ตอนที่ 190 ลู่ฉวินยืมเงิน
ขณะที่เจิงเฟยกำลังปวดใจ หลิวหลิงกับจวงเชียนก็อ้าปากหวอขนาดหย่อนไข่เป็ดลงไปได้
มีความห่างชั้นกันมากระหว่างนักรบขั้น 7-ทงฉวน กับนักรบขั้น 8-จงซรือ พลังชีวิตก็ต่างกันมากด้วย ดังนั้น เมื่อฝ่าด่านวรยุทธไปยังขั้น 8 ได้ อายุขัยของผู้นั้นก็จะเพิ่มขึ้น
นักรบทั่วไปจะมีอายุขัยระหว่าง 70 ถึง 80 ปี แต่การจะอยู่ได้ถึงร้อยปีนั้นไม่ใช่ปัญหาสำหรับนักรบขั้นจงซรือเลย
นี่คือเหตุผลที่การฝ่าด่านวรยุทธไปยังขั้น 8 ทำได้อย่างยากเย็น เนื่องจากเมื่อทำได้แล้ว จะมีความแตกต่างมหาศาล ดูจากการที่ปรมาจารย์ทั้งสามติดแหงกอยู่ที่ขั้นกึ่งจงซรือ ก็เห็นได้ชัดแล้วว่าขั้นตอนสุดท้ายนั้นยากเย็นเพียงใด
ปรมาจารย์ทั้งสามเฝ้าดูอาการของเซินหงตั้งแต่พวกเขามาถึงอาณาจักรเทียน
เซวียน พลังชีวิตของเขาถดถอยอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งอยู่ในสภาวะใกล้ตาย แม้เขาจะยังมีพลังปราณเพียงพอ แต่ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะฝ่าด่านวรยุทธไปได้ เมื่อดูจากสภาพร่างกายที่ทรุดโทรมนั้น ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่คาดคิดว่าปรมาจารย์หยางผู้นี้จะแก้ปัญหาได้ด้วยยาเม็ดเดียว
ความสามารถที่เหลื่อมล้ำกันขนาดนี้ทำให้ทั้งสามปรมาจารย์รู้สึกว่าความรู้ที่พวกเขาร่ำเรียนมาตลอดชีวิตนั้นช่างไร้ค่า
ตอนแรกฮ่องเต้ก็คิดเช่นเดียวกับทั้งสามปรมาจารย์ ทรงคิดว่าปรมาจารย์หยางต้องการจะฉีกหน้าหรือเล่นตลก แต่กลับกลายเป็นตรงกันข้าม ผู้อาวุโสสามารถฝ่าด่านวรยุทธได้!
ผู้เชี่ยวชาญขั้นจงซรือ…
“ขอบคุณท่านปรมาจารย์หยาง…” เวลาผ่านไปนานเท่าไรไม่ทราบได้ เซินหงยืนขึ้นและร้องโหยหวนออกมาราวกับมังกรยักษ์ที่เพิ่งฟื้นตื่นจากการหลับไหล จากนั้น เขาเดินไปคุกเข่าตรงหน้าจางเซวียน
เขาติดอยู่กับวรยุทธขั้นเดิมมาหลายทศวรรษ คิดว่าคงจะต้องตายทั้งที่ฝ่าด่าน
วรยุทธยังไม่สำเร็จ แต่กลับกลายเป็นว่าเขาทำสำเร็จได้ในวินาทีสุดท้าย!
เห็นเชื้อพระวงศ์อาวุโสมาคุกเข่าอยู่ตรงหน้า จางเซวียนไม่ได้ก้าวออกไปเพื่อช่วยให้เขาลุกขึ้น ตรงกันข้าม เขาเอามือไพล่หลัง มองไปโดยรอบและออกเดินอย่างช้าๆ
“พลังชีวิตของเซินหงนั้นถึงจุดสิ้นสุดแล้ว และร่างกายก็เสื่อมถอยจนมาถึงขั้นใช้การไม่ได้ ในช่วงเวลานั้น พลังใจที่จะดำรงชีวิตอยู่ก็เหลือน้อยเต็มที ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเข้าใจเรื่องความเป็นความตาย เห็นมันเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ และไม่กลัวความตายอีกต่อไป ในสภาวะแบบนี้ ทั้งร่างกายและจิตใจของเขาจะอยู่ในสภาพเลวร้ายที่สุดสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธ แม้ยาระดับ 2 หรือระดับ 3 ที่มีประสิทธิภาพก็ไม่อาจช่วยให้เขาฝ่าด่านวรยุทธไปถึงขั้นจงซรือได้”
ทุกคนเงียบกริบและตั้งใจฟังเขาอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น
“ดังนั้นเพื่อให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ผมจึงต้องสร้างเงื่อนไขขึ้นมาบังคับ และควรจะเป็นสิ่งที่เขาไม่อาจต้านทาน! ผู้ชายทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ในเวลาใดหรือสภาวะไหน ก็ไม่อาจต้านทานสาวน้อยแสนสวยได้ หากกินยาปลุกกำหนัดเข้าไปก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ภายใต้สภาวะเร่งเร้าเช่นนั้น พลังชีวิตของเขาพุ่งขึ้นมาอีกครั้ง กระชากเขากลับไปสู่ช่วงเวลาแห่งวัยเยาว์ เมื่ออารมณ์เช่นนั้นสั่งสมกันจนมีความรุนแรงมากพอ การฝ่าด่านวรยุทธจึงเป็นไปได้ง่ายขึ้นมาก”
“และแน่นอนว่าเคล็ดวิชาของเขาก็มีส่วนเป็นอย่างมาก ถ้าผมพูดไม่ผิด มันน่าจะเป็นวิชาดวงอาทิตย์เจิดจ้า!”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ จางเซวียนหันไปมองเขา
“ใช่!” เซินหงพยักหน้าเพื่อยืนยันการคาดเดาของจางเซวียน
เคล็ดวิชาที่เขาใช้คือวิชาดวงอาทิตย์เจิดจ้า เป็นเคล็ดวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรเทียนเซวียน
“เคล็ดวิชานี้มีธรรมชาติของดวงอาทิตย์ที่เจิดจ้าประกอบอยู่ในนั้น ผู้ฝึกจะรู้สึกว่า ตนเองมีพลังหยางล้นเหลือ มันเป็นเคล็ดวิชาลับที่น่าทึ่ง และจะสำแดงพลังที่แท้จริงออกมาเมื่อผู้ฝึกเป็นชาย! ถ้าว่ากันตามเหตุผลแล้ว พลังชีวิตของเซินหงเหือดแห้งขนาดนั้น แม้จะมียาเข้าไปปลุกเร้า แต่ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่สภาพร่างกายของเขาจะกลับไปเป็นเหมือนตอนที่แข็งแรง แต่ด้วยการที่ฝึกวรยุทธโดยใช้วิชาดวงอาทิตย์เจิดจ้ามาตลอดเวลาหลายปีได้ทำให้เปลวไฟของพลังหยางสะสมอยู่ภายในร่างของเขา ในเวลานั้น พลังทั้งหมดได้ถูกเหนี่ยวนำด้วยยา และการยั่วยวนของสาวสวยก็เหมือนกับการราดน้ำมันลงบนกองไฟ ดังนั้น เปลวไฟร้อนแรงจึงลุกพรึบขึ้นภายในกาย”
“ดังนั้นเมื่อเขารวบรวมทั้งหมดไปที่จุดเดียว จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะฝ่าด่านวรยุทธได้!” เมื่ออธิบายจบ จางเซวียนยืนนิ่งมองทุกคน เงียบกริบกันหมด
แต่ในความเป็นจริง เขายังไม่ได้พูดถึงเหตุผลสำคัญที่สุดที่อยู่เบื้องหลังการฝ่าด่านวรยุทธของเซินหง ทั้งยาปลุกกำหนัดและวิชาดวงอาทิตย์เจิดจ้าเป็นปัจจัยเสริมที่มีผลเพียงเล็กน้อย สิ่งสำคัญที่สุดคือการที่…เขาทำให้อีกฝ่ายสลบ
ทุกครั้งที่ทำให้เซินหงสลบ เขาจะถ่ายทอดพลังปราณส่วนหนึ่งเข้าไปในร่างของฝ่ายนั้น และเปิดจุดในร่างกายที่ถูกปิดกั้นเอาไว้ ดังนั้น เมื่อสภาพร่างกายของเขาไร้สิ่งกีดขวาง ประกอบกับอารมณ์พลุ่งพล่านและพลังงานที่ไหลเวียนภายใน เขาจึงฝ่าด่านวรยุทธไปได้ในวินาทีสุดท้ายและสำเร็จขั้นจงซรือ
ด้วยข้อจำกัดด้านวรยุทธของจางเซวียน แม้เขาจะช่วยซุนฉางกับคนอื่นๆได้ง่าย แต่มีโอกาสสูงที่เซินหงจะล่วงรู้ถึงพลังปราณบริสุทธิ์ของเขา เพื่อป้องกันไม่ให้เขารู้เรื่องนั้น จางเซวียนจึงให้ฮ่องเต้เซินจุยออกรับว่าตัวเองเป็นผู้ทำให้เซินหงสลบ
ไม่ใช่เพราะเขาอยากทำตัวเป็นคนดีเลย
ในการฝ่าด่านวรยุทธ พลังปราณของจางเซวียนได้เข้าไปหลอมรวมกับพลังปราณของอีกฝ่าย เหมือนกับน้ำถังหนึ่งที่เข้าไปผสมกับแม่น้ำที่มีตะกอนโคลนขุ่นคลั่ก เป็นไปไม่ได้ที่จะแยกแยะมันออกมาได้อีก
“นี่…” เมื่อได้ฟังคำอธิบาย ทั้งสามปรมาจารย์ถึงกับผงะ
บ้าแล้ว…แบบนี้ก็ได้หรือ?
พวกเขาเป็นปรมาจารย์ที่ผ่านการฝึกฝนอย่างหนักตามวิถีดั้งเดิม และได้มีโอกาสเฝ้าดูปรมาจารย์ท่านอื่นช่วยผู้คนให้ฝ่าด่านวรยุทธไปได้หลายต่อหลายครั้ง แต่วิธีการแบบนี้…เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เคยเห็น
นี่ไม่ควรจะเรียกว่าแหกคอกอีกต่อไป เอาเป็นว่าเกินรับไหวจะดีกว่า
มันเป็นเรื่องที่ไม่มีใครคิดได้ขนาดนั้น
นึกดูสิว่ามีคนฝ่าด่านวรยุทธได้ด้วยการกินยาปลุกกำหนัด โลกนี้เพี้ยนไปแล้วหรืออย่างไร?
“มีวิธีการที่แตกต่างกันไปมากมายในการช่วยผู้คนฝ่าด่านวรยุทธ หลายครั้งหลายหนที่การยึดติดกับหลักการดั้งเดิมไม่ช่วยอะไร ในฐานะปรมาจารย์ ควรเรียนรู้และทดลองสิ่งใหม่มากกว่าจมปลักอยู่กับกฎเดิม”
จางเซวียนโบกมืออย่างไม่ยี่หระ ดวงอาทิตย์ที่ใกล้จะตกทำให้เกิดเงาทอดยาวอยู่ด้านหลังเขา เขาดูราวกับผู้เชี่ยวชาญน่าทึ่งสักคนหนึ่งที่โลกทั้งโลกไม่อาจเข้าใจ ความโดดเดี่ยวจนสุดจะบรรยายแผ่ออกมาจากร่างนั้น
“เราจะจดจำคำสอนของปรมาจารย์หยางให้ขึ้นใจ!” ทั้งสามปรมาจารย์น้อมคำนับในทันที
ณ วินาทีนั้น ทุกคนไม่อาจประทับใจในตัวหยางชวนได้มากไปกว่านี้อีกแล้ว
ไม่มีทางที่จะไม่ประทับใจ อัศจรรย์ราวกับเทพเจ้า!
ด้วยการฟาดแบบมั่วๆ เขาก็ทำให้ปรมาจารย์จวงที่ติดแหงกอยู่กับวรยุทธขั้นเดิมมาไม่รู้กี่ปีฝ่าด่านไปได้ เขาผสมสารพิษแบบสะเปะสะปะ ก็ออกมาเป็นยาที่มีแต่ผู้เชี่ยวชาญด้านยาพิษเท่านั้นจะทำได้สำเร็จ ให้เซินหงกินยาปลุกกำหนัด ก็สามารถพาเขาไปได้ถึงขั้นจงซรือ…
ถ้าไม่ได้เห็นกับตา จะต้องคิดว่าเป็นความฝัน
“อือ!” เห็นทุกคนดูเข้าใจแจ่มแจ้ง จางเซวียนพยักหน้า เขากำลังจะเอ่ยลาและกลับไปยังคฤหาสน์ ก็เห็นนัยน์ตาคู่หนึ่งปรากฏอยู่ตรงหน้า ใบหน้านั้นแดงก่ำด้วยความอับอายและความกระวนกระวาย
เขาถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ก่อนจะมองให้ชัดๆ และเห็นว่าเป็นเจิงเฟย
เขาคือคนที่สงสัยในการกระทำของจางเซวียนมากที่สุด ถึงกับเอาหัวตัวเองเข้าเป็นประกันว่าไม่มีทางที่เซินหงจะฝ่าด่านวรยุทธได้ แต่ตอนนี้ดวงตาของเขาเป็นประกายราวกับเพิ่งดวงดีจากการเสี่ยงโชค
“คุณมีเรื่องอะไรหรือ?” จางเซวียนนึกระแวง
“ปรมาจารย์หยาง ผมเองก็ติดอยู่ที่ขั้นกึ่งจงซรือมาหลายปีแล้ว ในเมื่อมีทั้งยามีทั้งสาวสวยอยู่ที่นี่ ผมก็อยากจะฝ่าด่านวรยุทธไปถึงขั้นจงซรือให้ได้เช่นกัน…”
เจิงเฟยถือขวดหยกไว้ในมือ เขาเทยาเม็ดออกมา และตั้งท่าจะกลืนมัน
“….” จางเซวียน
“….” ฮ่องเต้เซินจุย หลิวหลิง และจวงเชียน
เขาคงพยายามอย่างหนักที่จะโน้มน้าวใจเรา จางเซวียนถอนหายใจ
แต่ละคนมีบุคลิก เทคนิค และวรยุทธที่ต่างกันไป ดังนั้นวิธีการที่ใช้ในการฝ่าด่านวรยุทธของแต่ละคนย่อมแตกต่างกันด้วย ในฐานะปรมาจารย์ เจิงเฟยเข้าใจเรื่องนี้ดี แต่เขาก็ยังพ่ายแพ้ต่อแรงดึงดูดของวรยุทธขั้นจงซรือ
การเพิ่มอายุขัยของผู้หนึ่งอย่างพรวดพราด…ด้วยสิ่งนี้เพียงสิ่งเดียว ก็อาจทำให้ผู้นั้นสูญเสียความรู้ผิดชอบชั่วดีแล้ว อันที่จริงเจิงเฟยไม่ใช่คนเดียวที่ออกอาการกับการกระทำของจางเซวียน แม้หลิวหลิงกับจวงเชียนก็จ้องเขาด้วยประกายตาเว้าวอน
ในเมื่อเขาช่วยเซินหงที่กำลังจะตายให้ฝ่าด่านวรยุทธได้ แล้วพวกเขาทั้งสามยังมีสุขภาพดี จะไม่สำเร็จขั้นจงซรือได้ง่ายกว่าหรือ?
เมื่อคิดได้เช่นนั้น ทั้งสามปรมาจารย์ก็ตัดสินใจเข้าประชิดปรมาจารย์หยางเพื่อจะขอคำชี้แนะในการฝ่าด่านวรยุทธ
เมื่อรู้เจตนาของทั้งสาม จางเซวียนขนลุก เขารีบเอ่ยลาและเตรียมตัวกลับ แต่ในตอนนั้น องครักษ์คนหนึ่งก็เดินเข้ามา
“เรียนฝ่าบาท ลู่ฉวินและหว่างเชาจากโรงเรียนหงเทียนมาขอเข้าพบ!”
“พวกเขามากันทำไมในเวลาเช่นนี้?” ฮ่องเต้เซินจุยชะงัก แต่จากนั้นก็พยักหน้า “ให้พวกเขาเข้ามา!”
มีความเป็นไปได้สูงที่อาจารย์ดาวเด่นทั้งสองคนนี้จะได้เป็นปรมาจารย์ในอนาคต แม้พระองค์จะเป็นถึงประมุขของอาณาจักร ก็ไม่ทรงอยากกระทบกระทั่งกับพวกเขา อีกอย่าง พระองค์ทรงมีความสัมพันธ์อันดีกับบิดามารดาของพวกเขาด้วย
จางเซวียนก็สะดุ้ง “ลู่ฉวิน? หว่างเชา?”
เจ้าสองคนนี้เพิ่งขอพบเราไม่ใช่หรือ? แล้วเหตุใดจึงมาที่นี่? เป็นไปได้หรือไม่ว่าทั้งคู่สะกดรอยตามเราออกจากคฤหาสน์?
แต่นั่นก็เป็นไปไม่ได้…
ด้วยความสงสัย จางเซวียนที่กำลังจะกลับก็ชะงักฝีเท้าไว้
แม้ลู่ฉวินจะยื่นคำท้าต่อเขาในการทดสอบประเมินอาจารย์ แต่จางเซวียนก็ยังไม่เคยพบหน้าฝ่ายนั้น ในเมื่อมีเหตุจะต้องปะทะกันแล้ว ก็น่าจะเป็นโอกาสดีที่จะได้ตรวจดูความสามารถของฝ่ายตรงข้ามเสียก่อน
ฮ่องเต้ออกคำสั่งให้เหล่านางรำกลับไป และให้ข้าราชบริพารเก็บกวาดข้าวของในห้องโถง เนื่องจากเสื้อแสงของเซินหงฉีกขาดไม่มีชิ้นดี เขาจึงไม่อยู่ในสภาพเหมาะสมที่จะพบใคร เซินหงจึงออกไปเช่นกัน
เมื่อทุกอย่างถูกเก็บกวาดเรียบร้อยและทุกคนประจำที่ของตัวเองแล้ว ชายหนุ่มสองคนก็เดินเข้ามา
ได้เห็นใบหน้าของพวกเขาอย่างชัดเจน จางเซวียนขมวดคิ้ว
นี่คือไอ้งั่ง 2 ตัวที่เราเจอหน้าประตูโรงเรียนเมื่อวานนี้ไม่ใช่หรือ?
กลับกลายเป็นว่าทั้งคู่คือลู่ฉวินกับหว่างเชาผู้เป็นตำนาน!
ไม่สงสัยเลยว่าเหตุใดทั้งคู่จึงส่งสายตาเหยียดหยามเมื่อได้พบเขา ทั้งคู่จำเขาได้นั่นเอง
“ลู่ฉวิน/หว่างเชา ถวายบังคมฝ่าบาท และขอคารวะปรมาจารย์หลิว ปรมาจารย์จวง และปรมาจารย์เจิง!” ทั้งคู่ประสานมือคารวะ
ทั้งคู่เคยพบฮ่องเต้เซินจุยมาก่อน ก็เป็นธรรมดาที่จะต้องรู้จัก แม้ทั้งสามปรมาจารย์จะถือเป็นคนแปลกหน้า แต่เสื้อคลุมปรมาจารย์ก็บ่งบอกสถานภาพได้อย่างดี สำหรับจางเซวียน ด้วยเสื้อผ้าที่หรูหราเกินกว่าเหตุ และท่าทีห่ามๆ ทำให้เขาดูเหมือนพ่อค้าผู้มั่งคั่งตามท้องถนน มองปราดเดียวแล้วทั้งคู่ก็ไม่ใส่ใจอีก
อาจารย์ดาวเด่นมักมีความหยิ่งผยองในตัวเอง พวกเขาไม่จำเป็นจะต้องคารวะทุกคนที่พบ
พวกเขาได้ยินชื่อปรมาจารย์หยางและอยากขอเข้าพบ แต่เรื่องจริงก็คือ ทั้งคู่ยังไม่เคยเห็นแม้แต่หน้าตาของฝ่ายนั้น ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าบุคคลที่อยู่ตรงหน้าคือปรมาจารย์หยาง
“ท่านทั้งสองมาในเวลาเช่นนี้ มีกิจธุระใด?” เมื่อเห็นทั้งคู่ไม่สนใจปรมาจารย์หยาง ฮ่องเต้เซินจุยให้ขัดเคืองนัก กำลังจะเอ่ยปากแนะนำตัวเขา แต่อีกฝ่ายก็แสดงท่าทีให้รู้เสียก่อนว่าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น ดังนั้นจึงทรงกลืนถ้อยคำลงไป และเกิดคำถามในใจ
“ฝ่าบาท พวกเรามีคำขออันละลาบละล้วงที่จะต้องเอ่ยปากกับท่าน” ลู่ฉวินลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “เราใคร่ขอยืมเงินจำนวนสามล้านจากฝ่าบาท…”
“ยืมเงินรึ?” ฮ่องเต้เซินจุยฉงน
ด้วยฐานะทางครอบครัวอันมั่งคั่ง เหตุใดพวกเขาจึงต้องมาขอร้องเช่นนี้?
อีกอย่าง จะยืมเงินจำนวนมากขนาดนี้ไปทำอะไร?
“พวกเราอยากขอเข้าพบปรมาจารย์หยาง ฝ่าบาทคงเคยได้ยินชื่อเสียงเลื่องลือของเขาแล้ว การจะเข้าไปข้างในคฤหาสน์ของเขาได้จะต้องจ่ายเงินสามล้าน!” เมื่อเห็นฮ่องเต้มีสีหน้าสงสัย ลู่ฉวินจึงตรงเข้าประเด็นทันที และพูดถึงความตั้งใจของเขา “หากพวกเราได้พบปรมาจารย์หยาง เรามั่นใจว่าจะสามารถโน้มน้าวให้เขารับเราเป็นศิษย์ และเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เราก็จะหาเงินสามล้านได้อย่างแน่นอน และสามารถนำมาใช้คืนฝ่าบาทได้”
“ขอเข้าพบปรมาจารย์หยางหรือ?” เมื่อได้ฟังความตั้งใจของเขา ฮ่องเต้เซินจุยกับทั้งสามปรมาจารย์ต่างมองหน้ากัน
ปรมาจารย์หยางที่คุณพูดว่าอยากขอเข้าพบก็ไม่ได้นั่งอยู่ไกลจากคุณเลย แต่ด้วยความยโสโอหัง คุณปฏิเสธแม้แต่จะทักทายเขา และเลือกที่จะทำเมิน…
ทำเสียขนาดนี้ แล้วยังหวังจะให้เขารับเป็นศิษย์หรือ…
ทุกคนมีสีหน้ากระอักกระอ่วน จางเซวียนเกาศีรษะขณะที่มองทั้งคู่ ให้สงสัยนักว่าเหตุใดทั้งคู่จึงมั่นใจว่าตัวเองจะหาเงินสามล้านมาคืนได้
จางเซวียนยกมือขึ้นเป็นเชิงห้ามฮ่องเต้เซินจุยและทั้งสามปรมาจารย์มิให้เปิดเผยตัวตนของเขา เขามองทั้งสองคนอย่างใคร่รู้ “เหตุใดจึงมั่นใจนักว่าปรมาจารย์หยางจะรับคุณเป็นศิษย์ หากเขาไม่รับคุณล่ะ และเงินสามล้านนี่ก็ไม่ได้คืนด้วย แล้วจากนั้นคุณจะใช้หนี้อย่างไร?”