บทที่ 959 วานรทองสะท้านฟ้า
“การทดสอบคัดเลือกรัชทายาท กำลังจะเข้าสู่ช่วงที่สองแล้ว!”
ตาเฒ่าอิงเอ่ยเสียงเน้นหนัก
“เฒ่าอิง มีแผนการอะไรหรือไม่?”
แววตาของสืออวี่เหลยดูทะมึนลงไปเล็กน้อย
การทดสอบคัดเลือกรัชทายาทเป็นการฝึกฝนและขัดเกลาองค์รัชทายาท และเป็นการแข่งขันที่ถูกควบคุมโดยราชวงศ์และตำหนักไท่หวง!
การแข่งขันครั้งนี้ได้เริ่มขึ้นตั้งแต่ตอนที่ ‘การทดสอบคัดเลือกรัชทายาท’ เริ่มต้นมาจนถึงตอนนี้ และสมบูรณ์แบบขึ้นเรื่อยๆ
การแข่งขันนี้โดยคร่าวๆ แบ่งออกเป็นสี่ช่วง คือ รวบรวมกำลังรบ บุกเมืองชิงอาณาเขต องค์ชายวางกลยุทธ์ และชิงตรารัชทายาท แน่นอนว่าหากผู้เข้าร่วมน้อยเกินไป ก็จะไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ ด้วยเหตุนี้จึงให้องค์ชายไป ‘รวบรวมสมัครพรรคพวก’ มา หากพูดให้ชัดเจนหน่อยก็คือ ‘การรวบรวมสมัครพรรคพวก’ ก่อนที่การแข่งขันจะเริ่มก็สามารถนับเป็นหนึ่งช่วงได้เช่นกัน
เมื่อทุกคนเข้าไปในมิติเทพลวงตาแล้วพิชิตมรดก ช่วงชิงโชควาสนา ก็อยู่ในช่วงของการ ‘รวบรวมกำลังรบ’
“เดิมทีในช่วง ’บุกเมืองชิงอาณาเขต’ พวกเราทำได้เพียงรอคอยโอกาสเพื่อเก็บเกี่ยวเอาผลประโยชน์ แต่ตอนนี้เรามีกลยุทธ์ใหม่แล้ว”
แววตาตาเฒ่าอิงเปล่งประกายยินดี ปรายตามองไปที่จ้าวเฟิงแวบหนึ่ง
เป็นเพราะความเชี่ยวชาญด้านวิญญาณและความสามารถในการฝึกสัตว์ของจ้าวเฟิงที่ทำให้ตาเฒ่าอิงมั่นใจขึ้นมา
องค์ชายเก้า โจวซู่เอ๋อร์และคนอื่นๆ ก็พอจะรู้กลยุทธ์ของตาเฒ่าอิงอยู่บ้าง
สืออวี่เหลยและซูชิงหลิงต่างก็มองจ้าวเฟิงตามตาเฒ่าอิงคล้ายครุ่นคิดบางอย่าง
“หรือว่าความสามารถในการฝึกสัตว์ของจ้าวเฟิงจะอยู่เหนือปรมาจารย์ฝึกสัตว์คนอื่นอยู่มาก?’”
สืออวี่เหลยเกิดความคิดเชื่อมโยงขึ้นได้ไม่ยาก ในใจตื่นเต้น
เดิมเขาคิดว่าจ้าวเฟิงอาศัยความสัมพันธ์ที่มีกับหนานเฟิงอ๋อง พึ่งพาไหมเมฆาผีเสื้อเซียน ทำให้ได้ตำแหน่งปรมาจารย์นักฝึกสัตว์มา
คิดไม่ถึงว่าจ้าวเฟิงจะมีความสามารถฝึกสัตว์ไม่ด้อยไปกว่าปรมาจารย์นักฝึกสัตว์จริงๆ
“ถูกต้อง!” โจวซู่เอ๋อร์ผงกศีรษะเล็กน้อย ความสามาถในการฝึกสัตว์ของจ้าวเฟิงเก่งกาจมากจริงๆ
“ดังนั้นต่อไป ขอแค่พวกเราทุ่มเทแรงช่วยเหลือจ้าวเฟิงสุดกำลัง ให้ได้สัตว์อสูรและฝูงอสูรมามากที่สุด ก็จะได้เปรียบในตอน ‘บุกเมืองชิงอาณาเขต’ แน่นอน!”
ตาเฒ่าอิงเอ่ยออกมาทันที
‘บุกเมืองชิงอาณาเขต’ เป็นเวลาที่จะสำแดงพลังของกองกำลัง
ประโยชน์ของปรมาจารย์นักฝึกสัตว์และแพทย์ในช่วงนี้จะโดดเด่นอย่างยิ่ง เมื่อทั้งสองร่วมมือกันจะสำแดงกำลังรบที่ทรงพลังเกินจะเปรียบออกมาได้
แววตาของซูชิงหลิงที่มองจ้าวเฟิงตะลึงค้าง
ในตอนเริ่มต้น เด็กหนุ่มผู้นี้ถูกคนมองข้ามและเดียดฉันท์ แต่หลายสิบวันผ่านไปก็กลายเป็นตัวละครหลักในการแข่งขันครั้งนี้ เมื่อนางพูดคุยกับคนอื่นๆ จึงได้รู้ว่าความลึกซึ้งในด้านวิญญาณของจ้าวเฟิงลึกล้ำไม่ธรรมดา
“ต่อไปนี้พวกเราต้องไปหาสัตว์อสูรจำพวกทรงพลัง!”
องค์ชายเก้าเผยสีหน้ายินดี การชักชวนจ้าวเฟิงมารวมกลุ่มเหมือนจะเป็นการตัดสินใจที่ประสบผลสำเร็จที่สุดในการทดสอบครั้งนี้
อีกเจ็ดคนนอกจากจ้าวเฟิง ต่างถกเถียงกันอย่างดุเดือด แสดงความเห็นมากมาย
ในขณะที่จ้าวเฟิงกำลังรักษาอาการบาดเจ็บและฝึกตนรับรู้อยู่นั้น ก็ยังได้ยินคำพูดของทุกคนอย่างชัดเจน
‘การแข่งขัน? บุกเมืองชิงอาณาเขต? สถานที่ที่ยึดครองได้ย่อมไม่ธรรมดาแน่!’
มีฝั่งที่บุกโจมตี ก็ต้องมีฝั่งที่ป้องกัน
‘เมือง’ ที่พูดถึงมีแรงเย้ายวนใจให้คนต้องแย่งกันยึดครอง จะต้องมีจุดที่พิเศษแน่นอน
ถึงจะเป็นองค์ชายที่ไม่ใส่ใจจะชิงตำแหน่งรัชทายาท ก็ยังอยากจะมีส่วนร่วมในเรื่องนี้
‘อาศัยความสามารถในการฝึกสัตว์ของข้า? แบบนี้ก็พอดีเลย!’
จ้าวเฟิงเลือดร้อนอยากจะลองอะไรบางอย่าง
‘วิชาหมื่นห้วงคิดเซียน’ ของเขาฝึกมาจนถึงขั้นหนึ่งห้วงคิดแปรผันเป็นแปดพันแล้ว แต่แค่แบ่งเป็นแปดพันห้วงคิด แล้วอยากจะควบคุมทุกห้วงความคิดตามใจปรารถนาได้ยังถือว่าห่างไกลนัก อีกทั้ง ’วิชาหมื่นห้วงคิดเซียน’ ยังมีส่วนที่ขาดหายไป อย่างมากทำได้เพียงช่วยให้จ้าวเฟิงฝึกฝนได้ถึงขั้นหนึ่งห้วงคิดแปรผันเป็นเก้าพันเท่านั้น
’วิชาหมื่นห้วงคิดเซียน’ ฉบับสมบูรณ์ ทางตระกูลตวนมู่ก็อาจจะไม่มีเช่นกัน
ต่อให้ที่ตระกูลตวนมู่จะมีวิชาฉบับสมบูรณ์ซุกซ่อนอยู่ ด้วยสภาพการณ์ของทั้งสองฝ่ายในตอนนี้ จ้าวเฟิงก็ไม่อาจได้มาอยู่ดี ด้วยเหตุนี้ หลังจากฝึกฝนหนึ่งห้วงความคิดแปรผันเป็นเก้าพันของวิชานี้แล้ว
จ้าวเฟิงก็ได้แต่คอยขัดเกลาด้วยตนเอง การควบคุมสัตว์อสูรจำนวนมากเป็นโอกาสอันดียิ่งที่จ้าวเฟิงจะได้ฝึก ‘วิชาหมื่นห้วงคิดเซียน’
จ้าวเฟิงเชื่อมั่นว่าตอนที่เขาฝึกฝนไปถึงระดับหนึ่งจนทะลุปรุโปร่ง ก็คงจะคิดค้น ‘วิชาหมื่นห้วงคิดเซียน’ ที่สมบูรณ์ออกมาได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
ครึ่งวันผ่านไป จ้าวเฟิงลืมตาขึ้น
อาการบาดเจ็บที่ค่อนข้างหนักหนาทั่วร่างดีขึ้นมากแล้ว อาศัยวายุอัสนีธาตุไม้ ธาตุน้ำ และกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ก็ค่อยๆ ฟื้นฟูได้
“เดินทางได้!”
จ้าวเฟิงผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ
อีกเจ็ดคนที่กำลังถกและวางแผนกันอยู่พลันชะงัก มองมาที่จ้าวเฟิง
“จ้าวเฟิง เจ้าฟื้นฟูรักษาอาการบาดเจ็บได้ไวเช่นนี้เลยหรือ?”
โจวซู่เอ๋อร์พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ในตอนแรกเริ่มนางเสนอตัวจะช่วยรักษา แต่กลับถูกจ้าวเฟิงปฏิเสธ คนอื่นๆ ยังคิดว่าเขาต้องนั่งอยู่หลายวันถึงจะหาย แต่เพิ่งจะครึ่งวัน จ้าวเฟิงกลับรักษาตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“ใช่ พอประมาณแล้ว…”
โจวซู่เอ๋อร์มองประเมินจ้าวเฟิงอย่างละเอียด พบว่าบนร่างของเขาไม่มีอาการบาดเจ็บร้ายแรงหรืออาการป่วยแฝงอยู่
ในแวบหนึ่ง โจวซู่เอ๋อร์ถึงขั้นคิดว่าจ้าวเฟิงคงจะไม่ใช่ปรมาจารย์การแพทย์หรอกกระมัง!
หากเป็นเช่นนั้นละก็ นางคิดว่า ‘การทดสอบคัดเลือกรัชทายาท’ ครั้งนี้ มีแค่องค์ชายเก้าและจ้าวเฟิงสองคนก็สามารถรวมตัวกันเป็นกองกำลังหนึ่งได้แล้ว
“วิชาที่ข้าฝึกฝนค่อนข้างพิเศษ มันมีพลังรักษาอาการบาดเจ็บได้!”
จ้าวเฟิงอธิบายคร่าวๆ
“เช่นนั้นก็ดี พวกเรารีบเดินทางกันเถอะ!”
ตาเฒ่าอิงเองก็รีบลุกขึ้น
นำหน้าก่อนคนอื่นหนึ่งก้าวก็สามารถเตรียมตัวได้มากขึ้นเช่นกัน แผนการเคลื่อนไหวชั่วคราวพูดคุยตกลงกันเมื่อครู่เรียบร้อยแล้ว เป้าหมายของพวกเขาคือเจ้าป่าท่ามกลางฝูงสัตว์อสูรในป่าทึบอย่างวานรทองสะท้านฟ้า
วานรทองสะท้านฟ้าไม่เพียงแต่มีพลังที่น่ากลัว พลังป้องกันก็ยอดเยี่ยมอย่างมาก หนำซ้ำยังปราดเปรียวพอสมควร เมื่อเปรียบกับปีศาจพวกยักษ์แห่งขุนเขาอะไรจำพวกนี้แล้ว นับว่ามีประโยชน์กว่ามาก
สืออวี่เหลยและซูชิงหลิงมองไปที่จ้าวเฟิง
สำหรับนักฝึกสัตว์ในราชวงศ์แล้ว วานรทองสะท้านฟ้าเป็นภารกิจที่ไม่อาจทำให้สำเร็จได้ วานรทองสะท้านฟ้าไม่ใช่สัตว์อสูรที่อยู่กันเป็นฝูงก็จริง แต่มันมีต่อสู้เป็นฝูง นิสัยมุทะลุ พลังวิญญาณก็แน่วแน่แข็งแกร่ง หากไม่มีคนที่มีกำลังแข็งแกร่งคอยยับยั้งอยู่รอบๆ นักฝึกสัตว์ธรรมดาแค่จะเข้าใกล้วานรทองสะท้านฟ้าก็ยังทำไม่ได้ ถึงจะเป็นในตอนนี้ พวกเขาก็ไม่เชื่อว่าจ้าวเฟิงจะมีความสามารถนี้ แต่เป้าหมายถูกกำหนดโดยตาเฒ่าอิง พวกเขาเชื่อว่าตาเฒ่าอิงคงจะไม่คาดคะเนความสามารถในการฝึกสัตว์ของจ้าวเฟิงผิดไป
“วานรทองสะท้านฟ้ารวมตัวกันอยู่ในส่วนลึกที่สุดของป่า!”
จากนั้นคนทั้งแปดก็เดินทางเข้าไปยังส่วนลึกที่สุดของป่า
ในระหว่างทาง สัตว์อสูรดุร้ายต่างๆ ซุกซ่อนตัวอยู่ในมุมมืด ถึงสัตว์อสูรในสุสานราชวงศ์จะดุร้ายผิดปกติ แต่ก็ไม่บุ่มบ่ามบุกโจมตีคนทั้งแปด บวกกับเคล็ดวิชาและการรับรู้ของตาเฒ่าอิง ทุกคนก็พยายามหลบหลีกฝูงสัตว์อสูรอย่างสุดความสามารถ
………
ใจกลางของผืนป่ามืดสลัว ต้นไม้ทุกต้นมีขนาดราวหลายสิบคนโอบ
โครม ตู้ม! “หวาฮุย รีบลงมือ วานรทองสะท้านฟ้าขั้นจักรพรรดิตัวนี้มีพลังแข็งแกร่งนัก!”
ผู้อาวุโสชุดเทาคนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงร้อนรน
เมื่อเอ่ยจบ ยอดฝีมือในขั้นปฐมเซียนผู้หนึ่งพุ่งทะยานเข้าไปโจมตีพร้อมกันกับแก่นแท้พลังสีทองที่ไร้ขอบเขต แต่วานรตัวใหญ่เบื้องหน้าของเขา ขนทั่วตัวของมันเป็นสีทองแวววาว กลิ่นอายโหดเหี้ยมระเบิดออกสะเทือนไปรอบบริเวณ ต่อให้เป็นหวาฮุยผู้เป็นยอดฝีมือที่ฝึกฝนร่างกายในขั้นปฐมเซียน ก็ยังไม่กล้าจะปะทะกับมันตรงๆ ยังพึ่งพาการป้องกันร่างกายเป็นหลัก ค่อยดึงดูดความสนใจของมัน เพื่อให้การโจมตีของสมาชิกคนอื่นๆ ในกลุ่มเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
ตูม! จักรพรรดิสองคนระเบิดพลังโจมตีอัคคีเหมันต์ที่แข็งแกร่งอย่างมาก ปะทะเข้าใส่บริเวณหลังของวานรทองสะท้านฟ้า
เปรี๊ยะ! ร่างชราที่สงบนิ่งที่ยืนอยู่บนซากต้นไม้แห้งที่อยู่อีกฟาก ปลดปล่อยลูกศรแสงสีเทาจำนวนนับไม่ถ้วนในวิญญาณออกมา เล็งไปส่วนหัวของวานรทองสะท้านฟ้า
ในด้านหลังยังมีจักรพรรดิจำนวนนับไม่ถ้วนคอยโจมตีอยู่ไกลๆ เพื่อรบกวน
วานรทองสะท้านฟ้าร้องออกมาอย่างเกรี้ยวกราด ขนสีทองทั่วร่างลุกตั้ง ระเบิดพลังออกมา หมัดขนาดมโหฬารเหมือนภูเขาขนาดย่อมๆสี ทองลอยละลิ่วมาก่ อให้เกิดเสียงดังสนั่นโครมครามขึ้น
โครม! ต้นไม้ขนาดใหญ่ลำต้นอวบอ้วนถูกตัดขาดออกเป็นสองท่อนปลิวออกไป
“สัตว์อสูรที่เก่งกล้าขนาดนี้ หากโดนพี่จู๋ครอบครองจะต้องกลายมาเป็นแรงสนับสนุนที่ดีเยี่ยมของพวกเราอย่างแน่นอน!”
บนต้นไม้ที่ไกลออกไป มีชายแรกรุ่นในชุดทองมองด้วยแววตาเป็นประกาย
“เหอะๆ องค์ชายสิบเอ็ด รอให้ข้ากำราบวานรทองสะท้านฟ้าตัวนี้ได้ ก็จะสามารถอาศัยมันกำราบวานรทองสะท้านฟ้าตัวอื่นๆ ขยายฝูงสัตว์อสูรออกไปเรื่อยๆ!”
จู๋หลงผู้ที่อยู่ข้างกายองค์ชายสิบเอ็ดก็มีท่าทีลิงโลดไม่ต่างกัน
สัตว์อสูรที่แกร่งกล้าขนาดนี้ จะต้องอาศัยสมาชิกเข้าสู้จำนวนมากถึงจะกำราบมันได้ เขาเองก็เพิ่งจะเคยเห็นสัตว์อสูรในขั้นจักรพรรดิที่มีพลังแกร่งขนาดนี้เป็นครั้งแรก หากกำราบมันได้ หลังจากกลับไปถึงดินแดนทวีปแล้วจะเอาโอ้อวดกับปรมาจารย์นักฝึกสัตว์คนอื่นๆ เสียหน่อย
“พี่จู๋ เช่นนั้นก็รีบลงมือเถอะ!”
องค์ชายสิบเอ็ดร้อนใจอยู่ไม่น้อย
“ฝ่าบาท เรื่องนี้รีบร้อนไม่ได้ รอให้พวกเขาลงแรงอีกหน่อยเถอะ!”
แววตาจู๋หลงเป็นประกาย จะกำราบสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งขนาดนี้ หากไม่ปล่อยให้มันอ่อนล้าหมดแรงแทบจะไม่อาจกำราบมันได้เลย หากบุ่มบ่ามเข้าไปลงมืออาจถึงตายได้!
“มีคน! ใครกัน?”
ทันใดนั้นเอง จู๋หลงสัมผัสได้ถึงบางอย่าง เขามองไปด้านหลังที่มืดมิดทันที
เปรี๊ยะ! เงาคนจำนวนมากปรากฏกายขึ้นที่เบื้องหน้าขององค์ชายสิบเอ็ด
“พี่เก้า!” องค์ชายสิบเอ็ดถอนหายใจออกเล็กน้อย
องค์ชายที่อยู่ในลำดับค่อนไปท้ายๆ พลังของกองกำลังก็ไม่ได้ต่างอะไรกันมากนัก
หนำซ้ำจำนวนคนในกองกำลังขององค์ชายเก้าค่อนข้างน้อยนิด เพียงแต่พรสวรรค์และพฤติกรรมของตัวเขาเองถึงทำให้หน่วยข่าวกรองจัดให้อยู่ในลำดับที่เจ็ด
แต่จักรพรรดิทั้งสามที่ถือว่าอยู่ในสภาวะพร้อมรบทางฟากองค์ชายสิบเอ็ดต่างร้องออกมาอย่างตื่นตกใจ
“เป็นเขา!”
“เป็นจ้าวเฟิง!”
คนอื่นในกองกำลังขององค์ชายสิบเอ็ดมองลงไปที่จ้าวเฟิงโดยทันที
ในแววตาของจู๋หลงเกิดความสนใจอย่างมากขึ้น
และเช่นเดียวกัน ทางฟากขององค์ชายเก้าก็มองไปที่จ้าวเฟิง ไม่รู้ว่าในตอนที่เขาอยู่กับโจวซู่เอ๋อร์จะทำเรื่อง ‘ชั่วร้ายเลวทราม’ อะไรลงไปบ้าง
“จ้าวเฟิง นี่มันคนสามคนที่ถูกเจ้าทำร้ายเมื่อตอนนั้นนี่!”
โจวซู่เอ๋อร์เอ่ยเตือนเมื่อเห็นว่าจ้าวเฟิงจำไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
ในตอนที่นางรวมกลุ่มกับจ้าวเฟิงทำลายกองกำลังอีกสองกลุ่ม กองกำลังกลุ่มแรกเป็นขององค์ชายหก และกองกำลังที่สองเป็นขององค์ชายสิบเอ็ด
“ไม่ทราบว่าพี่เก้ามาที่นี่มีเรื่องอะไร?”
องค์ชายสิบเอ็ดสีหน้าเรียบเฉย
เรื่องนี้พวกเขาทั้งสามคนได้คุยกันมาหลายรอบแล้ว
ในสายตาของทุกคน มีเพียงความเป็นไปได้เดียวก็คือจ้าวเฟิงจะต้องครอบครองสมบัติล้ำค่าที่หนุนนำกับมิติแห่งนี้
ไม่เช่นนั้นแล้ว นอกเสียจากว่าเป็นเซียน ไม่เช่นนั้นคงไม่มีทางจะน่ากลัวได้ดังเช่นที่คนทั้งสามพูด
“พวกข้าเองก็มากำราบวานรทองสะท้านฟ้า คิดไม่ถึงเลยว่าจะบังเอิญเช่นนี้ น้องสิบเอ็ดเองก็มาที่นี่ด้วย!”
องค์ชายเก้าเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา แต่สมาชิกในกองกำลังชององค์ชายสิบเอ็ดหน้าเปลี่ยนสีไปในฉับพลัน จากคำพูดขององค์ชายเก้า พวกเขาจับกระแสน้ำเสียงที่ท้าทาได้ เห็นได้ชัดว่าอยากจะประลองกับพวกเขา
นักฝึกสัตว์จู๋หลงที่อยู่ข้างกายองค์ชายสิบเอ็ดกลอกตา ส่งเสียงบอกองค์ชายสิบเอ็ดทันที
มุมปากขององค์ชายสิบเอ็ดยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม “ในเมื่อพี่เก้ามาเพื่อฝึกวานรทองสะท้านฟ้า พวกเราสามารถร่วมมือกันควบคุมวานรทองสะท้านฟ้าตัวนี้เอาไว้ก่อน แล้วค่อยตัดสินกันว่าจะเป็นสิทธิ์ของใคร!”