ตอนที่ 189 วิธีพิสดารในการรักษาเซินหง (2)
“เซินจุย เจ้าให้เรากินอะไรเข้าไป?”
เมื่อรู้สึกถึงแรงกระตุ้นเกินต้านทาน รวมทั้งความร้อนรุ่มภายในที่ไม่บรรเทาเบาบางลงเลย เซินหงก็รู้ได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาคำรามด้วยความเดือดดาล
“มันคือ…ยาปลุกกำหนัด…” เซินจุยทำได้แค่ตอบตามตรง
“ยาปลุกกำหนัด? เจ้าสารเลว…” เซินหงมึนงง
เขาไม่นึกเลยว่าจะมีชีวิตอยู่จนถึงวันที่หลานแท้ๆของตัวเองนำยาปลุกกำหนัดมาให้กิน บ้าที่สุด แกเห็นฉันเป็นของเล่นหรือ?
เซินหงรู้สึกเหมือนจะเป็นบ้า
“ผู้อาวุโส ได้โปรดอย่าตำหนิเราเลย ปรมาจารย์หยางเป็นคนบอกให้เราทำเช่นนั้น เราไม่มีทางเลือก…” ฮ่องเต้เซินจุยร่ำๆจะปล่อยโฮ
ตอนที่พระองค์เกือบจะฆ่าผู้อาวุโสด้วยการป้อนสารพิษนั้น ความเจ็บปวดก็ยังไม่จางจากใจ มาตอนนี้ ทรงถูกตำหนิอีกเพียงเพราะว่าทำตามคำสั่งของปรมาจารย์หยาง…
นี่เราทำอะไรผิด?
ทั้งหมดที่เราต้องการก็เพื่อให้ท่านมีชีวิตยืนยาวขึ้นเท่านั้น!
แต่สุดท้าย ท่านตอบแทนเจตนาดีของเราเช่นนี้เองหรือ…
“ปรมาจารย์หยาง?”
ด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ เซินหงข่มความร้อนรุ่มภายในไว้และหันไปทางจางเซวียน เขายังมีสีหน้าเฉยเมยและวางท่าสูงส่งเช่นเดิม ราวกับไม่เคยสั่งการชั่วร้ายเช่นนั้นมาก่อน เซินหงหันกลับไปและตบหน้าฮ่องเต้เซินจุย
“สารเลว! ในฐานะปรมาจารย์ ปรมาจารย์หยางเป็นผู้สูงส่ง เขาจะให้ฉันกินของแบบนั้นได้อย่างไร หากแกยังกล้าป้ายความผิดให้ปรมาจารย์หยางอีกแม้แต่ครั้งเดียว ฉันจะฆ่าแกเสีย!”
“….” เซินจุย
สูงส่งหรือ?
เอาสิ่งใดมาพูดว่าเขาสูงส่งกันเล่า? เขาเพิ่งตบท่านสลบเมื่อครู่นี้เองไม่ใช่หรือ?
พูดถึงการป้ายความผิด…
หากเขาไม่ออกคำสั่ง เราจะกล้าให้ท่านกินของแบบนั้นได้อย่างไร
ฮ่องเต้เดือดดาลจนแทบจะกระอักเลือด
ทรงหันไปมองปรมาจารย์หยางด้วยสายตาวิงวอน หวังว่าเขาจะอธิบายเรื่องนี้ให้ท่านปู่เข้าใจ แต่ชายผู้นั้นกลับยืนเอามือไพล่หลังและเหม่อมองเพดานราวกับไม่ใช่ธุระอะไรของเขาเลย
ทำทีท่าราวกับจะพูดว่า ‘แกเป็นคนทำเอง ฉันไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วยสักหน่อย…”
“ไอ้สารเลว! คิดดูสิว่าฉันรักแกมากแค่ไหน…ฮึ่ม…ทนไม่ไหวแล้วโว้ย! ใครอย่ามาขวางนะ…” เซินหงสบถและยอมจำนนต่อความร้อนรุ่มในอก เขาพุ่งเข้าใส่เหล่าสาวงามที่กำลังร่ายรำ
แต่เมื่อใกล้จะถึงตัวพวกหล่อน เขารู้สึกปวดหนึบที่ท้ายทอยขึ้นมาทันที
ตุ้บ!
เขาร่วงลงกับพื้น สลบไปอีกครั้งหนึ่ง
ผู้ที่ทำให้เป็นเช่นนั้นคือจางเซวียน
เห็นเชื้อพระวงศ์อาวุโสสลบไป ฮ่องเต้ทรงถอนหายใจอย่างโล่งอก “ปรมาจารย์หยาง เราจะทำอย่างไรต่อ?”
“ปลุกเขาขึ้นมา แล้วให้นางรำเหล่านั้นร่ายรำยั่วยวนเขาอีก…”
จางเซวียนสั่ง
“เอาอีกรึ?” ฮ่องเต้เซินจุยปากสั่น
“อ้อ ใช่ พอผู้อาวุโสตื่นขึ้นมา ให้ฝ่าบาทบอกเขาว่าฝ่าบาทเป็นคนทำเขาสลบ จากนั้นเมื่อเขาควบคุมอารมณ์ไม่ได้อีก ผมก็จะทำให้เขาสลบอีกครั้ง และแน่นอนว่าฝ่าบาทก็ต้องบอกไปว่าฝ่าบาทเป็นคนทำ…” จางเซวียนพูด
“…” ฮ่องเต้เซินจุย
ให้ปลุกเขาขึ้นมา แล้วก็ทำให้สลบไปอีก นี่คุณเสพติดความซาดิสต์แล้วหรือไง?
ยิ่งกว่านั้น…เราต้องออกรับว่าเราเองเป็นคนทำ…
ฮ่องเต้เซินจุยขัดใจจนแทบจะคลั่ง กำลังจะทรงออกปากปฏิเสธแผนการ ก็พอดีเห็นปรมาจารย์หยางมองมาด้วยสายตาแข็งกร้าว
“อย่าปฏิเสธผม เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง จะต้องไม่มีความผิดพลาดแม้แต่น้อย มิเช่นนั้นทุกอย่างจะล้มเหลว!”
“….” ครั้งนี้ฮ่องเต้ปล่อยโฮเอาจริงๆ
ผู้อาวุโส ไม่ใช่เรานะ ปรมาจารย์หยางต่างหากที่ต้องการให้ท่านทำเช่นนั้น…
ด้วยเหตุนี้ เมื่อฮ่องเต้ปลุกเซินหงขึ้นมา เขาก็ถูกทำให้สลบไป
จากนั้นฮ่องเต้ก็ปลุกเขาขึ้นมาอีกครั้ง และไม่ช้าก็ถูกทำให้สลบไปอีก ในระหว่างนั้น หลิวหลิง จวงเชียน และเจิงเฟยต่างอึ้งตะลึงกับเหตุการณ์ตรงหน้า เมื่อเห็นความบ้าบอนี้แล้วก็แทบจะทึ้งผมตัวเอง
“ปรมาจารย์หลิว ท่านเป็นผู้รอบรู้ บอกเราได้ไหมว่าวิธีการฝ่าด่านวรยุทธที่ปรมาจารย์หยางใช้อยู่นี้คือวิธีใด?” หลังจากอึ้งกันไปพักใหญ่ จวงเชียนเอ่ยขึ้น
“ผม…บอกอะไรไม่ได้เลย!” ปรมาจารย์หลิวหน้าแดงก่ำ
วิธีการฝ่าด่านวรยุทธหรือ? ไอ้เรื่องบ้าบอที่เห็นอยู่นี่มันใกล้เคียงกับวิธีการฝ่าด่านวรยุทธตรงไหนกัน?
ในบรรดาหลายร้อยกรรมวิธีที่ปรมาจารย์มีอยู่นั้น มีกฏเฉพาะอยู่เพียงสองสามข้อที่ใช้ในการฝ่าด่านวรยุทธ แต่ก็ไม่มีข้อใดเลยที่ดูจะเกี่ยวข้องกับการให้ผู้นั้นกินยาปลุกกำหนัด…
ที่เลวร้ายไปกว่านั้น การให้กินยาปลุกกำหนัดก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่การจงใจหาสาวสวยมายั่วยวน และทำให้เขาสลบไปเมื่อเขาควบคุมตัวเองไม่ได้…
เราไม่คิดว่าเขากำลังช่วยเซินหงฝ่าด่านวรยุทธหรอก ดูเหมือนจะฉีกหน้าเซินหงเสียมากกว่า!
น่าสมเพชเซินหงที่สั่งสมเกียรติยศมาเนิ่นนาน บัดนี้กลายเป็นผู้มักมากในกามไปเสียแล้ว พอรู้สึกตัวขึ้นมา ก็พุ่งเข้าหาแม่สาวงามเหล่านั้นทันที…
“การฝ่าด่านวรยุทธแบบไหนกันที่ต่ำช้าเช่นนี้! ผมคิดว่าปรมาจารย์หยางผู้นั้นกำลังฉีกหน้าเซินหง ไม่เคยได้ยินว่ามีใครฝ่าด่านวรยุทธไปได้หลังจากที่กินยาปลุกกำหนัดเข้าไป…” เจิงเฟยส่ายหน้า เขาพูดต่อด้วยสีหน้าเย็นชา “นี่เป็นเรื่องตลกงี่เง่า ปรมาจารย์หลิว ผมคิดว่าจะดีที่สุดถ้าเราก้าวเข้าไปขวาง! ปรมาจารย์อย่างเราจะปล่อยให้เกิดเรื่องน่าอับอายเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?”
“เอ่อ…” หลิวหลิงลังเล
“ไม่มีอะไรต้องลังเลแล้ว ดูเชินหงสิ เขาใกล้จะบ้าคลั่งเต็มที หากข่าวนี้แพร่สะพัดออกไปล่ะก็ ชื่อเสียงของเขาจะต้องป่นปี้ ต่อให้ตายไปแล้วก็เถอะ…”
เจิงเฟยพึมพำ
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลิวหลิงกับจวงเชียนก็มองเซินหง เป็นอย่างที่อีกฝ่ายพูด
เซินหงผู้เป็นสุภาพบุรุษ บัดนี้กลายเป็นชายคลุ้มคลั่งไร้สติที่พุ่งเข้าใส่นางรำยั่วยวนเหล่านั้น เสื้อแสงของเขาฉีกขาดเกือบหมด นัยน์ตาก็แดงก่ำ ดูคล้ายหมาป่าที่โหยหิวและหื่นกระหาย
“แต่…วิธีการที่ปรมาจารย์หยางใช้กับการฝ่าด่านวรยุทธของผมก็เกินจะทำความเข้าใจเหมือนกัน เป็นไปได้ไหมว่ากรณีนี้ก็เป็นเช่นนั้น แม้ดูผิวเผินแล้วจะไม่เข้าท่า แต่ที่จริงเขาอาจกำลังทำประโยชน์ให้เชินหงอยู่ก็ได้…” จวงเชียนเม้มปาก
“บิดาของคุณเป็นปรมาจารย์ ก็แน่นอนว่าคุณจะต้องยึดติดกับหลักการและวิถีทางดั้งเดิม ด้วยเหตุนี้วิธีของเขาที่ใช้การทำให้คุณเดือดดาลนั้นจึงเข้าใจได้ แต่นี่…เซินหงจะฝ่าด่านวรยุทธได้อย่างไร? ยังไม่ต้องพูดถึงความเป็นไปได้ ดูแค่สภาวะบ้าคลั่งของเขาในตอนนี้ ต่อให้เขามีพลังปราณเพียงพอก็ฝ่าด่านวรยุทธไม่ได้อยู่ดี พวกเราควรจะช่วยเซินหงออกมาจากการกระทำทุเรศนี่!” เจิงเฟยพูด
วรยุทธขั้นจงซรือเป็นปราการด่านแรกของการก้าวไปเป็นนักรบขั้น 9 ช่องว่างระหว่างทงฉวนกับจงซรือนั้นกว้างใหญ่ราวกับความแตกต่างระหว่างปลากับมังกรนั่นทีเดียว แม้ว่าผู้ฝึกวรยุทธจะมีพละกำลังเพิ่มขึ้นอย่างเหลือเชื่อเมื่อฝ่าด่านไปได้ แต่คนเก่งกาจจำนวนนับไม่ถ้วนก็ไม่ประสบความสำเร็จในขั้นสุดท้าย ตอนนี้เซินหงไม่เหลือความรู้ผิดชอบชั่วดีและกำลังพุ่งเข้าใส่สาวงามอย่างหน้ามืดตามัว ด้วยสภาวะเช่นนี้ จะสำเร็จได้อย่างไร?
เล่นตลกกันชัดๆ?
ถ้าเป็นจริง ก็ไม่ต้องฝึกวรยุทธกันแล้ว มีใครบ้างที่สำเร็จวรยุทธขั้นจงซรือได้ด้วยการไปเริงร่าอยู่ในหอนางโลม?
“แต่…”
“ไม่มีแต่ ปรมาจารย์หลิว จะดีที่สุดถ้าคุณรีบตัดสินใจ ผมเอาชีวิตของตัวเองเป็นประกันเลยว่าไม่มีทางที่เซินหงจะฝ่าด่านวรยุทธได้ หากเขาทำสำเร็จล่ะก็ ผมจะตัดหัวตัวเองเลย…” เจิงเฟยพูดอย่างมั่นใจ
บึ้ม!
ยังไม่ทันพูดจบ เขาก็รู้สึกถึงรังสีเปี่ยมพลังที่แผ่ออกมาจากที่ไม่ไกลนัก มันอบอุ่นราวกับดวงอาทิตย์อันสว่างไสว
“เกิดอะไรขึ้น?”
ทุกคนหันขวับไปมอง และเห็นเชื้อพระวงศ์อาวุโสเซินหง ผู้ที่เมื่อครู่นี้เพิ่งจะไล่คว้าสาวงามอย่างบ้าคลั่ง ตอนนี้เขานั่งสงบนิ่งอยู่บนพื้นราวกับเป็นเซียน ลมหายใจของเขาลึกและหนักแน่นราวกับมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ความอ่อนแอที่ปรากฏเมื่อครู่หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย เขาดูเปี่ยมด้วยพลังชีวิตราวกับชายหนุ่ม เมื่อเปรียบเทียบกับฮ่องเต้เซินจุยที่ยืนอยู่ข้างๆแล้ว พระองค์ถึงกับดูซีดเซียวไปเลย
นักรบขั้น 8-จงซรือ!
“เขาฝ่าด่านวรยุทธได้แล้วจริงๆหรือ?” เจิงเฟยหน้าชาราวกับถูกใครสักคนตบอย่างรุนแรง เขาอยากจะร้องไห้
เขาเพิ่งพูดไปว่าอีกฝ่ายไม่มีทางทำได้สำเร็จ แล้วมันก็ผิดพลาดในทันที…
สำเร็จวรยุทธขั้นจงซรือด้วยการกินยาปลุกกำหนัดนี่นะ?
ใครก็ได้บอกทีว่าเกิดอะไรขึ้น…