ตอนที่ 188 วิธีพิสดารในการรักษาเซินหง (1)
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจางเซวียนโมโหเดือด ด้วยเงื่อนเวลาอันจำกัดเพียงชั่วหนึ่งก้านธูปที่ยานั้นมอบให้ แต่ชายผู้นี้กลับปฏิเสธที่จะแสดงวรยุทธ กลับมัวพล่ามถึงความเข้าใจในชีวิต
เชี่ย
เข้าใจโคตรแกเถอะ!
หากคุณไม่อนุญาตให้ผมใช้หอสมุดเทียบฟ้าวิเคราะห์ปัญหา คุณก็แค่ตายไปหลังชั่วเวลาหนึ่งก้านธูป แต่ผมจะต้องถูกบังคับให้ปกป้องอาณาจักรแทนคุณ!
อีกอย่าง ชื่อเสียงของผมก็ป่นปี้ไปด้วย!
ถ้าผมปล่อยให้คุณทำชื่อเสียงป่นปี้ แล้วต่อไปผมจะหาเงินยังไง?
ดังนั้น เมื่อเห็นอีกฝ่ายปฏิเสธจะแสดงวรยุทธ จางเซวียนจึงอดกลั้นต่อไปไม่ไหว เขาตบฝ่ายนั้นสลบ
แต่เนื่องจากเซินหงกินยาเข้าไปแล้ว จึงไม่ตายแม้ว่าจะสลบไป
สำหรับจางเซวียน การตบฝ่ายนั้นสลบกับการให้เขาแสดงวรยุทธก็มีค่าเท่ากัน
เมื่อเห็นจางเซวียนตบผู้อาวุโส เซินจุยกับสามปรมาจารย์ก็เดือดดาลขึ้นอีก
คุณเพิ่งช่วยให้เขาฟื้นคืนสติไม่ใช่หรือ?
แล้วเหตุใดจึงตบเขาจนสลบไปอีกเล่า?
มีวิธีการวินิจฉัยแบบใดกันที่ต้องทำให้ผู้ป่วยสลบ?
“ปรมาจารย์หยาง…”
ฮ่องเต้เซินจุยกำลังจะตั้งคำถาม แต่ปรมาจารย์หยางโบกมือและพูดขึ้นว่า “เอาล่ะ เราไม่มีเวลามากแล้ว รีบเข้าเรื่องเลย!”
ไม่ใส่ใจใบหน้าตกตะลึงเหล่านั้น เขาก้มลงจับชีพจรของเซินหง
วิ้ง!
หนังสือเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในหอสมุด บนหน้าปกมีคำว่า ‘เซินหง’
จางเซวียนเปิดอ่าน
“เซินหง ท่านปู่ของฮ่องเต้แห่งอาณาจักรเทียนเซวียน–เซินจุย นักรบขั้นกึ่งจงซรือ…” ชีวิตและความบกพร่องทางร่างกายของเซินหงถูกบันทึกไว้ในนั้น
“ปรมาจารย์หยาง พอจะมีความหวังสำหรับเชื้อพระวงศ์อาวุโสหรือไม่?”
ฮ่องเต้ทรงเคยฟังจากหลิงเทียนหยู่เรื่องวิธีการของปรมาจารย์หยางในการวินิจฉัยสภาพร่างกายด้วยการจับชีพจร จึงไม่ทรงแปลกใจมากนัก แต่เมื่อเห็นปรมาจารย์หยางขมวดคิ้ว จึงอดถามไม่ได้
แม้หลิวหลิง จวงเชียน และคนอื่นๆต่างก็วิตกกังวล
เซินหงผู้นี้มาถึงจุดสิ้นสุดของช่วงชีวิตแล้ว พวกเขาไม่อาจใช้วิธีการรักษาใดได้อีก ยิ่งการถ่ายทอดวรยุทธยิ่งเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นพวกเขาจึงอยากฟังความคิดเห็นของปรมาจารย์หยาง
“เอาล่ะ ปลุกเขาได้” จางเซวียนสั่งอย่างวางอำนาจ หลังจากจับชีพจรของอีกฝ่ายแล้ว เขาก็ไม่กังวลอย่างเมื่อครู่ก่อน
“ได้!”
ฮ่องเต้เซินจุยแตะบริเวณร่องเหนือริมฝีปากของผู้อาวุโสและถ่ายทอดพลังปราณเข้าไป จากนั้นเซินหงก็ค่อยๆรู้สึกตัว
“ปรมาจารย์หยาง…” เมื่อฟื้นจากสลบ เซินหงมองจางเซวียนและกำลังจะถามว่าเหตุใดจึงตบเขาจนสลบไป แต่เสียงของอีกฝ่ายดังก้องขึ้นเสียก่อน
“เซินหง ผมจะให้ทางเลือกสองทาง คุณจะสามารถฝ่าด่านวรยุทธไปถึงขั้นจงซรือและมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ส่วนอีกทางหนึ่ง ก็อย่างที่คุณพูด หากคุณไม่รังเกียจความตาย ผมก็ไม่อาจช่วยชีวิตคุณได้เช่นกัน”
เขาต้องการแน่ใจก่อนว่าอีกฝ่ายอยากมีชีวิตอยู่ ถ้าฝ่ายนั้นไม่เต็มใจ ต่อให้
จางเซวียนมีความสามารถเก่งกาจขนาดไหน ก็ช่วยชีวิตไว้ไม่ได้
“เรา… มีชีวิตอยู่ต่อไปได้? สำเร็จขั้นจงซรือได้ด้วยหรือ?” ตอนแรกเขาไม่พอใจที่จางเซวียนตบเขาจนสลบ แต่เมื่อได้ยินเช่นนั้น เซินหงก็ตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น
เขารู้ว่าการจะสำเร็จวรยุทธขั้นจงซรือนั้นยากเพียงใด เขาพยายามมาทั้งชีวิตเพียงเพื่อจะล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า ตอนนี้ เมื่อเขาอยู่ในสภาวะใกล้ตาย และไม่เหลือศักยภาพใดๆอีกแล้ว ยังจะสำเร็จวรยุทธขั้นจงซรือได้อีกหรือ?
“หากคุณตั้งใจจะฝ่าด่านไปให้ได้ คุณก็ทำได้แน่นอน แต่หากคุณไม่ต้องการ ก็ลืมมันเสียเถิด ผมไม่อยากเปลืองแรง” จางเซวียนพูดอย่างเฉยเมย
“แน่นอนว่าเราต้องการ…เราขอวิงวอนปรมาจารย์หยางช่วยชี้แนะการฝ่าด่านวรยุทธให้เราด้วย…” โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย เซินหงทรุดตัวลงคุกเข่าทันที ความไม่พอใจที่เคยมีมาก่อนหน้าหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
‘มหากาพย์’ ก่อนหน้านี้เป็นแค่การปลอบใจตัวเองเท่านั้น
สำหรับโอกาสที่จะได้สำเร็จวรยุทธและมีชีวิตอยู่ต่อไป มีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะปฏิเสธมัน
“สำหรับคุณ ไม่ยากเลยที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่ว่า…” จางเซวียนเดินวนรอบตัวเซินหงราวกับจะตรวจสอบสภาพร่างกายของเขา จากนั้นก็หยุดและมองเซินหงด้วยสายตาที่มีแววล้ำลึกเกินหยั่ง เขาเอ่ย “คุณต้องฟังสิ่งที่ผมพูดและทำตามอย่างเคร่งครัด อย่าได้พยายามฝ่าฝืนแม้แต่น้อย มิเช่นนั้นผมก็ไม่อาจช่วยคุณได้ ในเบื้องต้นนี้ ก็แค่ทำตามที่ผมบอกและให้ความร่วมมือ ไม่จำเป็นจะต้องตั้งคำถามอะไรอีก”
“นั่นง่ายมาก เราจะทำตามที่ท่านพูด!” ตอนแรกเขาคิดว่าอีกฝ่ายจะขอร้องในเรื่องยากๆ แต่เมื่อรู้ว่าง่ายเช่นนี้ เซินหงรีบพยักหน้าและตอบตกลง
สมัยก่อนที่เขาเล่าเรียนกับอาจารย์ ก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน
เขาจึงพูดออกไปโดยไม่ได้คิดอะไร แต่เมื่อพูดไปแล้ว ก็เห็นฮ่องเต้เซินจุยกับอีกสามปรมาจารย์มองเขาอย่างเห็นใจ
แน่นอนว่าพวกเขาเห็นใจ! เพราะปรมาจารย์หยางผู้นี้มีความสามารถก็จริง แต่วิธีการพิสดารพันลึกของเขานั้นช่างยากที่จะยอมรับ การถามความสมัครใจของอีกฝ่ายก่อนจะเริ่มต้นการรักษานั้น ต่อให้ใช้หัวแม่เท้าคิดก็รู้ได้ว่าเซินหงต้องตกที่นั่งลำบากแน่
“มีอะไรรึ?” เห็นสายตาเหล่านั้น เซินหงให้ฉงน
เขาอยู่ในสภาพร่อแร่มาตลอดสองสามวันที่ผ่านมา จึงไม่สังเกตเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับปรมาจารย์จวง เขาคิดว่าตัวเองคงแค่พูดอะไรผิดไป
“ไม่มีอะไรหรอก…” ฮ่องเต้ปาดเหงื่อเย็นๆที่หน้าผากและกลืนถ้อยคำที่อยากพูดลงไป
ทรงได้เห็นวิธีการพิสดารของปรมาจารย์หยางมากับตา ดูเหมือนว่าเชื้อพระวงศ์อาวุโสผู้นี้ คงจะต้องเดือดร้อนไม่ต่างจากปรมาจารย์จวงเป็นแน่
“ดีแล้วที่คุณตกลง ฝ่าบาท ได้โปรดจัดหาสาวนางรำจากในวังให้มาที่นี่ พวกนางต้องหุ่นดีด้วยนะ!” เมื่อเซินหงตกลง จางเซวียนก็พยักหน้า จากนั้นเขาหันไปพูดกับเซินจุยอย่างเอาจริง
“สาวนางรำรึ?” ฮ่องเต้และสามปรมาจารย์ต่างงงงัน
สาวนางรำในพระราชวังก็ทำได้แค่ร่ายรำเท่านั้น พวกนางมีวรยุทธต่ำมาก จะเรียกมาเพื่ออะไร?
ให้แม่สาวเหล่านั้นมาช่วยเซินหงฝ่าด่านวรยุทธอย่างนั้นหรือ?
แถมยังกำชับว่าต้องหุ่นดีเสียด้วย…นั่นดูไม่เหมือนวิธีการรักษาเอาเสียเลย?
“ได้…” แม้ฮ่องเต้เซินจุยจะไม่เข้าใจ แต่ก็ทรงรู้แล้วว่าไม่มีทางที่พระองค์จะเข้าใจสติปัญญาของปรมาจารย์หยาง จึงทรงออกคำสั่งลงไปโดยไม่รอช้า
เหล่าข้าราชบริพารรับคำสั่งอย่างว่องไว ครู่ต่อมา นางรำสาวสวยเรือนร่างยั่วยวนจำนวน 12 คนก็มาถึง
แม้ว่าจะยังห่างไกลนักหากเทียบกับเสิ่นปี้หรู แต่ก็จัดว่าสวยจนน่าตะลึง ทุกท่วงท่าของพวกหล่อนสร้างความเพลิดเพลินเจริญตาให้กับผู้พบเห็น
“ปรมาจารย์หยาง พวกนางใช้ได้หรือไม่?”
“ไม่เลว แต่สวมเสื้อผ้ามากชิ้นไปหน่อย บอกพวกนางให้ถอดเสื้อแขนยาวและอะไรที่รุงรังออกไปเสีย!” จางเซวียนสั่ง
“มากชิ้นไปหน่อยรึ?” สามปรมาจารย์มีสีหน้าประหลาด
จัดหานางรำมา และบอกพวกนางให้เปลื้องผ้า…นี่แน่ใจหรือว่ากำลังช่วยฝ่าด่านวรยุทธ?
เหตุใดจึงทำเหมือนอยู่ในหอนางโลมและกำลังเลือกผู้หญิงที่ตัวเองพอใจ…
ถ้าไม่ใช่เพราะความอยากรู้ว่าปรมาจารย์หยางจะทำอะไรต่อไป พวกเขาจะไม่ขออยู่ต่ออีกแม้วินาทีเดียว
ทุกคนเคยเห็นวิธีการอันแสนจะแหกคอกของปรมาจารย์หยางมากับตา ครั้งนี้จึงไม่คาดหวังว่าจะได้เห็นอะไรที่ธรรมดาสามัญ
เหล่าปรมาจารย์ที่เก่งกาจนั้นมักเป็นคนเข้มงวดกวดขันและเลือกใช้วิถีทางที่สูงส่งเสมอ แล้วเหตุใดวิธีการรักษาของคุณจึงดูเหมือนการเลือกนางบำเรอเสียมากกว่า…
แม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าปรมาจารย์คิดจะทำอะไร แต่ก็เสียความรู้สึกไปล่วงหน้าแล้ว
บรรดานางรำนั้นเป็นสมบัติของพระราชวัง ไม่เพียงแต่เปลื้องผ้า พวกหล่อนยังพร้อมจะทำทุกอย่างโดยไม่ลังเลหากได้รับคำสั่ง เมื่อมีคำสั่งมาเช่นนั้น ทุกคนจึงรีบถอดเสื้อแขนยาวและชุดชั้นในที่รัดรึงออก
ความอวบอัดเต่งตึงถูกเปิดเผยแก่สายตาทุกคน
“เอาล่ะ ฝ่าบาท โปรดช่วยผมเตรียมของอีกสองสามอย่าง…” จางเซวียนหันมากระซิบใส่หูของอีกฝ่าย
“ปรมาจารย์หยาง โปรดบอกสิ่งที่ท่านต้องการมาเถิด…อะไรนะ?”
เมื่อจางเซวียนพูดไปได้ครึ่งประโยค ฮ่องเต้ทรงอุทานออกมาอย่างตกตะลึง นัยน์ตาของพระองค์เบิกโพลงและรู้สึกเหมือนจะเสียสติ “ปรมาจารย์หยาง หากท่านมีความพอใจเช่นนั้น เราสามารถจัดหาคนมากเท่าที่ท่านต้องการไปยังที่พักของท่านได้ แต่ที่นี่…มันไม่เหมาะสม…”
“อย่ามัวพูดไร้สาระอยู่เลย เร็วเข้า!” จางเซวียนเร่ง
“ได้…” ด้วยใบหน้าอาบน้ำตา ฮ่องเต้เซินจุยรีบออกคำสั่งตามที่จางเซวียนบอก
ในบรรดาสามปรมาจารย์ หลิวหลิงเป็นผู้เก่งกาจที่สุด แม้จางเซวียนจะกระซิบกระซาบ แต่เขาก็ได้ยินถ้อยคำเหล่านั้น เขาผงะไปโดยพลันและรู้สึกหัวหมุนติ้ว
“เขาบอกให้ฮ่องเต้ทำอะไร?”
เมื่อเห็นสีหน้าเช่นนั้น จวงเชียนกับเจิงเฟยก็รู้ว่าเขาคงได้ยินบางอย่าง ทั้งคู่ไม่อาจเก็บความอยากรู้ไว้ได้อีกต่อไป จึงเอ่ยถาม
“เขาบอกให้ฮ่องเต้จัดหาบางอย่างมา…” หลิวหลิงมีสีหน้าว่างเปล่า
“บางอย่างหรือ? มันเป็นอะไรกัน เซินจุยถึงได้ตกตะลึงขนาดนั้น?”
“มันคือ…ยาปลุกกำหนัด!”
“ยาปลุกกำหนัด?” จวงเชียนกับเจิงเฟยอึ้งตะลึง จากนั้นก็ตาเหลือก
บ้าไปแล้ว!
พวกเขารู้อยู่แล้วว่าวิธีการของปรมาจารย์หยางจะต้องวายป่วง แต่เมื่อได้ยินขนาดนี้ก็แทบจะกระอักเลือด
เป็นอย่างที่พวกเขาคาดไว้จริงๆ การกระทำของอีกฝ่ายนั้นหาความดีไม่ได้เลย!
เคยเห็นแต่ปรมาจารย์ที่ต้องการยาบำรุง ยาเม็ด ของล้ำค่าที่เติมเต็มจิตวิญญาณ และเคล็ดวิชาลับ นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นปรมาจารย์ต้องการยาปลุกกำหนัด
จัดหานางรำมา สั่งให้พวกนางเปลื้องผ้า จากนั้นก็ให้คนไปนำสิ่งของเหล่านั้นมาอีก พี่ชาย นี่คุณกำลังช่วยเขาฝ่าด่านวรยุทธ หรือช่วยให้เขาได้ออกกำลังกายกันแน่?
ทั้งสามปรมาจารย์มองเซินหงอย่างเห็นใจสุดแสน
แม้ปรมาจารย์จวงจะถูกตีจนน่วมตอนที่อยู่ในกระสอบป่าน แต่อย่างน้อยชื่อเสียงของเขาก็ไม่ด่างพร้อย หากต้องทำสิ่งที่ไร้วัฒนธรรมต่อหน้าธารกำนัลเพื่อฝ่าด่านวรยุทธเช่นนี้ เขาคงจะตายเพราะความเดือดดาลอยู่ตรงนั้น
ขณะที่ทุกคนกำลังพรั่นพรึงกับคำขอของจางเซวียน ข้าราชบริพารคนหนึ่งก็เข้ามาพร้อมกับขวดหยกหนึ่งใบที่บรรจุยาซึ่งถูกปรุงขึ้นเป็นการเฉพาะ
ฮ่องเต้ทุกพระองค์มี ‘หลังบ้าน’ จำนวนมาก และฮ่องเต้เซินจุยก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะหายาชนิดนี้ในพระราชวัง
“กลืนลงไป!” จางเซวียนรับขวดหยกมาและเดินไปหาเซินหง
“จัดไป!” เชื้อพระวงศ์อาวุโสไม่รู้สักนิดว่ามีอะไรอยู่ข้างใน แต่เขามีความเกรงขามและเชื่อมั่นในตัวจางเซวียนอย่างเต็มเปี่ยม หลังจากรับขวดไปแล้ว เขาก็กลืนยาเม็ดที่อยู่ในนั้นลงไปโดยไม่ลังเล
เห็นทีท่าบ้าบิ่นเช่นนั้น ทั้งฮ่องเต้และสามปรมาจารย์ต่างเลิกคิ้ว
“เอาล่ะ ออกไปร่ายรำกับพวกนาง” จางเซวียนพยักหน้าอย่างพอใจเมื่อเห็นเขากลืนยาลงไป
“ร่ายรำ?” เซินหงผงะ
เขาเป็นผู้อาวุโส ให้ออกไปร่ายรำกับสาวน้อยพวกนี้หรือ?
อีกอย่าง…พวกนางต่างนุ่งน้อยห่มน้อย หากเขาออกไปร่ายรำ คงจะต้องถูกเนื้อต้องตัวพวกนางแน่…
เขากำลังต่อสู้กับความขัดแย้งในใจ ก็พลันรู้สึกถึงความร้อนวาบที่แผ่ซ่านมาจากหน้าท้อง จากนั้น เมื่อมองที่เหล่านางรำอีกครั้ง ความร้อนรุ่มก็พุ่งเข้าฉุดเขาอีก
อ๊าาาาาาาาา!
ความร้อนรุ่มนั้นหนักหน่วงขึ้นทุกที ไม่ช้า เขาก็ควบคุมตัวเองไม่ได้
คงจะต้องพูดว่ายาที่ฮ่องเต้เซินจุยจัดหามานั้นได้ผลอย่างน่าทึ่ง ยาออกฤทธิ์อย่างรวดเร็วนัก
ภายในไม่กี่อึดใจ ดวงตาของเซินหงก็แดงก่ำ เขาข่มความร้อนรุ่มไว้ไม่ไหวอีกต่อไป
หลังจากกินยานี้ แม้ไม่มีสิ่งใดมายั่วยวนตรงหน้า ผู้นั้นก็จะรู้สึกร้อนรุ่มเกินต้านทานอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ มีสาวน้อยนางรำเรือนร่างเย้ายวนอยู่ตรงหน้าเซินหงมากมาย คงจะประหลาดนักหากเขายั้งใจได้
เซินหงคำรามในคอและพยายามตรงเข้าใส่
“หยุดเขาไว้ให้นั่งเฉยๆ ให้นางรำพวกนั้นร่ายรำตรงหน้าเขานี่ล่ะ ยิ่งยั่วยวนเท่าไรยิ่งดี!” จางเซวียนสั่ง
“ด…ได้!” ฮ่องเต้เซินจุยเหงื่อไหลเป็นทาง
นี่มันวิธีฝ่าด่านวรยุทธชนิดไหนกัน? ให้กินยาปลุกกำหนัด แต่ไม่ให้ทำอะไรนอกจากนั่งดู?
ฟิ้วววววว!
เมื่อได้ยินคำสั่ง ท่วงท่าร่ายรำของสาวน้อยเหล่านั้นยิ่งเร่าร้อนยั่วยวนกว่าเดิม
เรือนร่างเย้ายวนเหล่านั้นร่อนส่ายอย่างเชิญชวน แสงไฟตกกระทบผิวขาวผ่องราวหิมะของพวกหล่อน ทำให้ดูอบอุ่นราวกับหยกที่เชื้อเชิญให้ใครสักคนลูบไล้ ทุกท่วงท่าล้วนแต่ปลุกราคะของบุรุษเพศให้ลุกโชน ไม่ต้องพูดถึงเซินหงที่กินยาปลุกกำหนัดเข้าไป แม้แต่สามปรมาจารย์ก็ยังร้อนรุ่ม
“วิธีนี้จะช่วยให้เขาฝ่าด่านวรยุทธได้…จริงๆหรือ?” ตอนแรกพวกเขาคิดว่าการฟาดจนน่วมก็เป็นวิธีการที่พิสดารพันลึกพอแล้ว เพิ่งรู้ว่าจางเซวียนยังมีวิธีที่หนักข้อไปกว่านั้นอีก…
สามปรมาจารย์แทบจะปล่อยโฮออกมา ด้วยสถานการณ์ตรงหน้า พวกเขารู้สึกว่าทฤษฎีและหลักการทั้งหมดที่เรียนมาตลอดหลายทศวรรษนี้ช่างไร้ค่านัก!