Skip to content

Library Of Heaven’s Path 163

ตอนที่ 163 ผมวาดอีกภาพก็ได้

ไม่มีดวงตาหรือ?

เขาลืมวาด หรือมีเหตุผลอื่นใดซ่อนอยู่

ทุกคนสงสัย

แต่ไม่ว่าจะเป็นผู้คนหรือฝูงสัตว์ ส่วนของดวงตาก็ไม่ได้โดดเด่นนัก ภาพวาดยังคงดูสมบูรณ์แม้จะไม่มีการวาดดวงตาลงไป

แต่ภาพวาดที่ไม่สมบูรณ์เช่นนี้จะเรียกว่าภาพวาดขั้น 2 ได้อีกหรือ?

“น้องจาง นี่มัน…” ลู่เฉินมองจางเซวียนอย่างงงงันขั้นสุด

“เอ่อ ผมเติมลงไปตอนนี้ก็ได้…” จางเซวียนยิ้ม พู่กันเริ่มร่ายรำบนผืนผ้าใบอีกครั้ง คราวนี้เป็นการเติมเต็มส่วนที่ขาดหาย

ปิ๊ง!

เมื่อวาดดวงตาลงไปก็ราวกับภาพวาดนั้นถูกปลุกขึ้นมา ทุกคนได้รับความรู้สึกมหัศจรรย์นั้นกันถ้วนหน้า ผู้คนและฝูงสัตว์ในภาพดูราวกับมีชีวิตขึ้นทันใด เหมือนกับว่าหากสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นขยับตัวแม้เพียงก้าวเดียว ก็จะหลุดออกมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงได้

“นี่…?”

เห็นความเปลี่ยนแปลงเช่นนั้น ปรมาจารย์ลู่เฉินกับปรมาจารย์หยวนหยู่ประหลาดใจนัก นัยน์ตาของทั้งคู่เบิกโพลงอย่างไม่อยากจะเชื่อ

จิ๊บๆ!

ก่อนที่ใครจะได้พูดอะไร เสียงของนกคีรีบูนก็ดังขึ้นในลานบ้าน นกคีรีบูนฝูงหนึ่งบินตรงเข้าหาภาพวาดอย่างเริงร่าและเต้นระบำอยู่บนนั้น

“ประหนึ่งหยุดลมหายใจรึ? นี่คือภาพวาดขั้น 4, ประหนึ่งหยุดลมหายใจอย่างนั้นรึ?” ไป๋ซวินเอ่ยถาม เขามองสถานการณ์ตรงหน้าอย่างงงงัน

ปรมาจารย์ลู่เฉินได้แนะนำลำดับขั้นของภาพวาดให้กับทุกคนในที่นี้แล้ว

การที่ฝูงนกถูกภาพวาดดึงดูดให้เข้าไปวนเวียนตรงนั้น ก็แสดงว่าภาพวาดอยู่ในขั้น 4, ประหนึ่งหยุดลมหายใจ

ปรมาจารย์ทั้งสองเพิ่งพูดมิใช่หรือว่าอย่างมากภาพนี้ก็อยู่ในขั้น 2?

แล้วเหตุใด…จู่ๆก็พรวดพราดไปขั้น 4 ได้?

“หรือว่า…เป็นเพราะดวงตาพวกนั้น?”

หวงหวี่ยกมือขึ้นปิดปากด้วยความตกใจ ร่างสั่นสะท้านด้วยความตื่นตะลึง

แค่คิดว่าเธอมีโอกาสได้เฝ้าดูการรังสรรค์ผลงานชิ้นเอกขั้น 4…เท่านี้ก็เป็นเรื่องที่ไม่เคยนึกฝันแล้วว่าจะเป็นไปได้

ปิ๊ง!

หวงหวี่ยังไม่ทันหายตะลึง ฝูงนกคีรีบูนที่อยู่ในภาพวาดก็ทำตัวสั่นก่อนจะบินออกมา นกฝูงนั้นบินออกมาเริงระบำรวมกับฝูงนกที่มีชีวิตจริงๆอยู่สองสามรอบก่อนจะสลายกลายเป็นจุณ

สิ่งมีชีวิตอื่นๆก็ดูเหมือนจะทนไม่ไหว ต่างพากันกระโดดออกมาจากผืนผ้าใบ ยิ้มให้ผู้ที่เฝ้ามองพวกมัน และประสานเท้าหน้าคารวะก่อนจะค่อยๆเลือนหายไป

“นี่…นี่ไม่ใช่ภาพวาดขั้น 4 แล้ว…”

ปรมาจารย์ลู่เฉินอ้าปากหวอราวกับจะหย่อนไข่ไก่ลงไปได้ เขาตกตะลึงอยู่นานกว่าจะหลุดปากออกมา “นี่มัน…ภาพเขียนขั้น 5…การรังสรรค์จิตวิญญาณ!”

“การรังสรรค์จิตวิญญาณ?” หวงหวี่กับไป๋ซวินงุนงง

ภาพวาดมีแค่สี่ขั้นไม่ใช่หรือ? แล้วขั้น 5 มาจากไหน?

มันเกิดอะไรขึ้น?

ทั้งคู่ออกจะงุนงงกับสิ่งที่เห็น

“การพรรณนาเสมือนจริง, ผืนผ้าใบแห่งจิตวิญญาณ, การถ่ายทอดเจตนารมณ์ และ ประหนึ่งหยุดลมหายใจ…ทั้งหมดนี้คือลำดับขั้นแบบทั่วไปของภาพวาด ซึ่งตกทอดกันมารุ่นสู่รุ่น แต่อันที่จริงแล้วมีอีกขั้นหนึ่งที่เหนือกว่าทุกขั้นที่กล่าวมา นั่นคือการรังสรรค์จิตวิญญาณ! ภาพวาดที่เข้าถึงขั้นนี้จะมีทั้งลมหายใจและจิตวิญญาณของจิตรกร ทั้งยังสามารถซึมซับพลังงานจากธรรมชาติภายนอกเพื่อทำให้ตัวมันมีชีวิตด้วย”

ริมฝีปากของปรมาจารย์หยวนหยู่สั่น “ผมคิดว่ามันมีอยู่จริงแค่ในตำนาน…ไม่นึกเลยว่าจะได้เห็นกับตา…” ปรมาจารย์หยวนหยู่ผู้สุขุมเยือกเย็นไม่อาจควบคุมร่างที่สั่นเทาได้

เมื่อครู่นี้ เขาเพิ่งจะวิจารณ์อีกฝ่ายว่าเป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก และหากเก็บเกี่ยวประสบการณ์อีกสักสองสามปีก็อาจวาดภาพในขั้นการถ่ายทอดเจตนารมณ์ได้ ที่แท้….ฝ่ายนั้นเพิ่งจะรังสรรค์ผลงานชิ้นเอกในขั้น 5!

ภาพวาดขั้นนี้…ตั้งแต่ก่อตั้งอาณาจักรเทียนเซวียนมา คงจะมีน้อยกว่าหยิบมือเสียอีก!

ขนาดภาพวาดดอกลิลลี่บนผืนผ้าใบที่หวงหวี่กับไป๋ซวินอยากได้นักหนาก็อยู่ในขั้น 4 เท่านั้น ยังห่างไกลนักกับขั้น 5

ผู้ที่วาดภาพขั้น 4 ได้จะได้ชื่อว่าเป็นปรมาจารย์ ส่วนผู้ที่วาดได้ถึงขั้น 5 จะได้รับการยกย่องในฐานะอภิมหาปรมาจารย์ แล้วตัวเขาเพิ่งจะกล่าวหาอภิปรมาจารย์ว่าเป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก ไร้สัมมาคารวะ ขาดความตรงต่อเวลา…

จะบ้าตาย!

นี่เราบ้าไปแล้วหรือ?

ปรมาจารย์หยวนหยู่เองก็ยังรู้สึกหน้าชา หากมีหลุมมีโพรงอยู่แถวนั้น เขาคงจะมุดลงไปแล้ว

น่าอับอายอะไรเช่นนั้น

พูดตามตรง เขายินดีจะรอสามวันโดยไม่บ่นสักคำเพื่อจะชมการรังสรรค์ผลงานชิ้นเอกของอภิมหาปรมาจารย์

“ขะ…ขะ…ขั้น 5?”

“มีขั้น 5 ด้วยหรือ?” หวงหวี่กับไป๋ซวินเพิ่งหายงง ทั้งคู่หันขวับไปมองจางเซวียน

ลู่เฉินเป็นผู้เชี่ยวชาญที่รักสันโดษ เขาเก็บตัวอยู่ในบ้าน ไม่ยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอก เขารู้แค่ว่าจางเซวียนเป็นอาจารย์แต่ไม่รู้รายละเอียดอื่นใด ปรมาจารย์หยวนหยู่ก็เพิ่งรู้จักจางเซวียน จึงไม่รู้ภูมิหลังของเขาเช่นกัน

แต่หวงหวี่กับไป๋ซวินเคยไปโรงเรียนหงเทียน จึงรู้ภูมิหลังของจางเซวียนเป็นอย่างดี

ว่ากันว่าเขาเป็นขยะกองหนึ่ง ขยะที่ได้ศูนย์คะแนนในการทดสอบประเมินคุณภาพอาจารย์ ลูกศิษย์ทุกคนของเขาทิ้งเขาไปหมด…

แต่เรื่องจริงคือเขามีวรยุทธขั้นพี่เชวี่ย สูงสุด และความสามารถในระดับอภิมหาปรมาจารย์ ทั้งที่อายุยังไม่เต็มยี่สิบ…

เคยเห็นขยะที่น่าทึ่งขนาดนี้ไหม?

ถ้าเขาเป็นขยะ แล้วเราเป็นอะไร?

พี่ชาย คุณมีพรสวรรค์ขนาดไหนจึงน่าทึ่งเช่นนี้?

แล้วในเมื่อคุณน่าทึ่งขนาดนี้ เหตุใดในตอนแรกจึงแกล้งวาดสะเปะสะปะราวกับไม่รู้อะไรเลยล่ะ?

แถมยังเข้าไปอ่านหนังสือถึงสี่ชั่วโมง…

ระดับนี้แล้ว ยังต้องอ่านหนังสืออีกหรือ? ยังต้องปรับสภาวะใจอีกหรือ? ต่อให้คุณวาดภาพแบบไม่คิดอะไร อย่างน้อยก็คงอยู่ในขั้น 4…

“ปรมาจารย์จาง ไม่สิ… ท่านปู่จาง คุณจะ…มอบภาพวาดนี้ให้ผมได้หรือไม่ ถ้าคุณมอบให้ผม ผมจะยอมทำให้คุณทุกอย่าง!” พอทุกคนเริ่มคลายความอัศจรรย์ใจ ไป๋ซวินก็หันไปหาจางเซวียนและมองเขาอย่างมีความหวัง

“ให้คุณรึ?” จางเซวียนผงะ

“ใช่สิ คุณก็เห็นนี่ว่าผมปฏิบัติต่อคุณด้วยความเคารพ และเชื่อฟังทุกคำสั่งของคุณอย่างไร…ได้โปรดมอบมันให้ผมเถิด…” ไป๋ซวินรุก

“ไป๋ซวิน นายทำอะไรน่ะ? นี่เป็นสิ่งที่ปรมาจารย์จางสร้างขึ้นมาและถ่ายทอดอารมณ์ลงไปในนั้น เขาจะมอบให้ใครง่ายๆได้อย่างไร? ฉันคิดว่ามันจะดีที่สุดถ้านายล้มเลิกความพยายามซะ!” เห็นอีกฝ่ายหน้าไม่อายเช่นนั้น หวงหวี่ขมวดคิ้วและตำหนิ จากนั้นก็หันขวับไปหาจางเซวียนและพูดว่า “ปรมาจารย์จาง ฉันเป็นคนที่รู้จักคุณใคร จะไม่ขอให้คุณมอบภาพวาดนั้นให้ฉันหรอก แต่ทำไมคุณไม่…ขายมันให้ฉันล่ะ จะตั้งราคาเท่าไรก็ได้ ถ้าฉันสู้ไหว จะไม่บ่นแม้แต่คำเดียว!”

“เธอ…”

ในตอนแรกที่หวงหวี่ตำหนิเขา เขาก็คิดว่าการกระทำของตัวเองนั้นไม่เหมาะสมจริงๆ แต่กลายเป็นว่าหวงหวี่พูดออกมาโดยมีเจตนาแอบแฝง ไป๋ซวินถึงกับพูดไม่ออก

ไม่คาดคิดว่าผู้ช่วยอาจารย์คนสวยจะเจ้าแผนการและหน้าไม่อายเช่นนี้ เขาคำรามในคอขณะกัดฟันพูด “ท่านปู่จาง ผมยอมจ่ายเท่าไรก็ได้ตราบใดที่คุณยอมขายมันให้ผม ถึงอย่างไรผมก็ให้ราคาได้สูงกว่าเธอแน่นอน!”

“ไป๋ซวิน ทำไมมาเรื่องมากตอนนี้? นายอยากได้ภาพวาดดอกลิลลี่บนผืนผ้าใบของปรมาจารย์ลู่เฉินมิใช่หรือ? ฉันจะไม่แย่งภาพนั้นกับนายแล้ว ตอนนี้ฉันต้องการแค่ภาพนี้ นายน่าจะพอใจแล้วนี่…”

หวงหวี่เถียงผ่านฟันซี่วาววับของเธอที่กัดแน่น

“ฉันไม่อยากได้ภาพดอกลิลลี่แล้ว เพราะฉะนั้นอย่ามาเถียงกับฉันเรื่องนี้อีก” ไป๋ซวินไม่ยอมลดราวาศอกเช่นกัน

“….” ลู่เฉิน

ก่อนหน้านี้ เจ้าสองคนนี้แย่งภาพวาดของเขาจนแทบจะตีกันตาย วัตถุประสงค์หลักที่จัดงานวันนี้ขึ้นก็เพื่อตัดสินว่าใครมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะได้รับมัน แต่เมื่อภาพวาดของจางเซวียนปรากฏขึ้น ทั้งคู่ก็เมินภาพของเขาในทันใด

จะบ้าตาย!

มีจุดยืนกันบ้างไหมนี่?

ไอ้พวกวัตถุนิยม!

“นาย…ไป๋ซวิน ทำไมนายต้องหาเรื่องฉันตลอดเวลาด้วย?” หวงหวี่โมโห

“เธอต่างหากที่หาเรื่องฉัน! ฉันเป็นคนอยากได้ภาพวาดนี้ก่อนนะ…” ไป๋ซวินพูด

“พอได้แล้ว!”

เห็นทั้งคู่เถียงกันไม่จบสิ้น ปรมาจารย์ลู่เฉินหน้าดำคร่ำเครียด เขาสะบัดแขนเสื้ออย่างหงุดหงิด

ได้ยินเช่นนั้น หวงหวี่กับไป๋ซวินก็ไม่กล้าทะเลาะกันอีก

ลู่เฉินเป็นราชครูของฮ่องเต้ ไม่ว่าอย่างไรก็จัดว่าอาวุโสที่สุด พวกเขาอาจถูกสั่งประหารได้ หากยังดื้อดึงทะเลาะเบาะแว้งกันต่อหน้า ในเมื่อเขาแสดงความหงุดหงิดรำคาญออกมาแล้ว

“แม้จะเป็นจิตรกรระดับอภิมหาปรมาจารย์ การวาดภาพขั้น 5 ก็ยังต้องใช้ความอุตสาหะและทุ่มเทจิตวิญญาณอย่างมาก ในช่วงชีวิตหนึ่งอาจรังสรรค์งานเช่นนี้ได้เพียงสองสามชิ้นเท่านั้น ภาพวาดนี้ น้องจางเซวียนได้สร้างขึ้นด้วยความอุตสาหะพยายามอย่างมาก ดังนั้น เขาจึงควรมีสิทธิ์เลือกว่าจะเก็บมันไว้หรือมอบมันให้พวกคุณ คุณสองคนไม่คิดบ้างหรือว่าคุณทะเลาะกันเรื่องภาพวาดนี้เลยเถิดไปแล้ว?” ปรมาจารย์ลู่เฉินพูดอย่างเฉียบขาด

คำพูดของเขามีเหตุผล แม้จะเป็นจิตรกรระดับอภิมหาปรมาจารย์ แต่การวาดภาพระดับ 5 ก็ยังเป็นเรื่องยาก ยิ่งกว่านั้นยังมีปัจจัยอื่นอย่างเช่นสภาวะจิตใจเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย จึงไม่ใช่สิ่งที่ใครจะสร้างขึ้นได้ในระยะเวลาอันสั้น

นั่นคือเหตุผลที่ว่า ทำไมชื่อเสียงของจิตรกรระดับอภิมหาปรมาจารย์โม่เฉินจื่อ จึงยังคงเลื่องลืออยู่แม้เวลาจะผ่านมากว่าหนึ่งศตวรรษแล้ว จิตรกรจำนวนนับไม่ถ้วนไปขอพบเขา แต่เขาก็ไม่ได้รังสรรค์ภาพวาดขั้น 5 ไว้มากนัก

แม้ภาพวาดดอกลิลลี่บนผืนผ้าใบของลู่เฉินก็ยังจัดอยู่ในขั้น 4 เท่านั้น

สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าภาพวาดขั้น 5 ทุกภาพล้ำค่าเพียงใด เพราะมันมีหัวใจและจิตวิญญาณของผู้วาดอยู่ในนั้น จึงเป็นการไม่เข้าเรื่องอย่างมากที่จะคาดหวังให้ผู้รังสรรค์ผลงานมอบให้หรือขายให้ใครอย่างง่ายๆ

ถ้าภาพวาดในขั้น 5 นั้นซื้อขายกันได้ง่าย ฐานะร่ำรวยระดับลู่เฉิน จะเป็นไปได้อย่างไรที่เขาไม่มีภาพวาดขั้นนั้นไว้ในครอบครองแม้แต่ภาพเดียว?

มันเป็นผลงานที่มาจากความอุตสาหะพยายามของคนคนหนึ่งและไม่ได้มีไว้ขาย คุณสองคนมาทะเลาะเบาะแว้งยื้อแย่งกันเช่นนี้ จะไม่ทำให้เขาลำบากใจเกินไปหน่อยหรือ?

“เราสองคนขาดความยั้งคิด…”

“ปรมาจารย์ลู่ ปรมาจารย์จาง เราผิดไปแล้ว…”

ได้ยินคำตำหนิเช่นนั้น หวงหวี่กับไป๋ซวินพลันสำนึกในความผิดของตัวเอง ทั้งคู่มีสีหน้ากระอักกระอ่วนเต็มที

อีกฝ่ายยังไม่ได้เอ่ยสักคำว่าจะขาย แต่พวกเขาก็ตั้งต้นทะเลาะยื้อแย่งกันเสียแล้ว ช่างน่าอับอายขายหน้านัก…

“น้องจางเซวียน พวกเขายังเด็ก อย่าได้ถือโทษโกรธเคืองเลยนะ…”

หลังจากตำหนิสองคนนั้น ปรมาจารย์ลู่เฉินหันมามองจางเซวียนด้วยสีหน้าแสดงการขอโทษ

ทว่า ไม่เพียงแต่ฝ่ายนั้นจะไม่โกรธ แต่ยังมองเขาด้วยนัยน์ตาเป็นประกายด้วย ปรมาจารย์ลู่เฉินงงงันกับอาการนี้ เขาได้ยินเสียงจางเซวียน “ปรมาจารย์ลู่เฉิน… มีคนเต็มใจซื้อภาพวาดของผมจริงๆหรือ? มันขายได้จริงๆใช่ไหม?”

“แค่ก แค่ก!”

เห็นปฏิกิริยาเช่นนั้น ปรมาจารย์ลู่แทบสำลัก หากภาพวาดระดับนี้ขายไม่ได้ ภาพวาดของเขาตกอยู่บนพื้นก็คงไม่มีใครเก็บแล้วกระมัง?

เขาพยักหน้าอย่างจนปัญญา “ภาพวาดของคุณน่ะอยู่ในขั้น 5 ถ้าขายก็ได้ราคาอย่างน้อยสองล้านเหรียญ ยิ่งกว่านั้นมันยังเป็นเอกลักษณ์ มีอยู่เพียงภาพเดียวและไม่อาจหาได้ที่ไหนในท้องตลาดได้อีก…”

“สองล้านเหรียญรึ? เยี่ยมเลย!” ความดีใจฉายบนใบหน้าของจางเซวียน เขาหันไปหาไป๋ซวิน “ไป๋ซวิน ถ้าคุณอยากได้จริงๆ ผมจะขายให้ในราคาสองล้านเหรียญ!”

“ฮะ?” ไม่คาดคิดว่าจะเจอการหักมุมเช่นนี้ ไป๋ซวินตะลึงกับอาการของจางเซวียน

“ปรมาจารย์จาง ขายให้ฉันเถิด…” หวงหวี่เอ่ยขึ้นอย่างกระวนกระวาย

“ใจเย็นๆ ถ้าคุณอยากได้ ผมจะวาดให้คุณอีกภาพก็ได้ สบายมาก…” จางเซวียนโบกมือให้อีกฝ่ายสงบใจ

“….”

ลู่เฉินกับหยวนหยู่ขมวดคิ้ว ต่างจ้องหน้าจางเซวียนราวกับเห็นผี ลมแทบจับ

วาดอีกภาพก็ได้? ไม่ใช่เรื่องใหญ่?

น้องชาย ถึงคุณจะเป็นจิตรกรระดับอภิมหาปรมาจารย์ แต่นี่ภาพวาดขั้น 5 นะ วาดอีกภาพอย่างนั้นหรือ?

พูดเหมือนไปซื้อกะหล่ำปลีสดในตลาด…

แน่ใจนะว่าไม่ได้ล้อเล่น!

ถ้าภาพวาดอันน่าทึ่งขนาดนี้รังสรรค์กันได้ง่ายๆ ภาพวาดขั้น 5 คงไม่หายากถึงขนาดที่ทั่วทั้งอาณาจักรเทียนเซวียนจะไม่มีแม้แต่ภาพเดียวหรอก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version