Skip to content

Library Of Heaven’s Path 162

ตอนที่ 162 ขั้นสอง?

“ยิ่งไปกว่านั้น การวาดภาพยังเชื่อมโยงใกล้ชิดกับสภาวะจิตใจของผู้วาด หากปราศจากแนวคิดทางศิลปะ ไม่ว่าภาพว่าจะสวยงามแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์ เทคนิคมังกรคู่ผงาดฟ้าได้แบ่งภาพวาดออกเป็นสองส่วน แยกแนวคิดทางศิลปะออกเป็นสองด้าน ดังนั้นแม้ภาพทั้งสองฝั่ง หรือทั้งสองแนวคิดจะมาบรรจบกันได้อย่างสมบูรณ์ที่จุดกึ่งกลาง ก็ยังยากที่จะเข้าถึงขั้นสาม”

ไม่ว่ามือซ้ายกับมือขวาจะทำงานสอดคล้องกันได้ดีเพียงไร ผู้วาดก็ยังต้องแยกภาพวาดออกเป็นสองฝั่ง ซึ่งก็แน่นอนว่าแนวคิดทางศิลปะย่อมอ่อนด้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับผู้ที่ใช้มือข้างเดียวในการวาดทั้งภาพ

“การโอ้อวดเทคนิคของตัวเอง อาจทำให้สูญเสียเป้าหมายที่แท้จริงของการวาดภาพไป… หึ…หน้าไหว้หลังหลอกยิ่งนัก” หลังจากอธิบายจบ ปรมาจารย์หยวนหยู่ก็ส่ายหน้า

เมื่อหายตะลึงแล้ว ความรู้สึกที่เขามีต่อจางเซวียนก็ยิ่งแย่ลง

สำหรับเขา จางเซวียนคือคนยโสโอหังและไร้สัมมาคารวะ ไม่เพียงแต่จะทำให้เขาต้องรอทั้งที่ตกลงจะจัดงานขึ้นในตอนเที่ยง แต่ยังต้องการปรับสภาวะจิตใจก่อนวาดภาพอีกต่างหาก ทำให้ต้องยืดเยื้อเสียเวลาไปอีกถึงสี่ชั่วโมง และจนถึงตอนนี้ แม้กระทั่งจะแสดงทักษะการวาดภาพของตัวเอง ก็ยังเลือกที่จะโอ้อวดเทคนิคแทนที่จะให้ความสำคัญกับการรังสรรค์งานให้ดีที่สุด นับว่าไร้ซึ่งจิตวิญญาณในการทำงานอย่างสิ้นเชิง

หากปราศจากสภาวะจิตใจที่สุขุมและรักสันติ คิดแต่จะยกตนข่มท่าน ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะสร้างผลงานชิ้นเอกขึ้นได้ ต่อให้มีทักษะล้ำเลิศเพียงใดก็ตาม ไม่มีทางที่ผู้นั้นจะกลายเป็นปรมาจารย์

“น้องจางยังเด็กนัก ก็เป็นธรรมดาที่เขาย่อมอยากให้ผู้อื่นประทับใจ…” ปรมาจารย์ลู่เฉินยิ้มเจื่อนๆอย่างเข้าใจการแสดงความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมาของเพื่อนเก่า

อย่างไรฝ่ายนั้นก็เป็นคนหนุ่ม เป็นธรรมดาที่ย่อมอยากโอ้อวดเทคนิคของตัวเอง เราไม่อาจคาดหวังให้เขาเป็นอย่างพวกเราที่เท้าข้างหนึ่งอยู่ในหลุมศพแล้วได้

“การสร้างสรรค์ผลงานให้ดีที่สุดคือวิธีการที่เหมาะสมที่สุดในการทำให้ผู้อื่นประทับใจ เทคนิคมังกรคู่ผงาดฟ้าเป็นวิธีการแบบที่จิตรกรข้างถนนใช้ในการวาดภาพทีละมากๆ ถ้าเขาไม่เลิกนิสัยแบบนี้ ก็ยากที่จะทำสิ่งยิ่งใหญ่ให้สำเร็จได้ในอนาคต” ปรมาจารย์หยวนหยู่ใส่ไม่ยั้ง

“เอ่อ…” ได้ยินเช่นนั้น หวงหวี่กับไป๋ซวินเงียบกริบ ทั้งคู่มิได้มีประสบการณ์ในการวาดภาพดังเช่นผู้อาวุโสตรงหน้า จึงไม่อาจกล่าวแย้งถ้อยคำของเขาได้

ขณะที่ลู่เฉินกำลังจะพูดบางอย่าง ไป๋ซวินโหวกเหวกขึ้น “ดูสิ เขากำลังจะเชื่อมทั้ง 2 ฝั่งเข้าด้วยกันแล้ว…”

ทุกคนหันขวับไปสนใจภาพวาด จริงอย่างไป๋ซวินพูด พู่กันทั้งสองด้านของจางเซวียนกำลังเคลื่อนเข้าหากัน เริ่มต้นเชื่อมทั้งสองฝั่ง

“ไม่… เขาไม่มีทางเชื่อมภาพทั้งสองฝั่งได้สำเร็จหรอก” มองปราดเดียว ปรมาจารย์หยวนหยู่ก็ออกความเห็น

ภาพวาดทั้งสองฝั่งดูเหมือนจะเชื่อมเข้าด้วยกัน ทว่าแต่ละฝั่งนั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทั้งสีสัน ความหมายที่ซ่อนอยู่และสไตล์การวาด แม้จางเซวียนจะตั้งใจเชื่อมทั้งสองฝั่งเข้าด้วยกัน แต่มันก็จะกลายเป็นสองความแตกต่างบนผ้าใบผืนเดียวแทนที่จะรวมกันเป็นเอกภาพสมบูรณ์

ครึ่งหนึ่งสดใสในขณะที่อีกครึ่งทึมทะมึน ต่อให้เขาอยากรวมมันเข้าด้วยกัน อย่างไรก็ต้องล้มเหลว

“อาจจะเป็นไปไม่ได้ที่จะเชื่อมมัน…” ปรมาจารย์ลู่เฉินตั้งใจจะพูดให้จางเซวียนได้ยิน แต่เมื่อเห็นสถานการณ์ตรงหน้าเขาก็ปิดปากเงียบ สีหน้าหมองคล้ำไปโดยไม่รู้ตัว เกร็งจนเผลอดึงเคราสองสามเส้นออกมา

แม้จะไม่อยากยอมรับ แต่บนพื้นฐานของความเข้าใจในการวาดภาพที่มี เขาเห็นแล้วว่าภาพวาดทั้งสองส่วนนั้นเข้ากันไม่ได้ มันดูราวกับเป็นโลกคู่ขนานที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนที่จะมาบรรจบกัน หรือจะเป็นอย่างพี่หยวนหยู่ว่า น้องจางก็แค่คนหน้าไหว้หลังหลอก?

แม้เขาจะเคยพบจางเซวียนแค่ครั้งเดียว แต่ก็รู้สึกว่าฝ่ายนั้นเป็นคนน่าคบ ถ่อมตัว และสุภาพ

แท้ที่จริงจางเซวียนก็ไม่ได้เป็นคนเช่นนั้น

ถ้านี่คือตัวตนที่แท้จริงของเขา ก็ยากที่จะประสบความสำเร็จด้านการวาดภาพในอนาคต…

“ถ้าเขาเชื่อมทั้งสองฝั่งเข้าด้วยกันไม่ได้ ก็แน่นอนว่าล้มเหลว นี่เราแกร่วรอมาตลอดทั้งบ่ายเพื่อการนี้น่ะหรือ…” ปรมาจารย์หยวนหยู่ส่ายหน้าอย่างผิดหวัง

ตอนลู่เฉินเล่าเรื่องจางเซวียน เขาเปี่ยมไปด้วยความคาดหวังในตัวชายหนุ่ม คิดว่าจิตรกรอัจฉริยะได้ปรากฏตัวขึ้นแล้ว และคงจะเป็นความหวังของศิลปะการวาดภาพที่จะรุ่งเรืองในอาณาจักรต่อไป แต่หลังจากได้เจอตัว ก็รู้ว่านี่เป็นเพียงคนหน้าไหว้หลังหลอกคนหนึ่งเท่านั้น

นอกจากไร้ความสามารถ ยังเลือกที่จะโอ้อวดว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้วยการใช้เทคนิคมังกรคู่ผงาดฟ้าแทนที่การวาดอย่างเรียบง่าย แล้วดูสิว่าเกิดอะไรขึ้น ภาพวาดทั้งสองฝั่งนั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง ไม่มีทางที่จะเชื่อมเข้าหากันได้ อยากรู้นักว่าคุณจะแก้ตัวกับความอัปยศนี้อย่างไร

ต่อให้อยากจะโอ้อวด ก็ควรจะอวดในสิ่งที่ตัวเองมีความสามารถ มิฉะนั้นก็จะเป็นแค่การโชว์โง่

ก็ชัดเจนแล้วว่าจางเซวียนคนนี้เป็นหนึ่งในคนหน้าโง่พวกนั้น

ปรมาจารย์หยวนหยู่ถอนหายใจและค่อยๆหลับตาลง ไม่อยากมองอีกต่อไป

ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากมอง แต่กลัวว่าจะควบคุมอารมณ์ไว้ไม่ได้เมื่อต้องเห็นอีกฝ่ายสร้างความอัปยศให้ตัวเองด้วยการเชื่อมภาพวาดทั้งสองฝั่งไม่สำเร็จ

“ฮึ?”

“เดี๋ยว นี่มัน…”

“เป็นไปได้อย่างไร?”

ทันทีที่เขาหลับตา ก็ได้ยินเสียงอุทานอย่างตกใจ ราวกับว่าคนอื่นๆได้เห็นสิ่งที่ไม่คาดฝัน

เขาขมวดคิ้วและลืมตาขึ้นอีกครั้ง เห็นปรมาจารย์ลู่เฉิน หวงหวี่ และไป๋ซวินอึ้งตะลึงตะลานกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ทำราวกับเห็นผี

“มีอะไรล่ะ? ก็แค่เขาเชื่อมปลายของทั้งสองฝั่งเข้าด้วยกันไม่ได้ ไม่เห็นจะต้องตกใจขนาดนั้น…”

ด้วยความงงงัน ปรมาจารย์หยวนหยู่จ้องอีกครั้ง นัยน์ตาของเขาหรี่ลงทันที ทั้งร่างโงนเงน “นี่…นี่…มันเกิดอะไรขึ้น?”

เขาประหลาดใจเช่นกัน

ทางด้านขวาของเขา ตรงพื้นที่ที่ส่วนปลายของภาพเขียนทั้งสองฝั่งควรจะมาบรรจบกัน จางเซวียนได้สะบัดพู่กันอย่างหนักหน่วงเพื่อสร้างกำแพงขึ้น เป็นปราการที่แบ่งแยกเอกลักษณ์ของทั้งสองฝั่งออกจากกัน

การแบ่งแยกโดยกำแพงนั้นได้ขจัดเอาความไม่เข้ากันของภาพเขียนทั้งสองด้านออกไป ตอนนี้ความตรงกันข้ามกันของทั้งคู่ได้ถูกกลืนเข้าหากัน ราวกับสองโลกที่แตกต่างแต่ไม่ห่างไกล

“มันคือลานบ้านที่นี่…” ไป๋ซวินอุทาน

เขารู้ว่าภาพวาดแสดงอะไร มือซ้ายของจางเซวียนวาดภาพลานบ้านที่พวกเขายืนอยู่ มีคนกำลังวาดภาพ มีคนกำลังออกความเห็นเกี่ยวกับภาพวาด และทิวทัศน์ดูสงบเยือกเย็น ส่วนด้านขวาเป็นลานบ้านที่เต็มไปด้วยมวลหมู่ดอกไม้และฝูงนกเริงระบำ มีสัตว์สองสามตัวเริงร่าอยู่ตรงกลาง เสียงจั๊กจั่นเรไรสดใสนัก ราวกับสรวงสวรรค์แห่งธรรมชาติที่ปราศจากมนุษย์

ปลายด้านหนึ่งคือโลกมนุษย์ ส่วนปลายอีกด้านหนึ่งคือโลกของธรรมชาติ ด้านหนึ่งเงียบสงบ อีกด้านหนึ่งชุลมุนวุ่นวาย สองวิวทิวทัศน์ สองสภาวะจิตใจ สองอารมณ์ความรู้สึก ทั้งหมดปรากฏขึ้นอย่างงดงามด้วยกำแพงนั้น ต่างผสมผสานความแตกต่างทั้งสองเข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว

“เส้นแบ่งจากสวรรค์ คือเส้นแบ่งจากสวรรค์อย่างแท้จริง…” ปรมาจารย์ลู่เฉินชมเชย

ก่อนหน้านี้ เขาเห็นพ้องกับปรมาจารย์หยวนหยู่ว่าภาพวาดนี้ต้องสูญเปล่าอย่างแน่นอน ไม่เคยคิดว่าความแตกต่างของทั้งสองด้านจะสอดประสานกันได้อย่างลงตัวด้วยกำแพงนั้น ทำให้ผู้ชมภาพได้เปรมปรีดิ์กับความสวยงามและความน่าอภิรมย์อย่างไม่น่าเชื่อ

ความอึกทึกในความเงียบสงัด และความเงียบสงัดในความอึกทึก

กำแพงนั้นคือเส้นแบ่งจากสวรรค์อย่างแท้จริง

กำแพงชิ้นเดียวเปลี่ยนโลกไปอย่างสิ้นเชิง คุณภาพของภาพวาดนั้นก้าวไปสู่ขั้นใหม่ในทันใด

“เหลือเชื่อ…”

หลังจากเงียบงันกันไปครู่ใหญ่ ปรมาจารย์หยวนหยู่ไม่อาจเอื้อนเอ่ยสิ่งใดได้นอกจากคำยกย่อง

อันที่จริงเขาก็ไม่คาดคิดว่ากำแพงจะมีอานุภาพถึงเพียงนั้น

ถ้าแนวคิดทางศิลปะของสิ่งที่อยู่ทั้งสองฟากกำแพงเป็นแนวคิดเดียวกัน ภาพเขียนนั้นก็ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง “พวกเราทำตัวเองขายหน้าเสียแล้ว!”

หลังจากเติมกำแพงเข้าไปภาพวาดนั้นก็เสร็จสมบูรณ์ จางเซวียนวางพู่กันและหัวเราะหึๆ “โปรดชี้แนะงานของผมด้วย”

เขาเพิ่งจะเรียนการวาดภาพ คิดไม่ออกแม้แต่น้อยว่าควรจะวาดอะไร จึงวาดห้องนั่งเล่นที่ทุกคนอยู่ ณ เวลานั้น รวมถึงลานบ้านที่อยู่ใกล้ๆ

“ขอผมดูหน่อย!”

ปรมาจารย์ลู่เฉินเดินเข้ามาและก้มหน้าพิจารณาภาพ

หวงหวี่กับไป๋ซวินรี่เข้ามาเช่นกัน

ก่อนหน้านี้พวกเขายืนห่างออกไปเพราะไม่อยากรบกวนจางเซวียน ดังนั้นจึงไม่อาจเห็นภาพวาดได้อย่างชัดเจนและมองไม่ออกว่าจางเซวียนกำลังวาดสถานที่นี้ เมื่อได้เข้ามาดูใกล้ๆ จึงประทับใจยิ่งนัก

ภาพวาดลานบ้านนั้นสดใสและเหมือนมีมีชีวิต ด้วยฝีแปรงของจางเซวียน ทำให้ภาพสวยงามเหล่านั้นดูราวกับจะลอยเด่นออกมาจากกระดาษ

“งามอะไรเช่นนี้…” นัยน์ตางดงามของหวงหวี่เป็นประกายด้วยความชื่นชม เธอเอ่ยคำสรรเสริญออกมาโดยไม่รู้ตัว

แม้ภาพวาดทั้งสองฝั่งจะถูกวาดขึ้นพร้อมกัน แต่ทุกรายละเอียดก็ปราศจากข้อบกพร่อง แม้โต๊ะกับเก้าอี้ก็มองเห็นได้อย่างชัดเจน

ความรู้สึกของผู้คนที่อยู่ในภาพวาดก็เด่นชัด ราวกับจางเซวียนได้ผลักผู้คนจากโลกแห่งความเป็นจริงเหล่านั้นเข้าไปอยู่ในภาพวาด มันงดงามอลังการอย่างไม่น่าเชื่อ

“น่าเสียดายนัก…”

หลังจากกวาดตามอง ปรมาจารย์หยวนหยู่ได้แต่ส่ายหน้า ไม่พูดอะไร แม้แต่ปรมาจารย์ลู่เฉินก็ยังแสดงความเสียดายออกมา

“ภาพวาดนี้สวยงามมาก จะมีสิ่งใดผิดพลาดได้หรือ?” เห็นสองผู้อาวุโสถอนหายใจ ไป๋ซวินถามอย่างงงงัน อันที่จริงเขาไม่รู้สึกถึงความผิดพลาดใดๆเลย ไป๋ซวินมองว่าภาพนี้ก็ไม่ต่างจากสองภาพที่ผ่านมา

“ภาพวาดนี้เป็นการใช้ทักษะที่ครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่มีความผิดพลาดแม้แต่น้อย ทั้งในแง่ของการวาดภาพ การเปรียบเทียบคู่ตรงข้าม การเติมเต็ม… บอกได้เลยว่าเป็นงานชั้นเลิศ แต่นั่นแหละ อย่างที่ผมพูดไปแล้ว การใช้สองมือทำงานพร้อมกันอาจทำให้ผู้วาดใส่ใจรายละเอียดมากเกินไปและละเลยแนวคิดทางศิลปะ! ซึ่งหากปราศจากแนวคิดทางศิลปะ ภาพวาดก็จะอยู่ในขั้น 2, ผืนผ้าใบแห่งจิตวิญญาณเท่านั้น ภาพนี้ยังห่างไกลนักจากการเข้าถึงขั้นการถ่ายทอดเจตนารมณ์”

ปรมาจารย์ลู่เฉินส่ายหน้า

ภาพวาดนั้นมี 4 ลำดับขั้น คือการพรรณนาเสมือนจริง, ผืนผ้าใบแห่งจิตวิญญาณ, การถ่ายทอดเจตนารมณ์ และ ประหนึ่งหยุดลมหายใจ

ภาพวาดของหยวนหยู่และลู่เฉินอยู่ในขั้น 3 ที่แนวคิดของจิตรกรได้ถูกถ่ายทอดเข้าไปในภาพวาด ผู้ที่ได้เห็นแม้เพียงแวบเดียวก็จะรู้สึกสดชื่น

ภาพของจางเซวียนก็ไร้ที่ติในแง่ของภาพรวม, โครงสร้าง หรือฝีมือ แต่ก็น่าเสียดายที่ขาดความรู้สึกชนิดนี้ไป

หากปราศจากแนวคิดทางศิลปะ อย่างมากที่สุดภาพวาดนั้นก็เข้าถึงได้เพียงขั้น 2, ผืนผ้าใบแห่งจิตวิญญาณ ดังนั้นจึงไม่มีทางจะเป็นผลงานชิ้นเอกไปได้

“น่าเสียดายนัก แต่น้องจางยังเยาว์วัย เมื่อต่อไปเขาอายุเท่าพวกเรา คงสร้างสรรค์ภาพวาดขั้น 3 ได้อย่างง่ายดาย หรือแม้แต่ขั้น 4 เสียด้วยซ้ำ!” ปรมาจารย์ลู่เฉินปลอบโยน

แม้ภาพวาดจะห่างไกลจากขั้น 3 แต่เขาก็ประทับใจงานของจางเซวียนอย่างไม่มีข้อสงสัย จางเซวียนยังอายุไม่เต็มยี่สิบเสียด้วยซ้ำ แต่ก็สามารถรังสรรค์ภาพวาดที่ทำให้เขาทึ่งได้

“เขามีทักษะที่โดดเด่นอย่างแท้จริง!” ปรมาจารย์หยวนหยู่พยักหน้าเป็นการยอมรับ แต่ก็หันไปมองจางเซวียนและเอ่ยติง “แต่นั่นแหละ ถึงอย่างไรก็ถ่อมตัวไว้จะดีกว่า”

ด้วยเหตุการณ์ทั้งหลายแหล่ทำให้ปรมาจารย์หยวนหยู่ไม่ปลื้มจางเซวียนนัก แต่ก็เป็นความจริงที่ว่าภาพวาดนั้นมีคุณภาพเยี่ยม หากไม่นับประเด็นที่ขาดแนวคิดทางศิลปะไป ก็ไม่อาจหาข้อบกพร่องในฝีมือของเขาได้ ดูเหมือนว่าชายหนุ่มคนนี้จะไม่ใช่ 18 มงกุฎ เขามีความสามารถอย่างแท้จริง

แต่นอกเหนือจากนั้นแล้ว ปรมาจารย์หยวนหยู่ไม่ชอบในสิ่งที่อีกฝ่ายทำให้วุ่นวาย เพียงเพราะว่าตัวเองมีความสามารถ อย่างเช่นการปล่อยให้พวกเขารออยู่แสนนานกว่าจะเริ่มต้นวาดภาพได้

“ถ่อมตัว?” เมื่อได้ยินคำนี้จากอีกฝ่าย จางเซวียนนึกได้ว่าเขาได้ปล่อยให้คนเหล่านี้รอแสนนาน และอีกฝ่ายไม่พอใจกับการกระทำของเขา เขายิ้มอย่างขัดเขิน “ผมต้องขออภัยด้วยที่ปล่อยให้ทุกคนรอนานเช่นนี้!”

“เอาเถอะ!” เห็นอีกฝ่ายเอ่ยขอโทษด้วยใจจริง ปรมาจารย์หยวนหยู่พยักหน้าอย่างพอใจ “คุณมีพื้นฐานที่ดี หากได้ขัดเกลาทักษะการวาดภาพและเก็บเกี่ยวประสบการณ์มากกว่านี้ ในไม่ช้าคุณจะต้องวาดภาพขั้น 3 ได้อย่างแน่นอน อย่าปล่อยให้พรสวรรค์นี้สูญเปล่าไปเพราะความหลงตัวเอง!”

“เป็นเช่นนั้น ในการรังสรรค์ภาพวาดที่มีแนวคิดทางศิลปะ ผู้วาดจะต้องมีความเข้าใจโลกรอบตัวอย่างลึกซึ้ง รวมถึงใส่ใจทุกสิ่งที่อยู่รอบข้าง” ปรมาจารย์ลู่เฉินแนะนำ

“ขอบคุณท่านสำหรับคำชี้แนะ!” รู้ว่าอีกฝ่ายมีความปรารถนาดี จางเซวียนจึงพยักหน้ารับ

“เอาล่ะ ตอนนี้เราวาดภาพกันทุกคนแล้ว พวกเธอทั้งสองคนเริ่มประเมินผลงานได้เลย…” เห็นจางเซวียนน้อมรับคำแนะนำอย่างถ่อมตัว ลู่เฉินไม่ติดใจเอาความอีกต่อไป เขาหันไปเร่งหวงหวี่กับไป๋ซวิน แต่ทันใดนั้น เสียงตื่นตระหนกของไป๋ซวินก็ดังขึ้น

“นี่ไม่ใช่แล้ว…ปรมาจารย์จาง เหตุใดผู้คนกับฝูงนกในภาพของท่าน…จึงไม่มีดวงตาเล่า?”

ก่อนหน้านี้ ทุกคนสนใจโครงสร้างโดยรวมและแนวคิดของภาพวาดมากกว่ารายละเอียด แต่เมื่อมองภาพนั้นอีกครั้ง ก็ได้เห็นว่าฝูงนกและผู้คนในภาพวาดนั้นไม่มีดวงตาจริงๆ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version