Skip to content

Library Of Heaven’s Path 181

ตอนที่ 181 ลู่ฉวินเข้าพบ

เวลาเดียวกันกับที่จ้าวหย่าตั้งต้นฝึกวรยุทธหลังจากกินยาปลดปล่อยพลังหยิน ในป่าหลังโรงเรียนหงเทียน หยวนเทาก็เพิ่งปรับสภาวะจิตใจได้ เขาจ้องเขม็งที่ขวดหยกตรงหน้า

เขาฝึกวรยุทธไปเรื่อยเปื่อยโดยไร้สังกัด และด้วยการขาดผู้ชี้แนะ ผลการสอบเข้าจึงย่ำแย่ หยวนเทาไม่เหมือนกับจ้าวหย่าที่มีหอพักส่วนตัว เขาต้องเบียดเสียดเยียดยัดกับผู้อื่น เมื่ออาจารย์จางบอกว่าการใช้สิ่งที่อยู่ในขวดหยกใบนี้จะสร้างความเจ็บปวดและเป็นอันตราย จึงชัดเจนว่าเขาไม่ควรจะใช้มันในหอพัก หลังจากคิดได้ เขาก็ตัดสินใจมาที่นี่

มันเงียบสงัด ปราศจากการรุกรานของสัตว์ร้าย จึงเป็นพื้นที่เหมาะสมแก่การฝึกวรยุทธ

“เราควรจะเริ่มได้แล้ว!”

เมื่อตัดสินใจได้ ก็ไม่มีอะไรต้องลังเลอีก เขาเปิดขวดหยกทันที

วิ้ง!

กลิ่นฉุนรุนแรงของเลือดพุ่งออกมาจากขวดหยก ที่ตามมาติดๆคือพลังงานเข้มข้นรุนแรงที่ทำให้เขาสั่นสะท้านโดยไม่ได้ตั้งใจ

หลังจากถอดเสื้อผ้าออกทีละชิ้น หยวนเทาก็ราดของเหลวในขวดหยกลงบนร่างของเขา

ซื้ดดดดดดดดดดดด!

วินาทีที่ของเหลวสีแดงก่ำสัมผัสกับผิวหนัง เขารู้สึกราวกับมีเข็มทิ่มแทงอยู่ทั่วร่าง ความเจ็บปวดนั้นหนักหน่วงราวกับผิวหนังปริแตกซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“อ๊าก…”

ภายใต้ความเจ็บปวดอันแสนทรมานนั้น ร่างของหยวนเทาทรุดลงกับพื้น

เป็นความเจ็บปวดที่มากกว่าทุกครั้งในชีวิต ราวกับใครสักคนกำลังใช้ดาบคมกริบแล่เนื้อของเขา

หยวนเทาหน้าถอดสีกลายเป็นซีดเผือด เหงื่อเย็นๆไหลอาบหน้า ทั้งร่างสั่นสะท้านไม่หยุด

“เจ็บ…”

เขาเห็นทุกอย่างเบลอไปหมดและรู้สึกว่าใกล้สูญสิ้นสติสัมปชัญญะเต็มที

ถึงอย่างไรเขาก็เป็นแค่เด็กอายุแค่สิบหกสิบเจ็ดปี ต่อให้ผ่านเรื่องราวมากมาย ผ่านความทุกข์ทรมานมามากแค่ไหน ก็ยังต้องตัวงอด้วยความเจ็บปวด

“ทำไมเราไม่…ล้มเลิกเสีย…ที่เป็นอยู่นี่ก็ไม่ได้เลวร้าย เราจะเพิ่มพละกำลังไปเพื่ออะไร?” ความคิดนี้พุ่งเข้ามาปะทะความตั้งใจของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า

“ถ้าเราล้มเลิก…อาจารย์จางจะตำหนิเราไหม?”

เมื่อความเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นของเขาเริ่มอ่อนกำลังลง ร่างหนึ่งพลันปรากฎตรงหน้า

อาจารย์จาง!

อาจารย์มองเขาด้วยสีหน้าเฉยเมยเช่นเคย แต่ก็ขมวดคิ้วและมีอาการไม่พอใจอย่างชัดเจน

“ไม่ เราจะไม่ทรยศความไว้ใจที่อาจารย์มีให้เรา…”

เมื่อเห็นอาจารย์จางมีทีท่าเหมือนโกรธ หยวนเทาตัวสั่น จิตวิญญาณนักสู้อันไร้ขีดจำกัดพลุ่งพล่านขึ้นอีกครั้ง

ก่อนได้พบอาจารย์จาง เขาเป็นตัวตลกของใครต่อใครเสมอ ไม่เพียงแต่จะอ้วนตุ้ยนุ้ยและด้อยความสามารถ ระดับวรยุทธของเขาก็ต่ำต้อยด้วย เขาเคยอ้อนวอนอาจารย์มามากกว่าสิบคนเพียงเพื่อจะถูกไล่กลับ ไม่มีใครอยากยุ่งเกี่ยวกับเขา

เขาเคยคิดว่าตัวเองคงต้องใช้ชีวิตอย่างไร้ค่า แต่แล้ว…เขาก็พบอาจารย์จาง

อาจารย์จางไม่เคยดูหมิ่นเขาเรื่องรูปร่างหรือความสามารถ อาจารย์คิดค้นวรยุทธขึ้นใหม่ให้เขาโดยเฉพาะ ถึงขนาดอดหลับอดนอนเพื่อนำของเหลวที่ช่วยให้เขาพัฒนาฝีมือและฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จมาให้!

หยวนเทาเป็นหนี้บุญคุณอาจารย์ อาจารย์ได้ทุ่มเทให้เขามากมาย

หากเขาอดทนกับความเจ็บปวดเพียงเท่านี้ไม่ได้ ต่อไปจะสู้หน้าอาจารย์ได้อย่างไร?

อาจารย์จาง ได้โปรดวางใจเถิด ผมจะไม่ทำให้อาจารย์ผิดหวัง ผมจะอดทนและทำให้ได้!

หยวนเทาตัดสินใจเด็ดเดี่ยว เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งก็รู้สึกว่าความเจ็บปวดจับขั้วหัวใจนั้นเบาบางลงเล็กน้อย

เวลาผ่านไปนานเท่าไรไม่ทราบได้

ความเจ็บปวดค่อยๆจางหายไป เมื่อก้มลงมอง หยวนเทาก็เห็นว่าของเหลวสีแดงที่เขาราดลงไปทั่วร่างได้ถูกซึมซับไปหมดแล้ว และในเวลาเดียวกันก็มีเกราะเป็นชั้นหนาปรากฎขึ้นบนผิวของเขา

แม้จะไม่รู้ว่าคืออะไร แต่ก็รู้ว่าความสามารถในการป้องกันตัวได้เพิ่มขึ้นหลายเท่า

“อาจารย์จางบอกว่าทำครั้งเดียวไม่พอ ต่อเลยก็แล้วกัน!”

ของเหลวในขวดหยกยังเหลืออยู่อีกเล็กน้อย หยวนเทาราดมันลงบนร่างของเขาอีกครั้งหนึ่ง

หลังผ่านความทุกข์ทรมานมาแล้วรอบหนึ่ง เขาลังเลเล็กน้อย แต่เมื่อนึกถึงอาจารย์จาง ก็กลั้นอกกลั้นใจ

ในที่สุดเขาก็ราดของเหลวสีแดงลงไปหมดทั้งขวด

“นี่…”

เมื่อก้มลงมอง หยวนเทาเห็นชั้นผิวหนังก่อตัวขึ้นหลังจากที่ราดของเหลวสีแดงลงไป ทำให้นึกถึงเกล็ดปลา

“เราควรลองดูสักหน่อย…”

ทั้งสงสัยและอยากรู้อยากเห็น เขาพุ่งเข้าปะทะต้นไม้บริเวณนั้น

ป๊อก!

มีเสียงดังป๊อก แล้วต้นไม้ที่มีเส้นรอบวงลำต้นเท่าชามข้าวก็หักโค่นลงทันใด ที่เขารู้สึกก็เป็นเพียงอาการคันคะเยอเท่านั้น ไม่มีความเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย

หยวนเทาหรี่ตา

ตอนนี้ ทักษะการรุกและรับของเขาต่างแข็งแกร่งทั้งคู่

“อาจารย์…ผมทำได้แล้ว”

เมื่อนึกถึงความทุกข์ทรมานที่เขาผ่านพ้นมาได้ หยวนเทากำหมัดแน่น น้ำตาไหลอาบแก้ม

อย่างน้อยที่สุด ผมก็ไม่ได้ทรยศความไว้ใจที่อาจารย์มีให้…

อาจารย์ครับ… ผมกระโดดแตะท้องฟ้าได้อย่างที่อาจารย์มุ่งหวังแล้ว!

ในเวลาเดียวกันนั้น หวังหยิ่ง เจิ้งหยาง และหลิวหยางต่างก็กำลังฝึกหนัก

เมื่อได้หนังสือการฝึกกระบวนท่าและเทคนิคการใช้ขามาจากอาจารย์จางแล้ว หวังหยิ่งก็ไม่รอช้า รีบกลับบ้านไปฝึกทันที พละกำลังในการต่อสู้ของเธอเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

เจิ้งหยางยังคงพยายามฝ่าฟันเพื่อจะสำเร็จวรยุทธขั้น 2 – ตันเถียนให้ได้ภายในห้าวัน

หลิวหยางตั้งต้นฝึกเพลงหมัดเทียบฟ้า เสียงจากการออกหมัดของเขาดังกึกก้องไปทั่ว

ขณะที่ลูกศิษย์ตัวฉกาจทั้งห้ากำลังวุ่นกับการฝึกฝน ในที่สุดอาจารย์จางผู้เป็นที่เคารพก็ลืมตาตื่น และยืดหลังอย่างเกียจคร้าน

“เรามาหลับอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” เมื่อลืมตาขึ้นมา จางเซวียนก็รู้ตัวว่าเขาหลับอยู่ในบริเวณที่นั่งพักในห้องเรียน ไม่มีเครื่องนอน แต่ก็ไม่รู้สึกหนาวแม้แต่น้อย เสื้อผ้าจำนวนหนึ่งถูกนำมาวางซ้อนกันบนตัวเขาเพื่อทำให้อุ่น

มีทั้งเสื้อผ้าของผู้หญิงและผู้ชายอยู่ปนกัน…

เด็กทั้งห้ากลัวว่าเขาจะหนาว จึงพากันถอดเสื้อคลุมของตัวเองมาคลุมให้

“เจ้าพวกนี้นี่…” จางเซวียนส่ายหน้า

ด้วยความเหนื่อยล้าถึงขีดสุด เขาผล็อยหลับไปทันทีที่ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ บรรดาลูกศิษย์ของเขาคงช่วยกันนำตัวเขามาที่นี่ ก่อนจะนำเสื้อคลุมมาคลุมให้

ดูเหมือนเขาจะใช้พลังเกินขีดจำกัดไปจริงๆ มิเช่นนั้น ด้วยความแข็งแกร่งที่มีอยู่ คงเป็นไปไม่ได้ที่ใครจะเคลื่อนย้ายตัวเขามาโดยที่เขาไม่รู้สึกเลย

หลังจากได้นอน ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาตลอดห้าวันก็หายไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่าง จึงได้รู้ว่าเป็นเวลาเที่ยงของอีกวันแล้ว “ในเมื่อเรารับเงินของพวกเขามาแล้ว ก็ต้องไปแก้ปัญหา…”

ในฐานะปรมาจารย์หยางชวน เขารับเงินจากผู้อื่นมาแล้วแปดสิบล้าน ด้วยความอ่อนล้าอย่างหนัก การที่เมื่อวานเขาไม่สนใจคนเหล่านั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่เมื่อกลับสู่สภาพปกติแล้ว อย่างน้อยเขาก็ควรให้คำชี้แนะเพื่อให้สมกับเงินที่ได้มา

ไม่อย่างนั้นก็จะรู้สึกผิด

เมื่อกลับถึงคฤหาสน์ เขาเห็นซุนฉางเข้ามาต้อนรับอย่างเป็นห่วงเป็นใย ด้วยนัยน์ตาที่มีน้ำตาคลอ

หลังจากหาอะไรกินแล้ว จางเซวียนก็ให้ซุนฉางเชิญผู้คนเข้ามา โดยเรียงตามลำดับก่อนหลังของการจ่ายเงิน

ผู้คนเหล่านั้นส่วนใหญ่เป็นผู้ที่เจอทางตันในการฝึกวรยุทธ และหวังว่าจะฝ่าด่านไปได้

วรยุทธนั้นเหมือนกับสายน้ำไหล การที่ใครคนหนึ่งไม่อาจฝ่าด่านวรยุทธไปได้ นั่นแปลว่าต้องมีบางสิ่งกีดขวางไว้ ด้วยการมีหอสมุดเทียบฟ้าในครอบครอง จางเซวียนสามารถบอกตำแหน่งของจุดที่ถูกปิดกั้นได้อย่างง่ายดาย และเมื่อประกอบกับการใช้เข็มเงินและพลังปราณบริสุทธิ์ การถ่ายทอดพลังเพื่อให้ผู้นั้นฝ่าด่านไปได้จึงไม่ใช่เรื่องยาก

ยิ่งไปกว่านั้น ผู้คนเหล่านี้ได้ฝึกฝนวรยุทธอย่างหนักมาเนิ่นนาน สั่งสมพลังปราณไว้จนอยู่ในระดับที่ห่างจากการฝ่าด่านเพียงก้าวเดียว แต่ก็เพียงก้าวเดียวนั้นเองที่ขวางกั้นพวกเขามาแสนนาน

สิ่งที่จางเซวียนต้องทำก็เพียงแค่พาพวกเขาผ่านเข้าประตูไปให้ได้ ด้วยการใช้ตรรกะของแม่น้ำ เพียงแค่ถ่ายทอดพลังปราณไปยังจุดที่ถูกปิดกั้นไว้ สายน้ำที่คั่งอยู่เนิ่นนานก็จะไหลบ่าเข้าท่วมจุดที่ถูกปิดกั้นไว้ทั้งหมด

แม้หลักการจะฟังดูง่าย แต่ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่ปรมาจารย์ท่านอื่นจะทำได้เหมือนเช่นเขา

ในทางกายภาพ เทคนิคการฝึกวรยุทธ บุคลิก และนิสัยเป็นสิ่งที่แตกต่างกันมากมายในแต่ละคน…ดังนั้นจุดที่ถูกปิดกั้นของแต่ละคนก็ย่อมแตกต่างกัน เหมือนกับที่ไม่มีใบไม้คู่ใดในโลกที่เหมือนกันเป๊ะ จุดที่ถูกปิดกั้นในร่างกายของผู้ฝึกวรยุทธก็แตกต่างกันมากเช่นกัน

หากปราศจากหอสมุดเทียบฟ้า ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่ใครสักคนจะรู้ต้นตอของปัญหา ป่วยการจะพูดถึงการช่วยให้ผู้นั้นฝ่าด่านวรยุทธได้

นอกคฤหาสน์ของจางเซวียน

ซุนฉางเปิดประตูและตะโกน “คนต่อไป…”

“ขอโทษนะ ให้เราผ่านเข้าไปได้ไหม?” สิ้นเสียงของซุนฉาง อีกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านหลัง ชายหนุ่มสองคนก้าวยาวๆเข้ามา

พวกเขาคือลู่ฉวินกับหว่างเชาจากโรงเรียนหงเทียน ทั้งคู่มาขอพบปรมาจารย์หยาง

เนื่องจากพวกเขาสวมเสื้อคลุมอาจารย์ แม้ฝูงชนจะไม่พอใจที่พวกเขามาลัดคิว แต่ก็เปิดทางให้

“พี่ซุน เราคือ…” หว่างเชาก้าวออกมาและประสานมือคารวะ

พวกเขารอมาทั้งวัน และอย่างที่เคยคิดไว้ว่าด้วยสถานภาพอาจารย์ดาวเด่น ก็น่าจะดึงดูดความสนใจของปรมาจารย์หยางชวนได้ ปรมาจารย์น่าจะเรียกพวกเขาเข้าไปข้างในโดยเร็ว แต่…

วันทั้งวัน ปรมาจารย์หยางก็ไม่ออกมา เมื่อใดก็ตามที่ซุนฉางปรากฏตัว ก็แค่ตะโกนเรียกคนถัดไปในแถวให้เข้าไปข้างในเท่านั้น ทั้งยังไม่ยอมรับสมุดแนะนำตัวของพวกเขาด้วย ทำให้พวกเขาร้อนอกร้อนใจนัก

“ไปเสีย!”

หว่างเชายังพูดไม่ทันจบ ซุนฉางก็ขมวดคิ้ว “คุณคิดว่านี่เป็นบ้านของคุณหรือไง ถึงแซงเข้ามาแบบนี้ กลับไปเข้าแถว!”

“ผม…” ถูกพ่อบ้านขั้นผีกู่ตวาด หว่างเชาหน้าแดงและโมโหเดือด

เขาเป็นอาจารย์ดาวเด่น ไม่ว่าจะไปที่ใดก็ได้รับความเคารพสูงสุด ในเมื่อไม่มีปรมาจารย์อยู่ในอาณาจักรเทียนเซวียน ดังนั้นลู่ฉวินกับเขาจึงเป็นผู้ได้รับการต้อนรับสูงสุดในเมืองหลวง เขาคิดว่าเพียงแค่เดินเข้ามาและเปิดเผยสถานภาพ ชายผู้นี้ก็น่าจะรับสมุดแนะนำตัวและปล่อยให้เขาเข้าไปในคฤหาสน์แล้ว แต่ที่เหนือความคาดหมายก็คือ… เขายังพูดไม่ทันจบชายอ้วนตรงหน้าก็เอ่ยปากไล่

“ทำไม? คุณจะฝ่าฝืนกฎหรือ?” ซุนฉางสะบัดมืออย่างวางท่า “จะวัดกับผมไหม? ยังไม่ทันที่ผมจะกระดิกนิ้ว จะมีคนมาจับคุณโยนออกไปแล้ว”

บ้าแล้ว ไอ้สะเหล่อนี่มาจากไหน?

กล้าลัดคิวหน้าคฤหาสน์ของปรมาจารย์ หน้าด้านหน้าทนนัก

ถึงซุนฉางจะไม่ใช่ปรมาจารย์ แต่ผู้ที่เข้าคิวรอเข้าพบปรมาจารย์หยางย่อมเต็มใจทำแทนเขาแน่

ได้ยินเช่นนั้น หว่างเชาตัวสั่นด้วยความโกรธ

ในสถานที่อื่น คนกระจอกแบบนี้ย่อมถูกเขาสอยร่วงในพริบตา ไม่มีใครอาจหาญต่อปากต่อคำกับเขา แต่เจ้านี่กำลังออกปากไล่ แถมยังขู่จะจับเขาโยนออกไป…

หว่างเชาหน้าแดงก่ำและกำหมัดแน่น แม้จะเดือดดาลแค่ไหนก็ไม่กล้าทำร้ายซุนฉาง

เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็มาขอให้ปรมาจารย์หยางรับเป็นศิษย์ หากทำร้ายพ่อบ้านเสียตั้งแต่ก่อนจะได้พบปรมาจารย์ ความหวังทั้งหมดจะต้องสูญสิ้นเป็นแน่

“พ่อบ้านซุนได้โปรดใจเย็นเถิด ผมคือลู่ฉวิน อาจารย์จากโรงเรียนหงเทียน และหวังว่าคุณจะช่วยแจ้งเขา…” ลู่ฉวินวาดมือออกไปเพื่อยั้งตัวเพื่อนรัก จากนั้นเขาก้าวออกมาพร้อมด้วยรอยยิ้ม

“อาจารย์ลู่ฉวินรึ?” ซุนฉางผงะ

แม้เขาจะเป็นเพียงพ่อค้าธรรมดาสามัญในห้างซึ่งแทบไม่เคยได้ใกล้ชิดกับชนชั้นนำ แต่ก็ได้ยินชื่อเสียงของอาจารย์ลู่ฉวินมานาน ฝ่ายนั้นช่างโด่งดังอย่างน่าทึ่ง เป็นบุตรชายคนเดียวของท่านราชครูประจำพระองค์ฮ่องเต้- ท่านปรมาจารย์ลู่เฉิน ทั้งยังเป็นผู้ที่น่าจะได้ก้าวขึ้นเป็นปรมาจารย์ของอาณาจักรเทียนเซวียนอีกด้วย

ไม่เพียงเท่านั้น ด้วยอายุยังไม่ถึง 25 ก็สำเร็จวรยุทธขั้นพี่เชวี่ยแล้ว ความปราดเปรื่องของเขานั้นถือเป็นสุดยอดของอาณาจักร

ด้วยสิ่งนี้ แม้นักรบขั้น 7-ทงฉวน ก็ยังปฏิบัติต่อเขาด้วยความเคารพสูงสุด

แต่ซุนฉาง…เพิ่งจะ ‘ไล่’ เขา?

แค่ก แค่ก อะไรจะโชคร้ายขนาดนี้

เพิ่งจะดูแคลนทั้งสามปรมาจารย์ไปหยกๆ และตอนนี้ก็มาว่าร้ายอาจารย์ผู้เก่งกาจอีกคนหนึ่ง…

ก็เขาเห็นอยู่ว่านายท่านวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นได้ตามใจ และทุกอย่างก็ง่ายดาย แล้วเหตุใดมันจึงยากนักเมื่อเขาทำแบบเดียวกัน?

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version