บทที่ 983 เขาวงกตเคลื่อนที่
ยามนี้ ในสุสานราชวงศ์เหลือเพียงแค่สี่องค์ชายและสมาชิกที่อยู่ในเมืองความลับสวรรค์ทั้งสี่
ในนั้น กองกำลังองค์ชายแปดและองค์ชายเก้าในที่สุดก็โล่งอกได้
“ก่อนรอบที่สามจะเริ่มขึ้นยังเหลือเวลาพักอีกสิบวัน ทุกคนก็ไปพักผ่อนสักนิดแล้วกัน!”
ตาเฒ่าอิงมองสมาชิกที่เหนื่อยล้าจนไร้สภาพ
สามารถบุกยึดเมืองความลับสวรรค์แห่งนี้ได้ อีกทั้งยังยึดครองอย่างสมบูรณ์ ทุกคนต่างทุ่มเทพยายาม อ่อนล้าหมดแรงกันนานแล้ว
“ตาเฒ่าอิง ตกลงแล้วรอบที่สามมันคืออะไรกันแน่?”
โจวซู่เอ๋อร์อดถามขึ้นไม่ได้
ถึงแม้นางจะเคยถามนานแล้ว แต่ตาเฒ่าอิงพูดตลอดว่าเร็วเกินไป พูดไปก็ไร้ประโยชน์
“ ‘องค์ชายวางกลยุทธ์’ จะดำเนินขึ้นในเมืองความลับสวรรค์ทั้งสี่นี้ เมื่อถึงเวลา เมืองความลับสวรรค์จะสุ่มเริ่ม ‘การแข่งขัน’ แน่นอนว่าผู้เข้าร่วมคือองค์ชายทั้งสี่และผู้ติดตาม!”
เมื่อถึงในยามนี้ ตาเฒ่าอิงย่อมพูดในสิ่งที่ตนรู้ทั้งหมดออกมา
ในตอนแรกเขาเพียงแต่คาดการณ์ไว้หากองค์ชายเก้าโชคดี คงมีความหวังแย่งชิงเมืองความลับสวรรค์แห่งหนึ่งมาได้ แต่นั่นคือภายใต้สถานการณ์ที่ดีที่สุด ดังนั้นเรื่องรอบที่สามพูดไปก็ไร้ประโยชน์ กลับทำให้ฟุ้งซ่านด้วยซ้ำ
จนถึงตอนนี้ เขายังมีความรู้สึกเหมือนอยู่ในความฝัน
คิดไม่ถึงเลยว่าองค์ชายเก้าจะเทียบเคียงกับองค์ชายสี่ องค์ชายสิบสาม และองค์ชายแปด ยึดครองเมืองความลับสวรรค์ได้
“ฟังแล้วเหมือนจะสนุก!”
โจวซู่เอ๋อร์พยักหน้าเหมือนเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ
จ้าวเฟิงประหลาดใจเล็กน้อย รอบองค์ชายวางกลยุทธ์จะเป็นสถานที่ที่เมืองความลับสวรรค์จัดเตรียมให้ คิดดูแล้วน่าจะเป็นราชวงศ์ในยุคต้นจ่ายทรัพย์สมบัติมหาศาลเพื่อทำข้อตกลงอะไรกับเมืองความลับสวรรค์ที่นี่กระมัง
“เมืองความลับสวรรค์จะเริ่มการแข่งขันอะไร ใครก็ไม่มีทางได้ล่วงรู้ได้ การทดสอบรัชทายาทจากอดีตจนถึงตอนนี้มีการปรากฏซ้ำของ ‘การแข่งขัน’ แต่จะถูกปรับให้ดีขึ้นในครั้งถัดไป ดังนั้น ‘การแข่งขัน’ นี้นับว่ามีความยุติธรรมพอสมควร!”
ตาเฒ่าอิงอธิบายแก่ทุกคนอีกครั้ง
‘องค์ชายวางกลยุทธ์’ จนถึงตอนนี้ ไม่เคยจัด ‘การแข่งขัน’ ที่เหมือนกันมาก่อน ดังนั้นหากคิดจะเตรียมการมาก่อนก็ค่อนข้างลำบาก อีกทั้งในเมื่อเป็นการแข่งขัน จึงไม่ใช่การสู้ด้วยพลังง่ายๆ อย่างเดียวเท่านั้น ยังมีปัจจัยอื่นอีกมาก
“แน่นอน เป้าหมายของการแข่งขันนี้ยังคงเป็นการชิง ‘พลังชะตามังกร’ ”
ตาเฒ่าอิงเน้นย้ำอีกครั้ง
รอบที่สี่ ‘ชิงตรารัชทายาท’ จะสู้กันด้วยพลังชะตามังกร
จุดนี้ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ผู้ที่เข้าใจศึกชิงตำแหน่งรัชทายาทล้วนรู้ดี
ดังนั้นรอบที่สาม ‘องค์ชายวงกลยุทธ์’ จึงสำคัญมาก เพราะนี่คือโอกาสสุดท้ายที่จะชิง ‘พลังชะตามังกร’
ส่วนพลังชะตามังกรใน ‘ตรารัชทายาทจำลอง’ ขององค์ชายเก้า ตอนนี้มีน้อยที่สุดในบรรดาองค์ชายทั้งสี่ในสุสานราชวงศ์
หากต้องการชิงตำแหน่งรัชทายาท ในรอบที่สาม กลุ่มองค์ชายเก้าจะต้องได้คะแนนนำหน้าองค์ชายอีกสามคนที่เหลือ มิฉะนั้นเมื่อรอบที่สามจบลงก็จะตกรอบ
“ไม่ต้องกังวลไป ถึงเวลานั้นทุกคนพยายามให้เต็มที่ก็พอ!”
ตอนนี้องค์ชายเก้ายิ้มพูดขึ้น
สามารถเดินมาได้จนถึงตอนนี้ องค์ชายเก้าได้พิสูจน์ตัวเองแล้วในระดับหนึ่ง
นี่ก็คือความปราถนาเดิมของเขา เขาอยากจะพิสูจน์ตัวเองผ่านการประลองกับเหล่าองค์ชาย
“ด้วยฝีมือโดยรวมของพวกเรา หากคิดจะช่วงชิงกับองค์ชายสี่และองค์ชายสิบสาม แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ แต่การประลองรอบที่สาม โชคก็เป็นส่วนใหญ่อีกส่วนหนึ่ง ดังนั้นตำแหน่งรัชทายาทในท้ายที่สุด แม้แต่กลุ่มข่าวกรองที่เชี่ยวชาญบางกลุ่มก็ไม่มีทางคาดเดาได้”
ตาเฒ่าอิงพูดต่อ เขากลัวว่าทุกคนจะกดดันเกินไป
“อืม องค์รัชทายาทของทุกสมัย ไม่จำเป็นว่าพลังทั้งหมดจะต้องจัดอยู่ในอันดับที่แข็งแกร่งที่สุด กระทั่งองค์ชายที่พลังทั้งหมดจัดอยู่อันดับห้าก็เคยชิงตำแหน่งรัชทายาทได้!”
สืออวี่เหลยรีบพูดเสริมขึ้น
เขาก็กลัวสมาชิกที่เหลือจะกดดันมากเกินไป จึงร่วมมือกับตาเฒ่าอิงและองค์ชายเก้า
“อ้อ น้องเก้ายังพอมีความหวัง อย่าได้ห่วงไป!”
โจวซู่เอ๋อร์พลันลุกยืนขึ้นตบบ่าองค์ชายเก้า
สืออวี่เหลยและตาเฒ่าอิงมองไปยังผู้คนรอบด้าน ใบหน้าพลันชะงัก
จริงๆ แล้วสมาชิกที่เหลือขององค์ชายเก้าไม่ได้กังวลเท่าไหร่อยู่แล้ว
โจวซู่เอ๋อร์เห็นได้ชัดว่าเป็นคนที่ไม่สนใจอะไร
เฉินจีจื่อนั่งเงียบอยู่ข้างๆ หลับตาทั้งสอง ไม่รู้ว่ากำลังคำนวณอะไรอยู่
จ้าวเฟิงเหมือนเข้าสู่สภาวะการฝึกตน ส่วนจิงข่ายหลังจากที่ถูกจ้าวเฟิงลงตราผนึกดวงใจทมิฬก็ตั้งใจฝึกตนเช่นกัน นิสัยเปลี่ยนไปมาก กลับเป็นซูชิงหลิงที่พอจะมีความรับผิดชอบและแสดงความกังวลออกมา
“เอาเถอะ ยังมีเวลาอีกสิบวัน ทุกคนพยายามยกระดับพลัง เตรียมตัวให้ดี!”
ตาเฒ่าอิงพูดปลุกใจ จากนั้นก็จากไปกับองค์ชายเก้า
จ้าวเฟิงเห็นว่าการประชุมจบลง ก็ลุกขึ้นจากไปเช่นกัน
ถึงแม้เมื่อครู่เขาจะอยู่ในสภาพการฝึกบำเพ็ญ แต่รับรู้สถานการณ์ที่โลกด้านนอกชัดเจน คำพูดทั้งหมดล้วนฟังไว้
จ้าวเฟิงในยามนี้กำลังฝึกฝน ‘กายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์อมตะ’
ภายใต้การสั่งสมประสบการณ์ต่อสู้มานานหลายปี รวมกับการกระตุ้นจากเสวียนอ้าวมรณะของจักรพรรดิแห่งความตาย กายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ของเขาสามารถฝึกฝน ‘กายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์อมตะ’ ได้แล้ว ผลในการลดอาการบาดเจ็บของคุณสมบัติกายอมตะเห็นได้ชัดเจนมาก อาการบาดเจ็บปกติยิ่งเมินเฉยไปเลย อีกทั้งคุณสมบัติอมตะของ ‘กายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์อมตะ’ ยังช่วยเสริมกายศักดิ์สิทธิ์ของเซียนเทวาเร้นลับได้อีกด้วย นอกจากนั้น จ้าวเฟิงเพิ่งทะลวงขั้นจักรพรรดิ จะต้องเริ่มปูพื้นฐานการทะลวงขอบเขตเทวาเร้นลับให้ดี พยายามให้สำเร็จในครั้งเดียว ยังมี ‘วิชาหมื่นห้วงคิดเซียน’ ฉบับบสมบูรณ์ที่ได้มา
เขามักรู้สึกว่าหากฝึก ‘วิชาหมื่นห้วงคิดเซียน’ จนสำเร็จได้ จะมีประโยชน์กับตัวเองมาก
“ใช่แล้ว โจวซู่เอ๋อร์ ท่านรู้ไหมว่า ‘บุปผาปีศาจสามภพ’ มีประโยชน์อะไร?”
จู่ๆ จ้าวเฟิงก็นึกคำถามขึ้นมาได้
ในยามที่บุกพิชิตมรดกสวรรค์ ดอกไม้สีแดงหน้าปีศาจที่เดิมทีไม่อยู่ในความสนใจของเขา แต่เซียนมารทมิฬกลับให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก
เชื่อว่าบุปผาปีศาจสามภพ จะต้องมีคุณค่าเป็นอย่างมากในสักขอบเขตใดขอบเขตหนึ่ง
“เจ้าถามทำไม? บุปผาปีศาจสามภพคือวัตถุดิบยาชั้นเลิศที่เอาไว้ฝึกฝนร่างแยกสายมาร สามารถเพิ่มอัตราการหลอมรวมร่างแยกสายมาร อีกทั้งยกระดับพลังของร่างแยกได้!”
โจวซู่เอ๋อร์แปลกใจเล็กน้อย
จ้าวเฟิงไม่เคยฝึกวิชาสายมาร ถามเรื่องนี้ทำไมกัน?
“หรือว่าเจ้ามีแผนจะหลอมรวมร่างแยกสายมารในภายภาคหน้า?”
โจวซู่เอ๋อร์ถามหยั่งเชิง
เป็นไปได้มากว่าจ้าวเฟิงได้เคล็ดวิชาร่างแยกสายมารที่ล้ำค่าในสุสานราชวงศ์มา
“เปล่าหรอก แค่ถามเฉยๆ!” สีหน้าท่าทางของจ้าวเฟิงเรียบเฉย
เห็นทีบุปผาปีศาจสามภพจะเป็นทรัพยากรอันล้ำค่าสำหรับฝึกสายมาร เคล็ดวิชาแยกร่าง คือกลวิชาอภินิหารที่มีเฉพาะในขั้นเซียนเท่านั้น
ปกติขอบเขตพลังถึงเทวาเร้นลับชั้นต้น จึงจะสามารถฝึกฝนเคล็ดวิชาประเภทนี้ได้ แต่ก็มีเทวาเร้นลับชั้นแรกเริ่มที่กายศักดิ์สิทธิ์ค่อนข้างแข็งแกร่ง จึงเริ่มฝึกเคล็ดวิชาร่างแยกนี่ได้ พลังของร่างแยกกับระดับขั้นของเคล็ดวิชาเกี่ยวเนื่องกัน สมุนไพรที่สามารถเพิ่มพลังร่างแยกย่อมล้ำค่ามาก เทียบเคียงได้กับระดับของวิชายกระดับร่างแยก หลังจากที่รู้ประโยชน์ของบุปผาปีศาจสามภพ จ้าวเฟิงกลับรู้สึกว่ายิ่งไม่มีประโยชน์กับตน
เดินออกจากห้องเหล็กมาแล้ว จ้าวเฟิงมายัง ‘อุทยานสัตว์วิเศษ’ อีกครั้ง
“ไม่ทราบว่าท่านต้องการดูแลสัตว์เลี้ยง ฝึกฝน หรือว่าซื้อ?”
หุ่นเชิดอาวุโสร่างเล็กเดินมาอย่างช้าๆ
“ข้าต้องการสัตว์อสูรบินได้ระดับจักรพรรดิสิบตัว!”
ครั้งนี้ จ้าวเฟิงเลือก ‘เหยี่ยวปีกมังกร’ มาสิบตัว นับว่าเป็นสัตว์อสูรประเภทบินที่รูปร่างเล็ก
หลังออกจากอุทยานสัตว์วิเศษ จ้าวเฟิงนำหยกมังกรคุ้มกันที่หม่นหมองไร้ประกายสิบชิ้นส่งให้กับ ‘เหยี่ยวปีกมังกร’ ทุกตัว
หยกมังกรคุ้มกันสิบชิ้นนี้ คือส่วนที่เเมวขโมยน้อยขโมยมาจากจักรพรรดิและปฐมเซียนในโลกมิติส่วนตัวของจ้าวเฟิงเมื่อวานนี้
‘พลังชะตามังกร’ ในนั้นมอบให้กับองค์ชายเก้าไปแล้ว
พรึ่บ! เหยี่ยวปีกมังกรสิบตัวคว้าหยกมังกรคุ้มกันแล้วพุ่งทะยานไปบนฟากฟ้า แยกกันบินไปทุกทิศทาง
‘เหลือเวลาอีกไม่มากเท่าไหร่ก่อนการทดสอบรัชทายาทจะสิ้นสุด สามารถรวบรวม ‘พลังชะตามังกร’ ได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น!’
ในเมื่อจ้าวเฟิงรับปากองค์ชายเก้า ได้ตำแหน่งผู้ติดตามมาแล้ว แน่นอนว่าต้องช่วยเขาให้ถึงที่สุด
หลังจากที่เข้าเมืองความลับสวรรค์มา โดยพื้นฐานแล้วไม่มีใครออกจากเมืองความลับสวรรค์เพื่อรวบรวมพลังชะตามังกร ทุกคนล้วนใช้ประโยชน์จากโอกาสที่ได้รับในเมืองความลับสวรรค์มาเพิ่มพลังให้กับตนเอง
เรื่องที่ใช้สัตว์อสูรออกไปรวบรวมพลังชะตามังกรก็เคยมีนักฝึกสัตว์ทำมาก่อน
แต่ความเสี่ยงสูงมาก หากสัตว์อสูรพบเจออันตรายตอนรวบรวมพลังชะตามังกรและทำหยกมังกรคุ้มกันสูญหาย เช่นนั้นก็แย่แล้ว
ทว่าจ้าวเฟิงนั้นไม่เหมือนกัน เขามองเห็นมุมมองของสัตว์อสูรประเภทบินได้ผ่านตราผนึกดวงใจทมิฬ แค่เพียงพบกับอันตราย เขาก็จะเตือนให้พวกมันหนีไป หรือสำแดงเนตรสวรรค์ข้ามฟ้าไปช่วย
ทั้งหมดนี้เป็นประโยชน์จาก ‘วิชาหมื่นห้วงคิดเซียน’ มิฉะนั้นแล้ว จ้าวเฟิงก็ยากที่จะเห็นมุมมองสายตาของสัตว์วิเศษเกือบยี่สิบตัวในเวลาเดียว นอกจากนั้นจ้าวเฟิงเองยังมีเรื่องอื่นที่ต้องทำอีก
เวลาสิบวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว กายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์มีคุณสมบัติอมตะแล้วเล็กน้อย การเพิ่มความแข็งแกร่งสายเลือดให้กับวานรทองสะท้านฟ้าก็สำเร็จด้วยดี
นอกจากนั้น ขอบเขตพลังของจิงข่ายก็ถึงขั้นเซียน พูดได้ว่านี่คือข่าวดีของกลุ่ม
ในวันนี้ กองกำลังขององค์ชายเก้ามายังลานใจกลางเมืองความลับสวรรค์
ณ เบื้องหน้าน้ำพุอันวิจิตรมีขั้นบันไดเหล็กที่วัสดุพิเศษเป็นอย่างมาก บนนั้นมีแท่นศิลาเทาขาวอยู่
สมาชิกกลุ่มองค์ชายเก้าทั้งหมดเดินไปบนบันไดเหล็ก
วิ้ง! องค์ชายเก้าหยิบตรารัชทายาทจำลองออกมา ประทับไปบนแท่นศิลาเทาขาวนั้น
วิ้ง ครืน ครืน! ทั้งขั้นบันไดบรรทุกคนทั้งหมดลอยไปบนฟ้า
บนท้องฟ้าของราชวงศ์ต้าเฉียน ม่านแสงสีเทาหม่น ในที่สุดก็ปรากฏภาพขึ้น
ในเมืองความลับสวรรค์ ต่อให้ในตรารัชทายาทจำลองมีโครงสร้างค่ายกลที่เอาไว้สอดส่องตรวจตราก็ไร้ประโยชน์ โลกภายนอกจะสามารถมองเห็นภาพได้อีกครั้งเมื่อรอบที่สามเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ เหล่าองค์ชายบินไปยังท้องฟ้า ออกห่างจากเมืองความลับสวรรค์แล้วเท่านั้น
“ในที่สุดก็มองเห็นแล้ว!”
“การแข่งจริงรอบที่สามกำลังจะเริ่มแล้ว!”
“ไม่รู้ว่ารอบนี้เมืองความลับสวรรค์จะจัด ‘การแข่งขัน’ อะไร!”
คนด้านนอกเขตแดนทั้งหมดติดตามดูว่ารอบที่สามจะดำเนินไปอย่างไร
เห็นเพียงแค่ในสุสานราชวงศ์ องค์ชายทั้งสี่ยืนอยู่บนบันได ล่องลอยอยู่ในอากาศทั้งสี่ทิศ ล้อมเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส
วู้ม วู้ม!
ทันใดนั้น ผู้อาวุโสที่เป็นภาพเงามายาก็ปรากฏขึ้นตรงกลางระหว่างองค์ชายทั้งสี่ จากท่าทางของผู้อาวุโสก็มองออกได้ว่าเขาก็เป็นหุ่นเชิดกลไก
“องค์ชายทั้งสี่ ต่อไปคือเวลาของ ‘องค์ชายวางกลยุทธ์’ แล้ว!”
เสียงของผู้อาวุโสภาพมายาดังก้องไปทั่วทิศ
“และข้าก็คือกรรมการตัดสินของ ‘การแข่งขัน’ ในรอบนี้!’”
ในมือของผู้อาวุโสมายาปรากฏก้อนเหล็กสีดำที่มองสภาพภายในไม่ชัด
“ครั้งนี้ การแข่งขันคือ…”
ผู้อาวุโสโยนก้อนเหล็กสีดำในมือออกไป ลวดลายเส้นอันลึกลับเลือนรางแผ่กระจายออกทันใด
เคร้ง! ก้อนเหล็กสีดำลอยอยู่กลางอากาศ มันขยายใหญ่ท่ามกลางเสียงกระทบกันของโลหะมากมาย สุดท้ายแล้วก้อนเหล็กสีดำก็แปรเปลี่ยนเป็นวัตถุเหล็ก เติมเต็มเขตพื้นที่สี่เหลี่ยมจัตุรัสที่ว่างอยู่ระหว่างองค์ชายทั้งสี่ กระดานหมากแผ่นหนึ่งก่อร่างขึ้น!
“เขาวงกตเคลื่อนที่!”