ตอนที่ 169 เคล็ดวิชาเทียบฟ้าขั้น 6
จางเซวียนไม่รู้เรื่องการมาของสามปรมาจารย์
ณ เวลานั้นเขาอยู่ในหอสมุดพระราชวัง นัยน์ตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น
“มีครบเลย…”
หลังจากอ่านหนังสืออยู่ตลอดทั้งบ่าย เขาก็ได้ข้อมูลจากหนังสือวรยุทธขั้นพี่เชวี่ยในหอสมุดครบทุกเล่ม และยังประมวลเคล็ดวิชาเทียบฟ้าขั้น 6 ฉบับสมบูรณ์ขึ้นได้อีกด้วย
ขั้นแรกสำเร็จแล้ว ก็เหลือแต่การทำตามขั้นต่อไป
“ได้เวลาฝึก!”
เขาอยู่ที่นี่ตามลำพัง จึงไม่จำเป็นต้องยั้งมือ จางเซวียนนั่งลงบนพื้นและเริ่มฝึกวรยุทธโดยไม่รีรอ
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
เมื่อเขาเริ่มฝึก พลังอันเข้มข้นจากสวรรค์ก็พุ่งเข้าสู่ร่าง เปิดจุดชีพจรของเขาไปตามลำดับ เสียงป๊อกเป็นชุดเหมือนถั่วทอดดังก้องไปทั่วหอสมุด
เวลาผ่านไปนานเท่าไรไม่ทราบได้ จางเซวียนลืมตา เขาตกตะลึงและแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง
“นี่เราเปิดจุดชีพจรได้ทั้ง 108 จุดเลยหรือ?”
ตำนานกล่าวไว้ว่ามีจุดชีพจรอยู่ 108 จุดในร่างกายมนุษย์ แต่มีเพียง 72 จุดเท่านั้นที่เปิดได้ จึงต้องมีลำดับเฉพาะของมัน ด้วยความแตกต่างในร่างกายของแต่ละคน ทุกคนจึงต้องทำตามลำดับเฉพาะของตัวเองเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ถ้าเรียงลำดับได้ไม่ถูกต้องก็จะเปิดจุดชีพจรได้เพียง 30 ถึง 40 จุด และจะแป้กอยู่แค่นั้นไปตลอดชีวิต
แต่เดิม เขาคิดว่าแม้จะมีเคล็ดวิชาเทียบฟ้า การเปิดจุดชีพจรได้เพียง 72 จุดก็ถือว่าเหลือเชื่อแล้ว ไม่เคยนึกฝันว่าจะเปิดได้ทั้ง 108 จุด
ณ เวลานี้ จุดชีพจรทั่วร่างของเขาต่างเปล่งประกายราวกับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว เขารู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งที่ไหลเวียนไปทั่วร่าง
ถ้ามีใครล่วงรู้ว่าเขาเปิดจุดชีพจรในร่างกายได้ทั้งหมด คงช็อคตายแน่
“108 จุด ก็หมายความว่าพละกำลังของเราพุ่งขึ้นไปถึง 108 ติ่ง ก่อนจะได้ขั้นพี่เชวี่ย เรามีอยู่แล้ว 20 ติ่ง และเพิ่มขึ้นอีก 90 ติ่งจากร่างกายของเราเอง ตอนนี้พละกำลังทั้งหมดของเราอยู่ที่ 218 ติ่ง เท่ากับนักรบทงฉวนขั้นกลาง…”
จางเซวียนคิดคำนวณพละกำลังอย่างคร่าวๆ นัยน์ตาของเขาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น
ในอาณาจักรเทียนเซวียน หรือแม้แต่อาณาจักรโดยรอบ ไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อนว่านักรบพี่เชวี่ยระดับสูงสุดจะมีพละกำลังเท่ากับนักรบทงฉวนขั้นกลาง
แต่จางเซวียนก็ทำได้อย่างง่ายดาย แม้ตัวเขาเองยังอดคิดไม่ได้ว่านี่กำลังฝันไปหรือไม่
ตอนนี้ อาจกล่าวได้ว่าในอาณาจักรเทียนเซวียน มีไม่กี่คนที่เทียบชั้นกับเขาได้ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรเทียนเซวียนก็มีวรยุทธเพียงแค่ทงฉวนขั้นสูงสุดเท่านั้น
“เราควรจะไปต่อ ลองดูเสียหน่อยว่ามีหนังสือการฝึกวรยุทธขั้น 7 หรือไม่…” จางเซวียนยืนขึ้นและเดินลึกเข้าไปในหอสมุดอย่างคาดหวัง
“น่าเสียดายจริง…” หลังจากเดินวนรอบหอสมุดอีกรอบ จางเซวียนส่ายหน้าด้วยความผิดหวัง
ไม่มีหนังสือเกี่ยวกับการฝึกวรยุทธขั้นทงฉวนอยู่ในหอสมุด
ในเมื่อคิดขึ้นได้ ก็หวังว่าจะมี
จะว่าไป นักรบขั้น 7-ทงฉวนนั้นก็ถือว่าเป็นมือหนึ่งของอาณาจักรเทียนเซวียน เทคนิคการฝึกวรยุทธจึงจัดว่าประเมินค่ามิได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น ใครเล่าจะมาทิ้งหนังสือไว้ตรงนี้ โดยเฉพาะเมื่อมีผู้ได้รับอนุญาตให้เข้าเยี่ยมชม?
พวกเขาคงจะเก็บไว้ที่ไหนสักแห่งที่มีแต่ฮ่องเต้เท่านั้นที่รู้
“ในเมื่อไม่มีเรื่องการฝึกวรยุทธ เราจะลองหาเรื่องการต่อสู้ดู…” คิดได้เช่นนั้น เขาสาวเท้าไปยังพื้นที่ส่วนที่ไว้หนังสือเทคนิคการต่อสู้
มีหนังสืออยู่มากมายในหอสมุดพระราชวัง แม้หนังสือเกี่ยวกับเทคนิคการต่อสู้ที่มีอยู่ที่นี่จะไม่ใช่ศาสตร์ที่ลึกซึ้งนัก แต่ก็มีอยู่เต็มไปหมด เคล็ดวิชาของหลายพันสำนักถูกเก็บไว้ที่นี่
จางเซวียนหยุดที่ชั้นหนังสือชั้นหนึ่งและกวาดสายตาดู มันคือชั้นหนังสือเกี่ยวกับเทคนิคการเคลื่อนไหวและการใช้ขา, การซ้อมรบ 72 แบบ, กระบวนท่าขาลมกรด, ลูกเตะต่อเนื่อง 34 แบบ, การหลบเลี่ยงมังกรผงาด, เคล็ดลับของกระบวนท่าและเทคนิคการใช้ขาทุกรูปแบบอัดแน่นเต็มทั้งชั้น
“ขาของหวังหยิ่งยังคงบาดเจ็บ แม้จะมียาบำรุงร่างกายเพื่อใช้รักษาขาแล้ว แต่ก็ยังยากที่จะหายทันสู้กับตู้เหลย หากเธอได้เรียนกระบวนท่าและเทคนิคการใช้ขาที่ดี ก็มีโอกาสมากขึ้นที่จะได้รับชัยชนะ”
คิดได้เช่นนั้น จางเซวียนเริ่มพลิกหนังสือ
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ภายในเวลาหนึ่งชั่วโมง จางเซวียนก็บันทึกข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนท่าและเทคนิคการใช้ขาลงในสมองเรียบร้อย หนังสือสองเล่มปรากฏขึ้นในหัวของเขา
กระบวนท่าเทียบฟ้าและศิลปะการใช้ขาเทียบฟ้า!
จางเซวียนเปิดดูหนังสือทั้งสองเล่มและซึมซับใจความสำคัญ สี่ชั่วโมงต่อมาเขาก็มีความเชี่ยวชาญขึ้นอีก เนื่องจากหนังสือในหอสมุดเป็นหนังสือขั้นพื้นฐาน เขาจึงก้าวหน้าขึ้นได้เพียงขั้นเดียว เหมือนกับตอนที่คิดค้นเพลงหอกเทียบฟ้า แต่กระบวนท่าเทียบฟ้านั้นมีความพิเศษ มันทำให้เขาเคลื่อนไหวได้ไกลทีละยี่สิบเมตรในช่วงเวลาสิบอึดใจ ราวกับพุ่งไปด้วยพลังจิตนั่นทีเดียว
แต่การใช้ความเร็วเช่นนั้นสร้างความตึงเครียดอย่างหนักหน่วงให้กับร่างกาย ถ้าเขามิได้มีเคล็ดวิชาร่างนวโลหะ การเคลื่อนไหวอย่างฉับพลันเช่นนั้นจะทำให้เส้นเลือดแตกได้ ด้วยสภาพร่างกายในเวลานี้ เขาสามารถทำได้เพียงหนึ่งครั้ง ถ้าเกินกว่านั้นเลือดจะทะลักออกทางหูและจมูก อันเนื่องมาจากแรงกดดันที่มากเกินไป
มันจึงเป็นกระบวนท่าอันตรายยิ่งหากนำไปใช้กับผู้ใดอย่างฉับพลัน แม้แต่นักรบทงฉวนขั้นสูงสุดก็หมดสภาพได้ในทันใด หากตั้งรับไม่ทัน
หลังจากศึกษากระบวนท่าและเทคนิคการใช้ขาแล้ว เขาก็ย้ายไปดูเทคนิคการออกหมัด พลิกดูหนังสือทั้งหมดอีกครั้งและนำมาประมวลเข้าด้วยกัน
สองชั่วโมงต่อมาเขาก็ศึกษากระบวนท่าการออกหมัดได้อย่างครบถ้วน
แม้จะมีความเชี่ยวชาญเพิ่มขึ้นเพียงขั้นเดียว แต่พละกำลังและความแข็งแกร่งของเขาได้เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเท่าตัว
ด้วยพละกำลังที่มีอยู่ตอนนี้ 218 ติ่ง เพิ่มขึ้นหนึ่งเท่าหมายความว่าเขาสามารถออกหมัดที่มีความแข็งแกร่งได้ถึง 436 ติ่ง ในอีกด้านหนึ่ง ด้วยเพลงหมัดเทียบฟ้า พละกำลังในการต่อสู้ของเขาจะเทียบได้กับนักรบทงฉวนขั้นสูงสุด
แต่สิ่งนี้ก็ผลักดันร่างกายของจางเซวียนให้มาถึงขีดจำกัด เช่นเดียวกับกระบวนท่าเทียบฟ้า เขาไม่อาจทำซ้ำๆได้ ด้วยความสามารถที่มีอยู่เวลานี้ เขาออกหมัดได้เพียง 3 ครั้งเป็นอย่างมาก
จางซเวียนพลิกหนังสือและศึกษามันต่อไป เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า
โชคดีที่เขาคิดไว้แล้วว่าคงจะต้องอยู่ในหอสมุดตลอดวัน จึงได้เตรียมเสบียงไว้ในแหวนเก็บสมบัติ มิเช่นนั้นคงจะตายเพราะความหิวก่อนที่จะฝึกวิชาสำเร็จ
โคมไฟแขวนไว้จำนวนนับไม่ถ้วน สว่างไสวไปทั้งพระราชวัง
“นักปรุงยาเฉินเสี่ยว เหตุใดคุณจึงอยู่ที่นี่?” ตู้เหมี่ยวชวนซึ่งเดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่เอ่ยถามอย่างสงสัย
เขาเป็นเพียงผู้อาวุโสธรรมดาแห่งตระกูลตู้ แถมต้องเผชิญกับการเสื่อมถอยของวรยุทธ แต่วันนี้เขาถูกฮ่องเต้เซินจุยเรียกตัวมาอย่างเร่งด่วน เขางงงันมากว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อเดินเข้ามาในพระราชวัง เขาเห็นนักปรุงยาเฉินเสี่ยว หลิงเทียนหยู่ และหลัวชงอยู่ที่นี่
“ผมถูกฮ่องเต้เรียกตัวมาเช่นกัน นี่ต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับปรมาจารย์หยางแน่ เพราะพวกเราเป็นหนี้บุญคุณปรมาจารย์หยางกันทุกคน!”
ณ เวลานี้ นักปรุงยาเฉินเสี่ยวดูไม่เหมือนคนป่วยอย่างเมื่อก่อน ตรงกันข้าม เขาดูแข็งแรงและมีชีวิตชีวาอย่างมาก
“คงจะเป็นไปได้…”
ตู้เหมี่ยวชวนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย หลิงเทียนหยู่กับหลัวชงก็เช่นกัน
อันที่จริงก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องมานั่งสงสัยในสิ่งที่อีกไม่นานก็จะได้รู้คำตอบ ในเวลาเดียวกันนั้น ฮ่องเต้เซินจุยก็ก้าวยาวๆเข้ามาในห้องโถง ทรงแย้มพระสรวลขณะเอ่ยกับคนเหล่านั้น
“ผู้ที่เชิญพวกท่านมาในวันนี้ไม่ใช่เราหรอก แต่เป็นปรมาจารย์ทั้งสาม”
“ปรมาจารย์ทั้งสามท่าน?”
ตู้เหมี่ยวชวนกับคนอื่นๆผงะ พวกเขารีบลุกขึ้นยืนและเห็นผู้อาวุโสท่าทางทรงภูมิสามคนตามหลังฮ่องเต้มา
“นั่งสิ คุณคงเป็นหลิงเทียนหยู่ ผมได้ยินมาว่าภรรยาของคุณป่วย คุณช่วยบอกผมได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างระหว่างการรักษา?” หลังจากคุยสัพเพเหระกันเล็กน้อย ปรมาจารย์หลิวก็หันมาสนใจหลิงเทียนหยู่
ครู่หนึ่งหลังจากนั้น
“คุณพูดว่าหยางชวน…คนนั้น มองปราดเดียวก็รู้ว่าราชสีห์หยกของคุณทำจากหยกเลือดแห่งดินแดนทักษิณ และอนุมานได้ว่ามีสมาชิกในครอบครัวของคุณป่วยอย่างนั้นหรือ? และจากนั้น…ด้วยเข็มเพียงสองสามเล่ม ไม่เพียงแต่ภรรยาของคุณจะฟื้นจากภาวะโคม่า แต่ยังเดินได้ในทันที?”
ปรมาจารย์หลิวเบิ่งตาอย่างไม่อยากเชื่อ
“หยกเลือดจะดูดเอาพลังชีวิตของคนไป ภรรยาของคุณเข้าขั้นโคม่า นั่นแปลว่าอาการป่วยของเธออยู่ในขั้นร้ายแรง ในการรักษา ไม่เพียงแต่จะต้องหาจุดในร่างกายที่ถูกปิดกั้นอยู่ให้ถูกต้องเท่านั้น แต่ยังต้องใช้พลังปราณขั้นกลางในการชะเอาสิ่งไม่บริสุทธิ์ที่อุดตันอยู่ออกไปด้วย ซึ่งเขาทำได้โดยไม่ลังเล…ปรมาจารย์คนหนึ่งจะมีสายตาที่เฉียบคมถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?
“ตอนที่คุณเดินเข้าไป ยังไม่ทันจะปรุงยาเสียด้วยซ้ำ เขาก็บอกได้ทันทีว่าคุณถูกรังสีมรณะครอบงำและอาจเสียชีวิตได้ทุกเวลาอย่างนั้นหรือ? ผู้ที่ถูกรังสีมรณะครอบงำจะมีปื้นคล้ำที่หว่างคิ้ว ซึ่งก็ไม่แปลกที่เขาจะบอกได้ อีกอย่าง นักปรุงยาก็ต้องใกล้ชิดกับหม้อต้มยาอยู่แล้ว ก็เป็นธรรมดาที่เขาจะประมวลเรื่องทั้งหมดได้ ว่าแต่…การที่เขาสรุปออกมาได้ทั้งหมดโดยไม่ตั้งคำถามแม้แต่คำเดียวนี่…ทำไมผมถึงรู้สึกว่าเขาน่าจะเป็นหมอดูมากกว่าเป็นปรมาจารย์…”
“แล้วเขาก็บอกได้ว่าสภาวะจิตที่ไม่สงบของคุณมาจากการกินกุ้งมังกร โดยดูแค่การหลอมอาวุธ ไม่ตั้งคำถามอะไรเลยนี่นะ? ล้อกันเล่นใช่ไหม…”
ได้ฟังประสบการณ์ของทุกคน ปรมาจารย์ทั้งสามถึงกับเหวอ
บ้าแล้ว เขาเป็นเทพเจ้าผู้หยั่งรู้หรืออย่างไร?
ถึงปรมาจารย์จะมีสายตาเฉียบแหลม แต่นี่มันเกินไป!
“ดูเหมือนว่า…จะเป็นไปได้อยู่สองทาง อย่างแรก…หยางชวนคนนี้มีมาตรฐานสูงกว่าพวกเรามากนัก อยู่ในขั้นที่เราไม่อาจเทียบชั้นกับเขาได้!”
ปรมาจารย์หลิวเว้นช่วงไปนานก่อนจะพูดต่อด้วยอาการเคร่งขรึม
“หรืออย่างที่สอง…เขารู้เรื่องทั้งหมดนี้ล่วงหน้าและค้นหาวิธีการรักษาไว้ก่อนแล้ว ถึงได้ทำให้ทุกคนอัศจรรย์ใจเช่นนี้…พูดอีกอย่างคือ เขาเป็นไอ้ขี้โกงนักฉวยโอกาส”
ปรมาจารย์เจิงและปรมาจารย์จวงพยักหน้าอย่างเห็นพ้อง
“ถ้าเป็นอย่างแรกก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ผมก็แค่ขอเข้าพบและขอเรียนรู้จากเขา แต่ถ้าเป็นอย่างที่สอง…” แววตาของปรมาจารย์หลิวเย็นชา “ในฐานะปรมาจารย์ ผมมีความรับผิดชอบในการที่จะต้องเปิดโปงเจ้าแกะดำตัวนี้ เพื่อไม่ให้ชื่อเสียงของปรมาจารย์โดนเหยียบย่ำอีก”