ตอนที่ 152 รักษาตู้เหมี่ยวชวน
“อาจารย์ กระบวนท่านั้นมัน…” เมื่อเข้ามาข้างใน เจิ้งหยางก็เก็บความอยากรู้ไว้ไม่ได้อีกต่อไป
“ผมเพิ่งคิดค้นกระบวนท่านั้นขึ้นมา ตอนนี้จะสาธิตวิธีฝึกให้คุณ!” จางเซวียนสาธิตกระบวนท่านั้นตั้งแต่ต้นอีกครั้ง
“นี่…นี่มัน…” เจิ้งหยางตะลึงเมื่อได้เห็นกระบวนท่าทั้งหมด
กระบวนท่านี้ช่างล้ำลึกยิ่งนัก ทำเอากระบวนท่าอื่นๆที่เขาร่ำเรียนมากลายเป็นรำงิ้วข้างถนนไปเลย
เมื่อครู่เขาคิดว่าเป็นกระบวนท่านี้ไม่ได้เรื่องแถมยังดูไม่สง่างาม แต่นั่นไม่เป็นความจริง จุดสำคัญของกระบวนท่านี้ไม่ใช่รูปแบบ ผู้ฝึกอาจสำแดงกระบวนท่าออกมาอย่างสง่างามหรือเรียบง่ายก็ได้ แม้จะมีเพียงท่วงท่าเดียว แต่ล้ำหน้ากว่าเคล็ดวิชาเพลงหอกอีกนับไม่ถ้วน ไม่เพียงแต่ท่วงท่าจะยืดหยุ่นและหลากหลาย แต่ยังเปี่ยมด้วยพลังอันไร้เทียมทานอีกด้วย
“เอาล่ะ ผมถ่ายทอดเคล็ดวิชาทั้งหมดให้คุณแล้ว จงจำไว้ว่าคุณจะถ่ายทอดมันต่อให้ใครอื่นไม่ได้ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากผม!” จางเซวียนกล่าว
“ขอรับอาจารย์!” เจิ้งหยางทรุดตัวลงคุกเข่าให้จางเซวียน
เขาหมกมุ่นกับการฝึกวรยุทธเพลงหอกมาหลายต่อหลายปี เข้าใจดีว่าเคล็ดวิชานั้นล้ำค่าเพียงใด หากรั่วไหลแพร่งพรายออกไป อาจเกิดการนองเลือดได้
“แม้กระบวนท่านี้จะเรียบง่าย แต่ก็เป็นพื้นฐานของวรยุทธเพลงหอกทั้งหมด ยังเหลืออีกสิบวันก็จะถึงวันประลองนักเรียนใหม่ ผมหวังว่าคุณจะฝึกฝนจนเข้าถึงมันได้ อย่าทำให้ความพยายามของผมต้องสูญเปล่า!”
“ขออาจารย์โปรดวางใจ” เจิ้งหยางพยักหน้าอย่างมุ่งมั่น แต่แล้วก็เงยหน้าขึ้นตั้งคำถาม “อาจารย์ ขอผมทราบชื่อวรยุทธนี้ได้หรือไม่?”
“ชื่อวรยุทธหรือ? ผมยังไม่ได้ตั้งหรอก ถ้าคุณคิดชื่อดีๆได้ก็เรียกไปเหอะ!”
จางเซวียนโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ
แม้เขาจะเรียกมันว่าเพลงหอกเทียบฟ้า แต่นั่นเป็นชื่อที่ใช้โดยรวม มันควรจะมีชื่อเฉพาะสำหรับเรียกแต่ละกระบวนท่า ซึ่งจางเซวียนก็ขี้เกียจจะสนใจ เขาปล่อยให้เป็นหน้าที่ของลูกศิษย์
“ขอรับ!” เห็นนิสัยไม่เรื่องมากของอาจารย์แล้ว เจิ้งหยางพลันข่มความอัศจรรย์ใจไว้และเดินออกจากห้อง
เมื่อเจิ้งหยางออกไป จางเซวียนยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้ว
เขาได้แก้ปัญหาสภาพร่างกายของหวังหยิ่งและหลิวหยางแล้ว พลังของพวกเขาจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างมาก ส่วนหยวนเทาและจ้าวหย่า เมื่อใดที่สภาวะพิเศษของพวกเขาถูกปลุกขึ้นมา ก็จะพัฒนาไปได้อีกไกล เหลือแต่เจิ้งหยางที่ยังรั้งท้าย แต่เมื่อมีวรยุทธเพลงหอกก็ยากจะฟันธงได้ว่าในอีกสิบวันข้างหน้า ลูกศิษย์ของเขาคนไหนที่จะแข็งแกร่งที่สุด
เมื่อเรียกเด็กๆทุกคนมาให้คำชี้แนะเรียบร้อย จางเซวียนก็ออกจากโรงเรียน
“เธอพูดว่า…ตู้เหมี่ยวชวนคุกเข่าอยู่หน้าคฤหาสน์ทั้งวันเลยหรือ?”
“ถึงตู้เหมี่ยวชวนจะชวดตำแหน่งหัวหน้าตระกูลเพราะอาการป่วยส่วนตัว แต่เขาก็ยังทรงอิทธิพลอยู่มากนะ จะมานั่งคุกเข่าอยู่หน้าประตูบ้านคนอื่นทั้งวันแบบนี้ได้หรือ… หรือว่าเจ้าของคฤหาสน์จะเป็นปรมาจารย์ตัวจริง?”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงล่ะก็ พวกเราก็คาดเดากันผิดๆมาตลอดน่ะสิ”
ตอนที่จางเซวียนออกจากคฤหาสน์ เรียนวรยุทธเพลงหอกและถ่ายทอดมันให้เจิ้งหยาง ทั้งเมืองหลวงก็กำลังมีเรื่องโจษจัน
แม้ผู้คนจะยังคงเคลือบแคลงในตัวตนของเจ้าของคฤหาสน์หลังเกิดเรื่องหลิงเทียนหยู่ แต่การคุกเข่าอยู่หน้าประตูทั้งวันของตู้เหมี่ยวชวนก็ได้ปั่นกระแสขึ้นมาอีก
ในฐานะผู้อาวุโสอันทรงเกียรติของหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่อย่างตระกูลตู้… อดีตผู้มีสิทธิเข้าชิงตำแหน่งหัวหน้าตระกูลอย่างตู้เหมี่ยวชวน คงมีแต่ปรมาจารย์ผู้เยี่ยมยุทธเท่านั้นแหละที่คนอย่างเขาจะยอมคุกเข่าอยู่หน้าประตูเช่นนี้
“ไปดูให้เห็นกับตากันเถอะ!”
“พวกเราต้องไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น ถ้าฝ่ายนั้นเป็นปรมาจารย์ตัวจริงล่ะก็ ควรจะรีบฝากเนื้อฝากตัวกับท่านเอาไว้!”
เมื่อข่าวแพร่สะพัดไป ทุกตระกูลอันทรงเกียรติต่างก็นั่งไม่ติด พากันส่งคนของตัวเองออกมาสืบหาความจริง ผู้นำบางคนและหัวหน้าตระกูลบางคนถึงกับมาสังเกตการณ์ด้วยตัวเองทีเดียว
หลัวชงเป็นหนึ่งในนั้น
เขาคือประธานสมาคมช่างตีเหล็กแห่งอาณาจักรเทียนเซวียน ตัวเขาเองเป็นถึงช่างตีเหล็กระดับ 1 ดาว ขั้นกลาง หรือก็คือช่างตีเหล็กที่ยอดเยี่ยมที่สุดในอาณาจักรเทียนเซวียน
แม้แต่ฮ่องเต้เซินจุยยังต้องทุ่มเงินมหาศาลเพื่อซื้ออาวุธจากเขา ขุนนางจำนวนนับไม่ถ้วนต่อแถวเข้าคิวรอซื้ออาวุธเพื่อจะกลับไปมือเปล่า อาวุธทุกชิ้นที่เขาผลิตเป็นของหายาก แถมราคายังสูงลิบลิ่ว
ด้วยตำแหน่งและสถานภาพของเขา แม้แต่ปรมาจารย์ยังต้องเข้าหา ไม่มีความจำเป็นที่เขาจะต้องพยายามเข้าฝากเนื้อฝากตัวกับปรมาจารย์คนใด
แม้อาชีพของช่างตีเหล็กจะมิได้ทรงเกียรติเท่าปรมาจารย์ แต่ก็จัดอยู่ในแถวหน้าของเก้าอาชีพระดับบน มีเกียรติยศศักดิ์ศรีสูงส่ง
แต่ถึงกระนั้น… เขาก็มา
คนอื่นอาจไม่รู้แต่เขารู้ปัญหาของตัวเองดี เมื่อไม่นานมานี้ เขาไม่อาจเข้าถึงสภาวะ ‘นิ่งสงบดังหนองน้ำ’ ทำให้การตีเหล็กของเขาล้มเหลว ชิ้นงานที่ใกล้สำเร็จจะต้องเสียหายในขั้นตอนสุดท้ายทุกครั้งไป
เขาพยายามรังสรรค์ผลงานตามกรรมวิธีเดิมที่เคยใช้ แต่ก็ไม่เป็นผล ตอนแรกเขาคิดว่าปัญหามาจากระดับพลังในร่างกาย จึงตั้งใจพักผ่อนอย่างเต็มที่สองสามวัน ก่อนจะลงมือผลิตชิ้นงานอีกครั้ง แต่ก็…ไม่มีอะไรแตกต่าง
ช่างตีเหล็กมือหนึ่งของอาณาจักรเทียนเซวียนที่ไม่อาจผลิตอาวุธได้อีก…ถ้าเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ไม่เพียงแต่สถานภาพของเขาจะสั่นคลอนเท่านั้น ศัตรูและฝ่ายตรงข้ามก็จะต้องแวะเวียนมาดูให้แน่ใจว่าเขากระเด็นตกจากตำแหน่งเดิมอันทรงเกียรติที่เคยมีอยู่แล้วหรือยัง
ดังนั้น เมื่อได้ข่าวว่าปรมาจารย์มาปรากฏตัวอยู่ในเมือง เขาจึงไม่อาจนิ่งเฉย ต้องแอบมาสืบเสาะดูว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่
ถ้าเป็นเรื่องจริง ไม่ว่าจะเสียอะไรมากมายแค่ไหน เขาก็จะต้องหาทางปลดเปลื้องปัญหานั้นให้ได้
“นั่นตู้เหมี่ยวชวนจริงๆรึนี่!”
หลัวชงจำชายวัยกลางคนที่กำลังคุกเข่าอยู่หัวมุมถนนได้
ตู้เหมี่ยวชวนเป็นผู้อาวุโสที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดของตระกูลตู้ ชนชั้นสูงในเมืองหลวงเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ไม่รู้จักคนผู้นี้ ตู้เหมี่ยวชวนยังเคยว่าจ้างเขาตีดาบให้ด้วย ดังนั้น ถึงแม้จะไม่ได้สนิทสนมกัน แต่หลัวชงก็จำอีกฝ่ายได้
“เขาเป็นคนสุขุมรอบคอบ ที่ยินยอมมานั่งคุกเข่าเช่นนี้แสดงว่าบุคคลในคฤหาสน์จะต้องแก้ปัญหาของเขาได้แน่ ดูเหมือน…เขาจะประทับใจคนผู้นั้นมาก!” หลัวชงประเมินสถานการณ์ด้วยการมองปราดเดียว
ถ้าบุคคลในคฤหาสน์ไม่ได้มีสถานภาพสูงส่งและไม่อาจแก้ปัญหาของเขาได้ล่ะก็ การกระทำแบบนี้ของตู้เหมี่ยวชวนก็รังแต่จะทำให้ตัวเองอับอายขายหน้า ตามที่หลัวชงเข้าใจ ตู้เหมี่ยวชวนไม่มีวันทำเช่นนั้นเด็ดขาดหากไม่แน่ใจจริงๆ
ปัง!
ขณะที่เขากำลังประเมินสถานการณ์ ประตูถคฤหาสน์ก็เปิดออก พ่อบ้านร่างตุ้ยนุ้ยปรากฎตัว
“ปรมาจารย์เชิญท่านเข้าไปข้างใน!” ซุนฉางเอ่ย
“ขอบคุณพ่อบ้านซุนที่เป็นธุระให้ผม…” ตู้เหมี่ยวชวนลิงโลดถึงขีดสุด เขารีบลุกขึ้นยืนและเดินเข้าไป
“ไปกันเถอะ!”
ซุนฉางไม่ใส่ใจความลิงโลดนั้น เขานำทางไป แล้วประตูคฤหาสน์ก็ปิดปังอีกครั้งหนึ่ง
“เขาเข้าไปข้างในแล้ว!”
“ตู้เหมี่ยวชวนเข้าไปข้างในแล้ว เดี๋ยวเราก็จะได้รู้ความจริงกันตอนที่เขากลับออกมา โดยดูจากทีท่าของเขานั่นล่ะ!”
“จริงด้วย รออยู่ตรงนี้กันเถอะ…”
เห็นตู้เหมี่ยวชวนเข้าไปในคฤหาสน์ ฝูงชนด้านนอกก็ไม่รีบร้อนจากไป พวกเขาจับตาดูสถานการณ์อย่างสงสัยใคร่รู้ราวกับเหยี่ยว
หลัวชงก็ไม่รีบร้อนเช่นกัน เขานั่งรออยู่เงียบๆอย่างอดทน
“ผมต้องขออภัยที่เคยคลางแคลงใจในความสามารถของท่านปรมาจารย์ ได้โปรดให้อภัยผมด้วย!”
ตู้เหมี่ยวชวนคุกเข่าลงทันทีเมื่อเข้าไปในห้อง ปราศจากความเย่อหยิ่งเคลือบแคลงที่เคยมีอย่างสิ้นเชิง
“ลุกขึ้นเถอะ!” จางเซวียนเอ่ย
ตอนออกจากโรงเรียน เขาแวะเข้าตรอกใกล้ๆและแปลงร่างเป็น ‘หยางชวน’ เรียบร้อยก่อนจะกลับเข้าคฤหาสน์ เมื่อรู้ว่าความโกรธและไม่พอใจขอตู้เหมี่ยวชวนหมดสิ้นไปแล้ว จึงให้ซุนฉางไปเชิญเขาเข้ามา
“ผมขอให้ปรมาจารย์หยางได้โปรดยกโทษให้กับความไร้มารยาทของผม และโปรดช่วยชีวิตผมด้วย!” ตู้เหมี่ยวชวนยังคงคุกเข่าอยู่กับพื้น
“ผมให้คุณเข้ามาก็แปลว่าจะช่วย ลุกขึ้นเถอะ” จางเซวียนพูดอย่างไม่ยินดียินร้าย
ตู้เหมี่ยวชวนมีสีหน้าแช่มชื่นอย่างเห็นได้ชัด เขารีบลุกขึ้นยืน
ตู้หยวนซึ่งยืนอยู่ด้านหลังบิดามองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างงงงัน
อาการป่วยของท่านพ่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอดีตหรือเปล่า? เป็นไปได้หรือไม่ว่าปรมาจารย์ท่านนี้สามารถเยียวยาความทุกข์ทรมานที่ยังหลงเหลืออยู่ในร่างกายของพ่ออันเนื่องมาจากการเจ็บป่วยครั้งนั้นได้?
“คุณรู้ใช่ไหมว่าเหตุใดผมจึงเรียกคุณว่าสัตว์?” จางเซวียนมองหน้าเขา
“ผมเข้าใจ” ตู้เหมี่ยวชวนตอบ
ซุนฉางกับตู้หยวนยังเหวออยู่
ก่อนหน้านี้ปรมาจารย์หยางเพิ่งเรียกผู้อาวุโสตู้ว่าสัตว์ ตอนแรกพวกเขานึกว่าปรมาจารย์ดูหมิ่นอีกฝ่าย แต่ดูๆไป ท่าจะไม่ใช่อย่างที่เห็นเสียแล้ว
ทั้งคู่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดตู้เหมี่ยวชวนจึงไม่โกรธที่ถูกเรียกว่าสัตว์ แถมยังดูเหมือนจะตื่นเต้นเสียอีกที่ได้ยินเช่นนั้น แต่ความสับสนก็อยู่ไม่นานนักเมื่อเสียงของจางเซวียนดังขึ้น “เมื่อสิบปีที่แล้วคุณล้มป่วย วรยุทธเสื่อมถอยอย่างฮวบฮาบ ถ้าผมกล่าวไม่ผิด คุณ…ถ่ายเลือดหมาป่าหิมะเข้าไปในร่างของคุณ เพื่อหวังจะปรับเปลี่ยนสายเลือด!”
“ด้วยเหตุนี้คุณจึงได้รับพิษจากหมาป่าหิมะ เวลาเที่ยงตรงของทุกวัน ขนสีขาวจะงอกขึ้นปกคลุมทั่วตัว คุณจะกลายร่างเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ทั้งมนุษย์และสัตว์ เอาเป็นว่าเหมือนสัตว์ป่าก็แล้วกัน ผมพูดถูกหรือไม่?”
“ขอรับท่าน ปรมาจารย์หยางพูดได้ถูกต้องทั้งหมด!”
ตู้เหมี่ยวชวนรีบพยักหน้า
แม้เขาจะรู้ว่าปรมาจารย์อ่านขาดอาการป่วยของเขาออกตั้งแต่ตอนที่พูดว่าเขาเป็นสัตว์ แต่เมื่อปรมาจารย์ระบุได้ชัดขนาดนี้ เขาก็ยิ่งอัศจรรย์ใจ
ในฐานะปรมาจารย์ ความสามารถในการหยั่งรู้ของเขาช่างน่าทึ่ง แม้แต่นายแพทย์หยวนหยู่ยังไม่อาจมองเห็นได้เช่นนี้
“นี่มัน…”
“เลือดหมาป่าหิมะ? ขนสีขาวงอกขึ้นทั่วร่าง?”
ได้ยินจางเซวียนพูด ทั้งซุนฉางและตู้หยวนก็ถึงบางอ้อ
โดยเฉพาะฝ่ายหลังถึงกับตัวสั่นเทิ้ม
ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าเหตุใดท่านพ่อจึงปลีกตัวไปดื่มน้ำชาอยู่ในลานบ้านทุกเที่ยงวันและปฏิเสธไม่ให้ใครเข้าพบ เขาคิดว่านั่นคือความเคยชินที่บิดาของตนปฏิบัติมาแรมปี ไม่คาดคิดเลยว่าเหตุผลที่แท้จริงเป็นเช่นนี้…
มีขนสีขาวงอกปกคลุมทั่วร่างทุกเที่ยงวัน… ท่านพ่อกลัวว่าจะมีใครพบเห็นจึงต้องปลีกตัวไป คนที่เป็นแบบนี้…ถ้าไม่ใช่สัตว์ แล้วจะเป็นอะไรอื่นได้?
ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดเมื่อปรมาจารย์หยางพูดคำนั้นออกมา นอกจากท่านพ่อจะไม่เดือดดาลแล้ว ยังยอมคุกเข่าอยู่หน้าประตู…เป็นเช่นนี้นี่เอง
“หมาป่าหิมะ สัตว์ป่าดุร้ายระดับ 7 มีขนสีขาว มีพลังและความแข็งแกร่งเท่ากับนักรบขั้น 7-ทงฉวน และขึ้นชื่อในเรื่องความเร็ว
เลือดของมันเป็นหนึ่งในส่วนประกอบหลักของยาเม็ดทงฉวน ซึ่งช่วยเปิดสภาวะร่างกายให้โล่งและยกระดับวรยุทธของผู้นั้น คุณคงจะได้อ่านเคล็ดลับบางอย่างที่ทำให้เข้าใจผิดว่าถ้าถ่ายเลือดของหมาป่าหิมะเข้ามาในร่างกายแล้ว ระดับวรยุทธของคุณจะพุ่งพรวด!” จางเซวียนพูดเนิบๆ ไม่ใส่ใจอาการพรั่นพรึงของทุกคน
“ขอรับ!” ตู้เหมี่ยวชวนยิ้มอย่างขมขื่นขณะพยักหน้ายืนยันคำพูดของปรมาจารย์
เป็นอย่างที่ปรมาจารย์หยางพูด เขาได้อ่านเคล็ดลับที่บอกรายละเอียดว่าหากถ่ายเลือดของหมาป่าหิมะเข้าร่างได้สำเร็จ เขาจะสามารถเข้าถึงวรยุทธขั้น 7-ทงฉวนได้ทันที
ใครจะรู้ว่านอกจากจะฝันสลายแล้ว ยังเป็นจุดเริ่มต้นของฝันร้ายอีกด้วย
ขนสีขาวปกคลุมทั่วร่างทุกวัน ทำให้เขาไม่อาจเป็นได้ทั้งมนุษย์และสัตว์ แม้จะกินเวลาเพียงชั่วโมงเดียว แต่ความทุกข์ทรมานที่เขาต้องเผชิญนั้นเกินจะจินตนาการได้
ต้องมีความทรหดอดทนขนาดไหนจึงสามารถอยู่กับสภาพนั้นมาได้เป็นสิบปี มิฉะนั้นคงจะฆ่าตัวตายเพราะความสิ้นหวังไปแล้ว
“ตอนนั้นผมยังไม่มีวุฒิภาวะมากพอ แยกแยะจริงเท็จไม่ออก เชื่อเคล็ดลับนั่นง่ายเกินไป…ปรมาจารย์หยาง ผมขอวิงวอนให้ท่านช่วยชีวิตผมด้วย!” ตู้เหมี่ยวชวนคารวะ
มาคิดแล้ว ก็รู้สึกว่าตัวเองในเวลานั้นช่างโง่เขลานัก
แค่ไปพบเคล็ดวิชาโบร่ำโบราณโดยบังเอิญก็คิดว่านั่นคือสมบัติล้ำค่า ถึงกับเดินทางเสาะหาไปทั่วดินแดนรกร้าง ทำทุกวิถีทางเพื่อจะฆ่าหมาป่าหิมะและนำเลือดของมันมา เขาคิดว่าระดับวรยุทธของตัวเองจะพุ่งพรวดและทำให้ตัวเองได้ขึ้นเป็นหัวหน้าตระกูลคนต่อไป ไม่เคยคาดคิดเลยว่าจะต้องตกอยู่ในสภาพนี้
ถ้าไม่ใช่โง่เง่า แล้วจะเรียกว่าอะไร?
“แยกแยะจริงเท็จไม่ออกอย่างนั้นหรือ เคล็ดลับที่คุณได้มานั่น…เป็นของจริงนะ” จางเซวียนพูด
“เป็นของจริงอย่างนั้นหรือ?” ตู้เหมี่ยวชวนตัวสั่นเมื่อได้ยินเช่นนั้น “เป็นไปได้อย่างไร? ถ้ามันเป็นของจริง แล้วเหตุใดผมจึงตกอยู่ในสภาพนี้…”
ถ้าทุกอย่างเป็นของจริง เหตุใดเขาจึงตกอยู่ในสภาพที่ต้องหลบลี้หนีหน้าผู้คนมาหลายปี แถมระดับวรยุทธยังตกจากขั้นพี่เชวี่ยมาอยู่ในขั้นติ่งลี่ แล้วก็แป้กอยู่ตรงนั้นมาตลอดเล่า?