ตอนที่ 1424 ศึกษาตราสัญลักษณ์หัวหน้าปูชนียสถาน
เขาเริ่มจามตั้งแต่ออกจากปูชนียสถานนักปราชญ์แล้ว คนที่คิดถึงเขาก็ช่างมีความมุ่งมั่นเสียจริง!
นั่นคือเหตุผลที่เราถ่อมเนื้อถ่อมตัวตลอดเวลา ไม่อย่างนั้น ถ้าลั่วชิงรู้ว่ามีคนมากมายชอบเรา เธอคงจะไม่สบายใจ จางเซวียนคิดพร้อมกับพยักหน้า
พูดตามตรง เขาเองก็ถ่อมเนื้อถ่อมตัวมากแล้วตั้งแต่เข้าสู่ปูชนียสถานนักปราชญ์ ครั้งเดียวที่เขาเล่นใหญ่ก็คือตอนที่เข้าท้าทายหอคอยปรมาจารย์
ไม่อย่างนั้น พงไพรแห่งวรยุทธและปูชนียสถานฝ่ายในทั้งหมดจะยังคงอยู่ดีแบบนี้หรือ?
เขาพยายามที่จะทำทุกอย่างให้ดีที่สุดแล้ว!
เฮ้อออ แต่การถ่อมเนื้อถ่อมตัวนี่ก็เหนื่อยไม่เบา จางเซวียนคิดขณะนวดหว่างคิ้ว
ถ้าไม่ใช่เพราะความตั้งใจที่จะถ่อมเนื้อถ่อมตัวของเขา เขาคงจะนำโครงกระดูกท่อนบนของไอ้โหดออกมาแล้ว และอย่างน้อยที่สุด ก็คงจะไม่หยุดแค่การท้าทายหอคอยปรมาจารย์และทำลายสถิติเพียง 2-3 อย่าง
คุณรู้บ้างไหมว่าการระงับตัวเองไว้มันยากขนาดไหน?
แต่นั่นแหละ ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็เหมาะกับนิสัยของเขาซึ่งเป็นคนถ่อมตัว
นับตั้งแต่เป็นนักรบมาได้ราวหนึ่งปี เขาเข้าใจดีถึงความสำคัญของการถ่อมเนื้อถ่อมตัว ถ้าเขาเที่ยวโอ้อวดพละกำลังของตัวเองและใช้ไม้ตายไปทั่วอย่างที่ตัวโคลนทำ เขาคงจะตายไปนานแล้ว
ขณะที่ครุ่นคิดอยู่ จางเซวียนก็สะบัดข้อมือ เขานำตราสัญลักษณ์ออกมาตรวจสอบมันอย่างถี่ถ้วน
มันคือตราสัญลักษณ์หัวหน้าปูชนียสถานที่เขาได้รับจากนักปราชญ์ขุย
ฉนวนชั้นบนสุดถูกทำลายไปแล้วตอนที่เขาได้เป็นปรมาจารย์ระดับ 8 ดาวหลังจากผ่านการทดสอบหอคอยปรมาจารย์ แต่เขายังไม่มีเวลาตรวจสอบมันในตอนนั้น ในเมื่อตอนนี้มีเวลา ก็ถือเป็นโอกาสดีที่จะได้ศึกษาการเปลี่ยนแปลงของมันเสียหน่อย
ในตอนนี้ ตราสัญลักษณ์หัวหน้าปูชนียสถานเรืองแสงอ่อนๆ ออกมา เมื่อเขย่ามันเบาๆ จางเซวียนรู้สึกได้ถึงเจตจำนงที่แผ่ซ่านเข้าสู่จิตใต้สำนึกของเขา แม้กายเนื้อจะยังคงอยู่กับที่ แต่จางเซวียนก็รู้สึกได้ว่าจิตใต้สำนึกของเขาถูกดึงเข้าไปยังสถานที่แปลกประหลาดแห่งหนึ่ง
ฟึ่บ!
เรื่องต่อมาที่เขารู้ก็คือนักปราชญ์ขุยมายืนอยู่ตรงหน้าพร้อมกับยิ้มน้อยๆ
“คุณได้เป็นปรมาจารย์ระดับ 8 ดาวอย่างรวดเร็วทีเดียว ความก้าวหน้าของคุณนั้นเหนือกว่าที่ผมคิดไว้มาก” น้ำเสียงของนักปราชญ์ขุยแสดงการยอมรับ “ตอนนี้คุณฝึกฝนเคล็ดวิชาดวงตาสวรรค์แห่งเก้าพื้นดินเบื้องล่างไปถึงไหนแล้ว ให้ผมดูหน่อย”
“สำหรับเรื่องนั้น…เอ่อ บอกตามตรงนะ ผมยังไม่ได้เริ่มฝึกฝนศาสตร์แห่งการหยั่งรู้นั่นเลย” จางเซวียนตอบอย่างกระอักกระอ่วน
มีข้อบกพร่องมากมายอยู่ในศาสตร์แห่งการหยั่งรู้นั้นซึ่งทำให้เขาไม่อาจบังคับตัวเองให้ฝึกฝนได้ อันที่จริง หลังจากได้มันมา เขาก็ไม่อยากแม้จะชายตามองด้วยซ้ำ
เมื่อได้ยินแบบนั้น นักปราชญ์ขุยขมวดคิ้ว “ถ้าคุณไม่ฝึกฝนเคล็ดวิชาดวงตาสวรรค์แห่งเก้าพื้นดินเบื้องล่าง แล้วคุณจะทำลายฉนวนของตราสัญลักษณ์หัวหน้าปูชนียสถานและก้าวขึ้นเป็นหัวหน้าปูชนียสถานคนใหม่ได้อย่างไรล่ะ?”
เงื่อนไขที่สำคัญที่สุดของการเป็นหัวหน้าปูชนียสถานตัวจริงก็คือการฝึกฝนดวงตาหยั่งรู้จนถึงขั้นผู้พิชิตปีศาจ ซึ่งก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเข้าถึงระดับนั้นหากไม่ฝึกฝนศาสตร์แห่งการหยั่งรู้
“ผมอยากฝึกฝนมัน แต่เคล็ดวิชาดวงตาสวรรค์แห่งเก้าพื้นดินเบื้องล่างนั้นออกจะ…อย่าไปพูดถึงมันเลย คุณมีศาสตร์แห่งการหยั่งรู้อยู่กับตัวบ้างไหม? ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากขอยืมดูเพื่อเป็นหลักฐานอ้างอิงเสียหน่อย!” เกรงว่านักปราชญ์ขุยจะรับไม่ได้หากเขาวิพากษ์วิจารณ์เคล็ดวิชาดวงตาสวรรค์แห่งเก้าพื้นดินเบื้องล่างอีก จางเซวียนจึงรีบเปลี่ยนคำพูด
การฝึกฝนวรยุทธดวงตาสวรรค์แห่งเก้าพื้นดินเบื้องล่างนั้นถือเป็นทางเลือกหลังจากที่เขาอัพเกรดเทคนิคการต่อสู้เทียบฟ้าได้แล้ว ไม่อย่างนั้น เขาก็ไม่คิดจะฝึกฝนมัน เพราะลงท้ายก็จะต้องกลายเป็นคนตาบอดสี หรือไม่ก็อาจจะตาบอดไปเลย!
“มีแต่นักปราชญ์โบราณโป๋ช่างซึ่งเป็นท่านอาจารย์ของผมเท่านั้นที่มีความสามารถในการคิดค้นเทคนิคการต่อสู้ที่ล้ำลึกอย่างศาสตร์แห่งการหยั่งรู้ขึ้นมา ไม่มีทางที่คุณจะพบศาสตร์แห่งการหยั่งรู้ที่ไหนได้อีกในทวีปแห่งปรมาจารย์” นักปราชญ์ขุยส่ายหน้า “ไม่ทราบว่าเคล็ดวิชาส่วนไหนที่คุณยังสงสัย? บอกมาได้เลย แล้วผมจะค่อยๆ อธิบายให้ฟัง”
“ไม่เป็นไร ผมจะพยายามทำความเข้าใจด้วยตัวเอง” จางเซวียนส่ายหน้า
ดูเหมือนในแง่ของความสามารถ นักปราชญ์ขุยจะยังเป็นรองนักปราชญ์โบราณชิวอู๋ เพราะเศษเสี้ยวจิตวิญญาณของนักปราชญ์โบราณชิวอู๋นั้นสามารถสื่อสารซึ่งกันและกันได้ ในขณะที่จิตวิญญาณของนักปราชญ์ขุยที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นไม่อาจรับรู้ถึงบทสนทนาระหว่างตัวเขากับนักปราชญ์ขุยในการทดสอบประตูขุนเขา
“ไม่เป็นไร?” นักปราชญ์ขุยมีสีหน้าไม่สบอารมณ์ “คุณหมายความว่าอย่างไร? เพื่อจะได้เป็นหัวหน้าปูชนียสถานคนต่อไป คุณจะต้องฝึกฝนเคล็ดวิชาดวงตาสวรรค์แห่งเก้าพื้นดินเบื้องล่าง ผมใช้เวลาฝึกฝนเทคนิคนี้อยู่หลายปี และความรู้ที่ผมมีก็มากพอที่จะทำให้คุณเข้าใจเทคนิคนั้นได้ หรือคุณคิดว่าความเข้าใจของคุณล้ำลึกกว่าของผม?”
“ผู้อาวุโส ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น บอกความจริงกับคุณนะ ผมมีข้อสงสัยอย่างหนึ่งในใจที่อยากจะถามคุณ” รู้ดีว่านักปราชญ์ขุยมีเวลาจำกัด จางเซวียนจึงไม่อยากเสียเวลาพูดเรื่องเคล็ดวิชาดวงตาสวรรค์แห่งเก้าพื้นดินเบื้องล่างอีก ถึงตอนนี้ เขาพลันนึกถึงสิ่งที่เห็นในปูชนียสถานฝ่ายใน จึงตัดสินใจใช้โอกาสนี้ค้นหาคำตอบ
“พูดมาได้เลย!” เมื่อได้ยินว่าจางเซวียนมีคำถาม นักปราชญ์ขุยเอามือไพล่หลังและวางท่าเป็นผู้เชี่ยวชาญผู้ทรงพลัง
“ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด มีโครงกระดูกของฮ่องเต้แห่งเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นอยู่ในรูปปั้นของคุณที่อยู่ในปูชนียสถานฝ่ายในใช่ไหม ผมอยากรู้ว่าคุณกดข่มรังสีของมันไว้จนถึงระดับที่ใครๆ ไม่อาจรับรู้เลยได้อย่างไร?” จางเซวียนเปิดเผยข้อสงสัยของเขา
เขาสงสัยเรื่องนี้ตั้งแต่ออกจากปูชนียสถานฝ่ายในแล้ว แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก
ในเมื่อนักปราชญ์ขุยมาปรากฏตัวตรงหน้าเขาอีกครั้ง ก็ถือเป็นโอกาสดีที่จะได้ซักถาม
“คุณรู้ว่ามีโครงกระดูกของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นอยู่ในรูปปั้นของผมหรือ?” นักปราชญ์ขุยตาค้างด้วยความประหลาดใจ ในตอนนั้น ภาพของผู้เชี่ยวชาญผู้ทรงพลังที่เขาวางท่าอยู่ก็พังทลาย ใบหน้าของนักปราชญ์ขุยแสดงความไม่อยากเชื่อออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“ใช่แล้ว ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด ฮ่องเต้เผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นนั้นคือปีศาจโบราณในยุคของคุณซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อไอ้โหด!” จางเซวียนขยายความ
ในเมื่อนักปราชญ์ขุยเป็นศิษย์หลานของปรมาจารย์ขง ก็คงจะเคยได้ยินชื่อไอ้โหด
“คุณ…รู้จักไอ้โหดด้วยหรือ?” ใบหน้าของนักปราชญ์ขุยถึงกับกระตุก
“คุณเก็บโครงกระดูกท่อนบนของเขาไว้ในรูปปั้นได้อย่างไรโดยที่รังสีของเขาไม่รั่วไหลออกมา?” จางเซวียนถามอีกครั้ง
“คือ…” นักปราชญ์ขุยชะงักไปเมื่อได้ยินน้ำเสียงคาดคั้นของชายหนุ่ม เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ในเมื่อคุณรู้ขนาดนี้แล้ว บอกความจริงไปก็คงจะไม่เป็นไร คุณพูดถูก โครงกระดูกที่อยู่ในรูปปั้นของผมในปูชนียสถานฝ่ายในนั้นเป็นของไอ้โหดจริงๆ หลายปีมาแล้ว ตอนที่ผมพบมัน ยังคงมีเจตจำนงอยู่ในนั้น แต่เพื่อป้องกันไม่ให้มันฟื้นคืนชีพ ผมจึงใช้ความแข็งแกร่งของปรมาจารย์ขงกดข่มมันไว้”
“ความแข็งแกร่งของปรมาจารย์ขง?”
“ใช่ ปูชนียสถานฝ่ายในตั้งอยู่ใจกลางของค่ายกลของทั้ง 5 หอ และด้วยการใช้ลายมือของปรมาจารย์ขงบวกกับทรัพยากรที่มีอยู่ในดินแดนแห่งนี้ ผมจึงสามารถกดข่มมันไว้ได้อย่างสมบูรณ์ จนถึงจุดที่มันไม่อาจตอบโต้อะไรได้ทั้งสิ้น” นักปราชญ์ขุยอธิบาย
เมื่อได้ฟัง จางเซวียนก็หวนนึกถึงตำแหน่งของปูชนียสถานฝ่ายในเมื่อเทียบกับทั้ง 5 หอ และก็เป็นตามนั้น ปูชนียสถานฝ่ายในตั้งอยู่บริเวณใจกลางของค่ายกล
นั่นอธิบายได้ว่าทำไมมันถึงมีพลังจิตวิญญาณเข้มข้นและมีรังสีของการศึกษาเล่าเรียนอบอวลอยู่ในบริเวณนั้นอย่างท่วมท้น
“ในสมัยนั้น เมื่อครั้งที่ไอ้โหดต่อสู้กับปรมาจารย์ขง ความแข็งแกร่งของมันเหนือชั้นกว่านักปราชญ์โบราณทั้งหมดในทวีปแห่งปรมาจารย์ ตอนที่อยู่ในจุดสูงสุด มันแข็งแกร่งถึงขนาดที่ไม่มีใครในหมู่พวกเรารับมือไหว เพื่อป้องกันไม่ให้มันฟื้นคืนชีพ ผมจึงต้องใช้ทรัพยากรทุกชนิดที่หาได้เพื่อกดข่มมันไว้” นักปราชญ์ขุยส่ายหน้า
จากนั้น เขาก็มองจางเซวียนด้วยความสงสัยและถามว่า “รังสีของโครงกระดูกนั้นถูกกดข่มไว้จนถึงจุดที่ไม่อาจรับรู้ได้เลย แล้วคุณรู้ได้อย่างไร ในเมื่อดวงตาหยั่งรู้ของคุณยังอยู่แค่ขั้น 3?”
มีหัวหน้าปูชนียสถานหลายต่อหลายรุ่นที่มาก่อนหน้าเขา ซึ่งระดับขั้นดวงตาหยั่งรู้ของคนเหล่านั้นก็ล้วนแต่เหนือกว่าจางเซวียน แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังไม่มีใครรู้ว่ามีโครงกระดูกซ่อนอยู่ แต่ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขารู้ว่ามีบางอย่างอยู่ในรูปปั้นและถึงกับพูดออกมาได้อย่างละเอียดด้วย เขารู้ได้อย่างไร?
“ผมรู้โดยบังเอิญน่ะ” จางเซวียนตอบอ้อมๆ ไม่เต็มใจจะอธิบาย
“ไม่ว่าคุณจะรู้ได้ด้วยวิธีไหนก็ตาม ฟังคำแนะนำของผมนะ อย่าได้คิดแม้แต่จะแตะต้องมัน เพราะแม้แต่นักรบระดับเซียนขั้น 9 ก็ยังมีพละกำลังไม่พอที่จะรับมือกับมันได้” เมื่อเห็นจางเซวียนไม่เต็มใจจะพูดอะไรมากนัก นักปราชญ์ขุยก็ไม่ซักไซ้ แต่เขาก็ยังให้คำเตือน
“แล้วจะเป็นอย่างไรถ้าผมมั่นใจว่าจะสามารถทำให้โครงกระดูกนั้นยอมจำนนและป้องกันไม่ให้มันทำอันตรายใครๆ ได้? จะเป็นอะไรไหมถ้าผมจะนำมันออกมา?” จางเซวียนถาม
ในเมื่อเขามีหอสมุดเทียบฟ้า แถมศีรษะของไอ้โหดก็อยู่ภายใต้การควบคุมของเขาด้วย เขาแน่ใจสุดๆ ว่าจะสามารถควบคุมร่างกายท่อนบนของไอ้โหดได้เช่นกัน แต่สิ่งที่ยังไม่แน่ใจก็คือจะนำโครงกระดูกท่อนบนของไอ้โหดออกมาได้อย่างไรโดยไม่ทำให้เกิดผลกระทบกับปูชนียสถานฝ่ายใน
“คุณคิดจะทำให้โครงกระดูกของไอ้โหดยอมจำนนหรือ?” เมื่อได้ยินคำนั้น นักปราชญ์ขุยถึงกับชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้า “เป็นเรื่องดีนะที่คุณตั้งใจจะทำประโยชน์ให้มวลมนุษยชาติ แต่ผมบอกคุณได้เลยว่ามันเป็นไปไม่ได้ เพราะแม้แต่ปรมาจารย์ขงในครั้งนั้นยังทำไม่ได้เลย แล้วคุณคิดว่าคุณจะทำได้จริงๆ หรือไง?”