดในเรื่องการสืบข่าวและลอบสังหาร

สรุปโดยรวมแล้ว นี่เป็นกลุ่มคนหัวกะทิที่ค่อนข้างเก่งกาจอาจหาญ

นับจากนี้ หน่วยลอบสังหารจึงเริ่มก่อตั้งขึ้นที่ดินแดนเกาะแห่งหนึ่งข้างๆ ดินแดนเกาะหมอกจันทร์ โดยมีเทพราตรีทมิฬเป็นผู้ดูแลไปก่อน

“จักรพรรดิคูอิ่ง ทำไมเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่?” เทพราตรีทมิฬกลับมาที่หอควันสมุทรก็ได้พบกับคนคุ้นเคย จึงอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้

เพราะเป็นนักฆ่าชั้นยอดในรายชื่อของมุมมืดทมิฬเหมือนกัน ชื่อของเขาทั้งสองห่างกันไม่มาก จึงย่อมเคยพบปะกัน กระทั่งแลกเปลี่ยนข้อมูลกันด้วยซ้ำ

จักรพรรดิคูอิ่งก็ตกใจเช่นเดียวกัน จึงรีบพูดขึ้นว่า “นายท่านให้โอกาสข้ากลับตัวใหม่ ไม่คิดเลยว่าในครั้งที่เจ้ารับหน้าที่ขัดขวางการบรรลุขั้นเซียนของหนานเฟิงอ๋อง เจ้าจะไปไม่กลับเช่นนี้ ที่แท้ก็มาเป็นข้ารับใช้ของนายท่านนี่เอง!”

“หึๆ นายท่านสนองความทะเยอทะยานของข้าได้ หากเจ้ากับข้าร่วมมือกัน จะต้องสร้างหน่วยลอบสังหารที่เป็นรองเพียงมุมมืดทมิฬได้แน่” เทพราตรีทมิฬฮึกเหิมทะเยอทะยาน

“ข้าไม่สนใจเรื่องพวกนี้ ข้าชอบที่จะลอบสังหารเท่านั้น!” ใบหน้าของจักพรรดิคูอิ่งฉายแววอำมหิต

ณ ดินแดนเกาะกลางทะเล ในโถงลับตำหนักวิญญาณปฐพี

“หอควันสมุทรร่วมมือกับสำนักศักดิสิทธิ์วั่น?”

“อีกทั้งในช่วงนี้คนสืบข่าวของหอควันสมุทรยังเคลื่อนไหวแถบริมทะเลจนผิดปกติ”

“พวกมันไม่เห็นพวกเราตำหนักวิญญาณปฐพีในสายตาเลย!”

เสียงตะโกนฮือฮาในที่แห่งนี้ ส่วนมากมาจากราชันระดับลึกซึ้ง และอีกไม่น้อยที่มาจากราชันระดับสุดยอด หรือแม้กระทั่งจักรพรรดิ

กลางอากาศมีผู้อาวุโสในชุดสีน้ำเงินลอยอยู่ พลังเทวาเร้นลับครอบคลุมทั่วทั้งร่าง หลับตาไม่พูดอะไร

“รายงานผู้อาวุโสสูงสุด ในวันนั้นจ้าวเฟิงสังหารจักพรรดิตำหนักวิญญาณปฐพีของเราไปสองคน ราชันปราณเทวะอีกสิบหกคน

หากไม่ใช่เพราะหนานเฟิงอ๋องเข้าห้ามแล้วละก็ เกรงว่าข้าเองก็กลับมาไม่ได้เช่นกัน!” จักรพรรดิในชุดคลุมทองนามจางเสวียนต้งก้มหน้าพูดขึ้นอย่างละอาย

“ยามนี้กลุ่มอำนาจของจ้าวเฟิงเข้าร่วมกับสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นที่เพิ่งจะยกระดับถึงสามดาว พวกมันจะต้องแข็งข้อกับตำหนักวิญญาณปฐพีเป็นแน่!”

“ผู้อาวุโสสูงสุดโปรดตัดสินใจด้วย!”

ผู้อาวุโสที่ลอยอยู่กลางอากาศลืมตาขึ้นทันใด เขาไม่คิดเลยว่าตนเองเพิ่งจะออกจากปิดด่านก็ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้

กองกำลังขอบเขตปราณเทวะของตำหนักวิญญาณปฐพีกลับถูกคนรุ่นเยาว์สังหาร หากเรื่องนี้เล็ดลอดออกไป พวกเขาตำหนักวิญญาณปฐพีจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน

สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นคิดจะผงาดขึ้นมา ถามตำหนักวิญญาณปฐพีรึยัง!

กลิ่นอายพลังมหาศาลที่ไร้รูปร่างทำให้อากาศสั่นสะเทือน

ในโถงลับ ความเงียบสงัดเข้ากดดัน ราชันระดับลึกซึ้งจำนวนไม่น้อยรู้สึกราวกับเลือดหยุดไหลเวียน หายใจลำบาก

“หึ ทะเลทั้งแถบนี้ ตำหนักวิญญาณปฐพีสิคือผู้ยิ่งใหญ่!” เซียนเลี่ยเทียน (แหวกสวรรค์) แค่นเสียงเย็น พลังสยบไร้รูปร่างทำให้จิตใจของเหล่าผู้แข็งแกร่งสั่นสะท้าน

เดิมทีผู้อาวุโสทั้งหลายของตำหนักวิญญาณปฐพีจะส่งจักรพรรดิไร้เทียมทานและกองกำลังจักรพรรดิที่แข็งแกร่งกว่าไปสังหารจ้าวเฟิง

ขณะกำลังจะออกเดินทางก็ได้ข่าวว่าเฒ่าประหลาดสวีทะลวงขั้นเซียนสำเร็จ ทั้งยังดูแลหอควันสมุทรด้วยตนเอง

เนื่องจากอับจนหนทาง จึงทำได้เพียงต้องล้มเลิกแผนการ ในใจอัดอั้นเหลือทน ได้แต่รอให้เซียนเลี่ยเทียนออกจากการปิดด่านเข้าฌาน

ในยามนี้เซียนเลี่ยเทียนพิโรธถึงเพียงนี้ พวกเขาก็รู้ว่าผู้อาวุโสสูงสุดจะต้องลงมือเองอย่างแน่นอน

“รายงานผู้อาวุโสสูงสุด จ้าวเฟิงที่อยู่หอควันสมุทรปิดด่านฝึกตนมาหนึ่งปีแล้ว แต่ให้เฒ่าประหลาดสวีที่เลื่อนเป็นเซียนดูแลจัดการที่นั่น!” จักรพรรดิชั้นยอดที่อยู่ด้านล่างกล่าวเตือน

“อีกทั้งระหว่างจ้าวเฟิงและหนานเฟิงอ๋องมีสัมพันธ์แน่นแฟ้นเสมอมา หนานเฟิงอ๋องในตอนนี้ก็บรรลุขั้นเซียนแล้วเช่นกัน!”

“หนานเฟิงอ๋องบรรลุขั้นเซียนแล้ว?” สีหน้าของเซียนเลี่ยเทียนเคร่งเครียด สีหน้าบึ้งตึง

หากเพียงแค่เฒ่าประหลาดสวีบรรลุขั้นเซียนได้ เขาก็อาจจะไม่เอามาใส่ใจ แต่หนานเฟิงอ๋องคือเชื้อพระวงศ์ ในยามนี้ถึงขั้นเซียนแล้ว หากเขาคิดจะปกป้องจ้าวเฟิง ตนเองก็มิอาจลงมือได้จริงๆ

แต่ว่าจ้าวเฟิงสังหารจักรพรรดิของตำหนักพวกเขาไปสอง ราชันอีกนับสิบ หากปล่อยไปตำหนักวิญญาณปฐพีจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในแถบริมทะเลได้อย่างไร

เขายังได้ยินมาอีกว่า ผู้ที่ได้ผลประโยชน์เยอะที่สุดในมิติเทพลวงตาได้ครอบครองศรสังหารเทพและมนตราอากาศ

“จ้าวเฟิงสังหารคนของตำหนักวิญญาณปฐพี ข้าจะลงมือเอง!” เซียนเลี่ยเทียนเอ่ยขึ้นอย่างทรงอำนาจยิ่ง

พูดจบเขาก็หายไปจากโถงลับมืดสลัว

ในโถงลับ ผู้อาวุโสหลายคนจิตใจฮึกเหิม หนึ่งในนั้นสองสามคนคือผู้รอดชีวิตยามที่จ้าวเฟิงไล่สังหาร

“จะต้องไปเจรจากับหนานเฟิงอ๋อง แต่ก่อนหน้านั้น…” เซียนผู้ยิ่งใหญ่กลายเป็นแสงสว่างกลุ่มหนึ่ง ก่อนพุ่งทะยานสู่ทะเลหมอกแห่งความว่างเปล่า

หลังจากนั้นสามเดือน ณ มุมหนึ่งของป่าหมอกปีศาจ!

เซียนเลี่ยเทียนยังไม่ทันมาถึง เสียงกึกก้องกัมปนาทก็ดังขึ้นที่ใจกลางวิญญาณ “ไม่อยู่ตำหนักวิญญาณปฐพีดีๆ มาหาข้าที่นี่ทำไม!”

“ข้ามาหาปีศาจเฒ่าอย่างเจ้า ย่อมต้องมีเรื่องอะไรดีๆ อยู่แล้ว” เซียนเลี่ยเทียนหัวเราะ พลางบินลึกเข้าไปในป่าหมอกปีศาจ

ในป่ามืดครึ้มแปลกประหลาด มีบ้านไม้หยาบๆ อยู่หลังหนึ่ง ลำธารเล็กไหลผ่าน หากแต่ทั่วทั้งบริเวณหมื่นลี้ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตใดๆ

“มีอะไรก็รีบว่ามา อย่ามัวอ้อมค้อม!” ในบ้านไม้ ผู้อาวุโสที่ผอมแห้งราวกิ่งไม้เอ่ยปากขึ้นช้าๆ

“ไม่เจอกันหลายร้อยปี เจ้าก็ยังเป็นเช่นเดิม” เซียนเลี่ยเทียนยิ้มน้อยๆ เขารู้นิสัยของเหล่ากุ่ยดี ดังนั้นจึงกล่าวถึงสาเหตุที่ตนมาทันที

เขาตัวคนเดียว ถ้าไปต่อรองกับหนานเฟิงอ๋องก็ไม่ค่อยมีหวังนัก

ยิ่งตอนนี้หนานเฟิงอ๋องทะลวงถึงขอบเขตเทวาเร้นลับแล้ว

แต่หากมีเหล่ากุ่ยด้วย เชื่อว่าหนานเฟิงอ๋องจะไม่ยอมล่วงเกินเซียนผู้ยิ่งใหญ่สองคนและอิทธิพลเบื้องหลังของพวกเขาเพื่อเจ้าเด็กนั่นอย่างแน่นอน

นอกจากนั้นยังถือโอกาสถอนรากถอนโคนสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นได้

ในแถบชายทะเลมีสำนักสามดาวเพียงแห่งเดียวก็พอแล้ว

หล่ากุ่ยมีสีหน้าแปลกใจ ดวงตาทั้งสองเปล่งประกาย จ้องเขม็งไปที่เซียนเลี่ยเทียน “เจรจากับหนานเฟิงอ๋อง จากนั้นสังหารเซียนที่เพิ่งบรรลุขั้นของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น แล้วก็สังหารผู้เยาว์ในขอบเขตปราณเทวะรึ?”

“ฮ่าๆ เรื่องอะไรก็ปิดเจ้าไม่ได้เลยจริงๆ!” เซียนเลี่ยเทียนแบมือออกพลางหัวเราะ

“เด็กหนุ่มขอบเขตปราณเทวะทั่วไป จำเป็นต้องให้เซียนขอบเขตเทวาเร้นลับเช่นเจ้าลงมือรึ เจ้าเด็กนั่น คือจ้าวเฟิงใช่ไหมเล่า!” เหล่ากุ่ยยิ้มชวนขนลุก

หลังจากที่มิติเทพลวงตาปิดฉากลง ข่าวคราวไม่น้อยลอยเข้ามากระทบหูของเขา

เพราะมิติเทพลวงตาในครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อนๆ เหลือเกิน

“ใช่แล้ว เจ้าและข้าสองคนไปเจรจากับหนานเฟิงอ๋องก่อน เชื่อว่าเขาจะต้องเห็นแก่หน้าของพวกเรา จากนั้นก็ฆ่าเฒ่าประหลาดสวี…” เซียนเลี่ยเทียนเสนอความเห็นด้วยแววตานิ่งลึก

แววตาของเหล่ากุ่ยกลิ้งกลอก ใบหน้าฉายแววเหี้ยมโหด “ข้าต้องการเพียงของของจ้าวเฟิง ครึ่งหนึ่ง!”

………..

ส่วนกลางของดินแดนทวีปอันไกลโพ้น

ราชวงศ์ต้าเฉียน ทุกตำหนักของราชนิกุลงดงามน่าเกรงขาม ถูกปกคลุมด้วยชะตาแห่งราชวงศ์มหาศาล

ในตำหนักที่งดงามอลังการ

องค์ชายสิบสามมีสีหน้าท่าทางตื่นเต้น “เสด็จแม่ นี่เป็นเรื่องจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

“แม่จะโกหกเจ้าได้อย่างไรกันเล่า เสด็จพ่อของเจ้าตกลงกับผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลตวนมู่ รับปากเรื่องหมั้นหมายแล้ว!” เบื้องหน้าองค์ชายสิบสามคือสตรีงามหยาดเยิ้มผู้หนึ่งในชุดคลุมหงส์สีเงินทองตระการตา บนบนศีรษะมีมงกุฎทอง ใบหน้าประดับรอยยิ้มรักใคร่เอ็นดู

ด้านข้าง ชายวัยกลางคนท่าทางทรงอำนาจไม่ธรรมดาเดินเข้ามา “เฉินเอ๋อ นี่เป็นความดีความชอบของเสด็จแม่เจ้า ที่มักจะพูดถึงเรื่องเจ้าชอบพอเจ้าหยูเฟยต่อหน้าพระพักตร์บ่อยๆ”

“ขอบพระทัยเสด็จแม่!” ในใจของโจวเฉินยินดีอย่างบ้าคลั่ง ตอนนี้เขาคิดไปถึงกระทั่งจ้าวหยูเฟยยอดรักของตนออดอ้อนเอียงอาย ค่อยๆ อิงแอบเข้าสู่อ้อมกอดของเขา

“นอกจากนี้ เพราะเรื่องนี้จึงมีขั้วอำนาจอีกไม่น้อยที่มาอยู่ฝ่ายเดียวกับเรา และสนับสนุนเฉินเอ๋อ!” ชายผู้องอาจแววตาเปล่งประกาย

โจวเฉินรู้ถึงความหมายที่แฝงอยู่ของท่านลุง

“เฉินเอ๋อจะไม่ทำให้ความหวังของเสด็จแม่กับท่านลุงต้องสูญเปล่า ศึกชิงตำแหน่งรัชทายาทครั้งนี้ ข้ามั่นใจถึงเก้าส่วน ต่อให้เป็นพี่สี่ก็ไม่แน่ว่าจะสู้ข้าได้!”

โจวเฉินเอ่ยทั้งดวงตามีชีวิตชีวา ในใจวาดแผนการไว้

“ฮ่าๆ ดูเหมือนว่าเฉินเอ๋อจะซุ่มเตรียมกำลังคนไว้แล้วสินะ!” ใบหน้าของชายผู้น่าเกรงขามเคร่งขรึมลง ก่อนจะหัวเราะอย่างสบายใจ

องค์ชายสี่เป็นองค์ชายที่อายุเยอะที่สุด และเป็นหนึ่งในตัวเต็งของการชิงตำแหน่งรัชทายาท พรสวรรค์น่าตกใจ เพื่อศึกชิงตำแหน่งรัชทายาท เขาเตรียมการมาเกือบร้อยปีแล้ว

หากโจวเฉินกล้าพูดเช่นนี้ คาดว่าจะต้องมั่นใจเป็นอย่างมาก

ในขณะเดียวกัน ตำหนักองค์ชายหลังหนึ่งในพระราชวัง

ชายหนุ่มชุดทองท่าทางไม่ธรรมดาผู้หนึ่งเดินไปเดินมา

“น่ารังเกียจนัก เสด็จพ่อกลับโปรดปรานโจวเฉินได้ถึงเพียงนี้ ให้หมั้นหมายกับตระกูลตวนมู่ นี่ไม่ใช่การประกาศว่าเบื้องหลังโจวเฉินมีตระกูลตวนมู่หนุนหลังอยู่รึ?” ดวงตาทั้งสองข้างของชายหนุ่มราวกับมีประกายสายฟ้า แผดเสียงร้องคำราม

“องค์ชายเจ็ดโปรดระงับโทสะก่อน เรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้ฮองเฮาในยามนี้คือมารดาขององค์ชายสิบสามกันล่ะ!” เบื้องหน้าขององค์ชายเจ็ด ชายผิวขาวเนียนดั่งหยกที่อยู่ในชุดหรู[1]สีขาวเอ่ยเสียงเรียบ

“นี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นที่ทำให้องค์ชายสิบสามสูงส่งกว่าคนอื่นนิดหน่อยเท่านั้น ศึกชิงตำแหน่งรัชทายาท ไม่ได้สู้กันเรื่องของอิทธิพลที่หนุนอยู่ข้างหลัง!”

……………………………………………

[1] ชุดหรู คือชุดคลุมที่คนลัทธิหรู (ลัทธิขงจื๊อ) หรือเหล่าบัณฑิตสวมใส่ ส่วนมากเป็นพื้นสีขาวขอบดำ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version