ตอนที่ 191 ตำนานจางเซวียน (1)
“ผมคือลู่ฉวิน แม้จะมีชื่อเสียงไม่มากมายอะไรในอาณาจักรเทียนเซวียน แต่อย่างน้อยที่สุดผมก็มีความเชื่อมั่นในตัวเอง ไม่ว่าปรมาจารย์หยางจะรับผมเป็นศิษย์หรือไม่ หรือผมจะได้เงินสามล้านคืนหรือไม่ ก็ไม่มีเหตุที่คุณจะต้องเป็นกังวล!”
ก่อนที่ฮ่องเต้เซินจุยและทั้งสามปรมาจารย์จะทันได้เอ่ยปาก ไอ้พ่อค้าวัยกลางคนในเสื้อคลุมขนสัตว์และหมวกผ้าไหมก็พูดจาท้าทายเขา ลู่ฉวินถึงกับขมวดคิ้ว
การที่อีกฝ่ายได้นั่งเสมอองค์ฮ่องเต้และทั้งสามปรมาจารย์ นั่นหมายความว่าสถานภาพทางสังคมของมันย่อมไม่ธรรมดา แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ตัวเขา, ลู่ฉวิน ก็มั่นใจว่าสถานภาพของตัวเองไม่ได้ด้อยไปกว่า ยังไม่ต้องพูดถึงการที่บิดาของเขาเป็นถึงราชครูของฮ่องเต้ นับแค่ความสำเร็จของเขาในการขึ้นเป็นอาจารย์ดาวเด่นของอาณาจักรเทียนเซวียนด้วยอายุเพียงเท่านี้ก็พอแล้ว แค่นี้เขาก็มีคุณสมบัติครบถ้วน สามารถนั่งตีเสมอกับบรรดาหัวหน้าตระกูลใหญ่ๆได้
อย่างหัวหน้าตระกูลหวัง, หวังหง ก็ยังให้ความเคารพเขาเทียบเท่าปรมาจารย์ลู่ ไม่กล้าแสดงทีท่ากระด้างกระเดื่องต่อหน้าเขาเลยแม้เแต่น้อย
แต่ชายผู้นี้เป็นแค่พ่อค้ามั่งคั่งคนหนึ่ง ไม่ได้ควรค่าแก่การพูดถึง ช่างหยาบคายนัก กล้าตั้งคำถามเราอย่างนั้นหรือ? ต่อให้คุณมีสถานภาพสูงส่ง แล้วอย่างไรเล่า? เราพูดกับฮ่องเต้เซินจุย ไม่ใช่กงการอะไรของคุณที่จะต้องเข้ามาก้าวก่าย!
คุณคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน?
เห็นลู่ฉวินมั่นใจขนาดนั้น สามปรมาจารย์แทบสำลัก
ขนาดเราเป็นปรมาจารย์ตัวจริงเสียงจริง ยังไม่กล้าแสดงความไม่เคารพต่อเขาเลย…แต่คุณเป็นแค่อาจารย์ดาวเด่น ยังไม่ได้เป็นแม้ผู้ช่วยปรมาจารย์เสียด้วยซ้ำ เหตุใดจึงแสดงทีท่าโอหังนัก?
“ผมไม่ได้กังวลเรื่องคุณ แค่คิดว่าหากไม่ได้เงินคืน แล้วคุณจะตอบคำถามของฝ่าบาทอย่างไร ต่อให้คุณขายตัวเอง ผมก็ยังสงสัยอยู่ว่าตัวคุณจะมีค่าขนาดนั้นหรือเปล่า!” จางเซวียนส่ายหน้า
เขาแค่ตั้งใจให้คำแนะนำ แต่เมื่อได้รับคำตอบรุนแรงแบบนั้น จางเซวียนก็ท้อใจ
“กรุณาระวังคำพูดของคุณด้วย!” ครั้งนี้ ก่อนลู่ฉวินจะทันได้พูดอะไร หว่างเชาหรี่พลันตา “อาจารย์ลู่ฉวินเป็นอาจารย์ดาวเด่นของโรงเรียนหงเทียน เขาคือผู้ที่จะได้กลายเป็นปรมาจารย์ในวันข้างหน้า คุณคิดว่าเขาจะไม่ยอมชำระหนี้เพียงสามล้านอย่างนั้นหรือ? ช่างตลกนัก! ถ้าจะให้ผมพูดชัดเจนกว่านี้ ก็ขอบอกว่า แม้คนอื่นจะมอบเงินจำนวนนี้ให้ เขาก็ไม่รับ คุณคิดว่าการจะได้รับความขอบคุณจากผู้ที่จะได้เป็นปรมาจารย์ในอนาคตนั้นง่ายนักหรืออย่างไร?
“พอได้แล้ว!” ลู่ฉวินขัดถ้อยคำของเพื่อนรัก จากนั้น ด้วยแผ่นหลังที่ตั้งตรงราวกับหอก เขาเมินจางเซวียนอีกครั้งและหันไปทางฮ่องเต้ “ฝ่าบาท ฝ่าบาททรงรู้จักผมดี ต่อให้ปรมาจารย์หยางไม่คืนเงินให้ ผมก็มั่นใจว่าในไม่ช้าผมจะสามารถหามาใช้คืนฝ่าบาทได้ เงินเพียงเท่านี้ไม่ได้คุ้มค่ากับการเอาชื่อเสียงของผมไปแลก!”
แม้ว่าอาจารย์ดาวเด่นจะไม่อาจเทียบกับปรมาจารย์ได้ แต่เรื่องจริงก็คือพวกเขาสามารถชี้แนะผู้คนให้ฝ่าด่านวรยุทธได้เช่นกัน ถึงเงินสามล้านจะเป็นเงินก้อนใหญ่ แต่หากลู่ฉวินตั้งอกตั้งใจทำงาน เพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ เขาก็จะต้องหาเงินจำนวนนั้นได้
“เอ่อ…” ฮ่องเต้เซินจุยลังเล
เงินสามล้านนั้นมิได้ระคายอาณาจักรเทียนเซวียนแม้แต่น้อย แต่เหตุที่กังวลก็เพราะทรงกลัวว่าจะทำให้ปรมาจารย์หยางขุ่นเคืองใจ
“ผมได้ยินมาว่าปรมาจารย์หยางได้ปฏิเสธที่จะพบใครอีก ต่อให้คุณมีเงิน คุณก็ไม่ได้พบเขาหรอก!” จางเซวียนพูดต่อไป ไม่ใส่ใจทีท่าปราศจากความเคารพของอีกฝ่าย
ถึงอย่างไรชายผู้นี้ก็เป็นบุตรชายของปรมาจารย์ลู่เฉิน ดูทีท่าแล้วปรมาจารย์ลู่น่าจะไม่รู้ว่าเขามาที่นี่เพื่อขอยืมเงิน ถ้าเป็นเช่นนั้น เราจะต้องพยายามโน้มน้าวใจเขา
การที่พวกเขากำลังจะ ‘ไขว้กันในการทดสอบประเมินอาจารย์นั้น อันที่จริงก็อาจเรียกได้ว่าเป็นศัตรูกัน แต่สำหรับจางเซวียน มันเป็นเรื่องที่ต่างออกไป ปรมาจารย์ลู่เฉินได้ช่วยเหลือเขาอย่างมาก และในเมื่อลูกชายของเขากำลังจะทำเรื่องโง่เง่า ในฐานะรุ่นพี่ จางเซวียนรู้สึกว่าเป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องให้คำแนะนำ
“ผมจะได้พบเขาหรือไม่มันก็เป็นปัญหาของผม นี่คุณ คุณไม่รู้สึกว่าตัวเองก้าวก่ายเรื่องของผมมากไปหน่อยหรือ?” เห็นอีกฝ่ายตั้งหน้าตั้งตาทำลายแผนของเขา ลู่ฉวินหมดความอดทน “ผมกำลังขอยืมเงินจากฝ่าบาท ไม่ใช่คุณ ฝ่าบาททรงตัดสินใจเองได้ คุณไม่จำเป็นต้องยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย”
เขาสะบัดเสื้อคลุมอย่างโกรธเกรี้ยว
นี่คุณสติดีหรือเปล่า? ผมกำลังขอยืมเงินจากฮ่องเต้เซินจุย แต่คุณก็วุ่นวายกับเรื่องของผมไม่หยุดหย่อน ถ้าไม่ใช่เพราะคิดว่าผมไม่มีปัญญาใช้หนี้ แล้วคุณจะหมายความว่าอะไร?
คุณคิดว่าผม, ลู่ฉวิน เป็นหมูให้ขยี้เล่นง่ายๆอย่างนั้นหรือ?
ในฐานะอาจารย์ดาวเด่น ถ้าเขาไม่หยิ่งในศักดิ์ศรีของตัวเอง ปล่อยให้ผู้อื่นพูดกับเขาอย่างสบายปากแบบนี้ แล้วบรรดาลูกศิษย์ของเขาจะคงความเคารพนับถือเขาได้อย่างไร? อีกอย่าง ทั้งสามปรมาจารย์ก็เฝ้ามองสถานการณ์อยู่ หากเขาทำท่ากลัวหัวหดเมื่อเจอปัญหา แล้วจะมีสิทธิ์อะไรในการที่จะได้เป็นผู้ช่วยปรมาจารย์?
“นี่คุณ ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร นี่เป็นเรื่องระหว่างอาจารย์ลู่ฉวินกับฝ่าบาท การที่คุณขัดคอเราครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างนี้ ไม่คิดว่ามันมากไปหน่อยหรือ?”
หว่างเชาพูดด้วยทีท่าเย็นชา
เจียมกะลาหัวตัวเองด้วย! ไม่เห็นหรือว่าแม้แต่ปรมาจารย์ทั้งสามยังไม่พูดอะไรเลย?
ถ้าคุณไม่พูดนี่จะตายไหม?
“มากไปรึ?”
จางเซวียนเพียงแค่จะให้คำแนะนำอย่างบริสุทธิ์ใจเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเสียเงินเปล่า เมื่อถูกดูแคลนเช่นนี้จึงได้แต่ส่ายหน้าอย่างหมดปัญญา
ไม่ช้า ตัวตนของเขาในฐานะ ‘ปรมาจารย์หยางก็จะหายไป ซึ่งก็ชัดเจนว่าการตัดสินใจของอีกฝ่ายในการจะขอให้เขารับเป็นศิษย์นั้นย่อมเป็นเรื่องผิดพลาด เขาคิดว่าในเมื่อมีโอกาสได้พบกันแล้วก็น่าจะกำจัดความคิดดังกล่าวออกจากสมองของอีกฝ่ายได้ แต่ความหวังดีของเขากลับกลายเป็นการก้าวก่าย
นอกจากลู่ฉวินจะไม่รู้สึกขอบคุณในความพยายามของเขาแล้ว ยังคิดว่าเขาเข้าไปยุ่มย่ามกับเรื่องส่วนตัวด้วย
แต่จะว่าไป ก็ไม่แปลกที่อีกฝ่ายจะมีปฏิกิริยาแบบนั้น หากจางเซวียนเป็นคนมาขอยืมเงิน และมีใครสักคนพยายามขัดขวางบทสนทนา เขาย่อมไม่พอใจเหมือนกัน
“คุณคือลู่ฉวินใช่ไหม? ผมเคยได้ยินชื่อของคุณตั้งแต่ก่อนจะมาถึงที่นี่แล้ว ผมคิดว่าท่านหยางคนนั้น…เอ่อ…คำพูดของเขาฟังขึ้นนะ คุณน่าจะทบทวนเรื่องนี้เสียใหม่!” แม้จางเซวียนจะไม่ถือสากับอาการประชดประชันของอีกฝ่าย แต่หลิวหลิงก็ทนดูต่อไปไม่ไหว
ในตอนแรก เขามีความประทับใจในตัวลู่ฉวิน และตั้งใจจะทดสอบเขาก่อนที่จะตัดสินใจว่าจะรับเขาเป็นผู้ช่วยหรือไม่ ไม่นึกเลยว่าจะได้เห็นนิสัยด้านนี้ของเขาตั้งแต่พบกันครั้งแรก เขายโสโอหังนัก ถึงกับพูดจากับปรมาจารย์หยางแบบนี้ ความประทับใจที่หลิวหลิงเคยมีต่อลู่ฉวินหายวับไปอย่างไม่เหลือซาก
“ขอบคุณปรมาจารย์หลิวที่แนะนำ แต่ผมตัดสินใจแล้ว…” เมื่อได้ยินคำพูดของปรมาจารย์หลิว ลู่ฉวินไม่ได้ตอบเขาด้วยทีท่าแบบเดียวกับตอนที่พูดกับเจ้าพ่อค้าหยาบคาย เขารีบประสานมือคารวะและตอบอย่างสุภาพ
เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่เต็มใจจะรับฟังคำแนะนำของเขาเช่นกัน หลิวหลิงก็ได้แต่ส่ายหน้าและไม่พูดอะไรอีก
ปรมาจารย์หยางได้ห้ามไม่ให้ฮ่องเต้เซินจุยเปิดเผยตัวตนของเขา จึงชัดเจนแล้วว่าเขาไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้ว่าตัวเองเป็นใคร ดังนั้นหลิวหลิงจึงไม่ทำสิ่งใดที่เป็นการล้ำหน้าปรมาจารย์
“ก็แค่สามล้านเอง ปรมาจารย์ลู่เฉินก็เป็นราชครูของเราทั้งคน เราจะมอบให้คุณก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่!” เมื่อเห็นปรมาจารย์หยางไม่คิดจะตำหนิลู่ฉวิน ฮ่องเต้จึงเอ่ยขึ้นอย่างโล่งอก
เงินจำนวนเพียงเท่านี้ไม่ได้ระคายวงศ์ตระกูลอันทรงเกียรติเลย นับประสาอะไรกับอาณาจักรเทียนเซวียน ในฐานะบุตรชายของราชครู การที่จะทรงมอบเงินให้ลู่ฉวินย่อมไม่ใช่ปัญหา
“ขอบพระทัยฝ่าบาท! แต่เมื่อกระหม่อมได้พูดแล้วว่ามาขอยืม กระหม่อมก็จะขอยืม กระหม่อมไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณคนๆนั้น!” ลู่ฉวินพูดอย่างวางท่า
ในเมื่อเขาแตกหักกับตาเฒ่าคนนั้นแล้ว ก็ไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวด้วยอีกไม่ว่าในทางใดทั้งสิ้น เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาจะปล่อยให้ตัวเองเป็นหนี้บุญคุณคนๆนั้นได้อย่างไร?
“ไปนำเงินสามล้านเหรียญมา!” เมื่อรู้ว่าพ่อลูกมีเรื่องกัน ฮ่องเต้เซินจุยไม่พูดอะไรอีก ทรงหันไปออกคำสั่งกับขันทีข้างกาย
ขันทีผู้นั้นออกไป ไม่ช้าก็กลับมาพร้อมกับเงินปึกหนึ่ง
“ขอบพระทัยฝ่าบาท กระหม่อมจะนำเงินมาใช้คืนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้!” เมื่อได้รับเงินแล้ว ลู่ฉวินประสานมือคารวะอีกครั้งหนึ่ง
“อือ!” ฮ่องเต้เซินจุยโบกมืออย่างไม่ถือสา
หากเขานำเงินมาคืนได้ก็เป็นการดี แต่หากไม่ได้ ก็ไม่ใช่ปัญหา
ตอนนี้ผู้อาวุโสได้ฝ่าด่านวรยุทธจนสำเร็จขั้นจงซรือแล้ว อาณาจักรเทียนเซวียนก็จะเจริญรุ่งเรืองและมีเกียรติยศศักดิ์ศรีมากกว่าเดิม หากวันใดที่อาณาจักรดึงดูดให้ปรมาจารย์สักคนมาช่วยดูแลได้ ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าอาณาจักรเทียนเซวียนจะกลายเป็นอาณาจักรขั้น 2 ตอนนี้เงินเพียงสามล้านจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับพระองค์เลย
“พวกกระหม่อมไม่ขอรบกวนฝ่าบาทแล้ว ลู่ฉวิน/หว่างเชา ขอลา!” ลู่ฉวินหันหลังกลับและเดินออกไปทันที เมื่อเดินไปได้สองสามก้าว เขาหยุดกะทันหันและหันกลับมามองจางเซวียน
“ผมไม่รู้ว่าคุณคือใคร แต่ในเมื่อคุณสามารถนั่งตีเสมอกับทั้งสามปรมาจารย์และฝ่าบาทได้ ภูมิหลังของคุณก็ย่อมไม่ธรรมดา แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็อยากให้คำแนะนำคุณสักเล็กน้อย!”
“หืม?” จางเซวียนมองเขา
“เวลาที่คนอื่นกำลังคุยกัน การพูดแทรกบทสนทนาน่ะถือเป็นกิริยาหยาบคายนะ มันน่ารำคาญ!” ลู่ฉวินมีสีหน้าเหยียดหยามขณะที่เอามือไพล่หลัง เขาทำท่าประหนึ่งว่าตัวเองเป็นดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ควรถูกฝุ่นผงมาทำให้แปดเปื้อน จากนั้นก็หันหลังกลับและเดินออกไปโดยไม่เหลียวหลัง
หว่างเชายิ้มเยาะจางเซวียนก่อนจะรีบตามลู่ฉวินออกไป
เมื่อทั้งคู่ออกไปแล้ว ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ ปรมาจารย์ทั้งสามมองหน้ากัน
“เจ้าหนุ่มคนนั้น…เอาความมั่นใจมาจากไหนกัน?”
หลังจากเงียบกันไปครู่ใหญ่ ปรมาจารย์จวงก็อดออกความเห็นไม่ได้
เขาขุ่นเคืองใจนัก
เป็นเพียงอาจารย์ดาวเด่น แต่บังอาจวิพากษ์วิจารณ์ปรมาจารย์หยาง ผู้ที่แม้แต่พวกเขายังต้องแสดงความเคารพ
ช่างกล้าบ้าบิ่น!
“ผมกำลังคิดจะรับเขาเป็นผู้ช่วย แต่จากที่เห็น คงต้องล้มเลิกความคิดนั้น แม้แต่กับพ่อของตัวเอง เขาก็ยังไม่เคารพ…” หลิวหลิงส่ายหน้า
ชื่อเสียงของลู่ฉวินนั้นมิได้จำกัดอยู่แค่ในอาณาจักรเทียนเซวียน หลิวหลิงและคนอื่นๆต่างเคยได้ยินเรื่องราวของเขา แต่ไม่นึกเลยว่าการพบกันครั้งแรกจะน่าอึดอัดใจขนาดนี้
“ปรมาจารย์หยาง เราขออภัยแทนเขาด้วย เขาไม่…รู้จักตัวตนของคุณ และไม่ได้เจตนาทำให้คุณขุ่นเคือง…” เมื่อเห็นว่าแม้แต่ทั้งสามปรมาจารย์ก็ไม่พอใจกับการกระทำของลู่ฉวิน ฮ่องเต้เซินจุยรีบหันไปขอโทษขอโพยหยางชวน โดยหวังว่าเขาจะไม่ขุ่นเคืองมากนัก
“ไม่เป็นไร ก็เป็นธรรมดาที่จะหลงตัวเองหากประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อยขนาดนั้น!” จางเซวียนส่ายหน้าและลุกขึ้นยืน “เอาล่ะ เซินหงก็สำเร็จขั้นจงซรือแล้ว ได้เวลาที่กระหม่อมควรกลับเสียที หวังว่าฝ่าบาทจะส่งหนังสือวรยุทธขั้นทงฉวนเหล่านั้นไปให้กระหม่อมโดยเร็ว”
“ได้สิ!” ฮ่องเต้พยักหน้าอย่างกระตือรือร้น
“ขออำลา!”
เมื่อเอ่ยลาฮ่องเต้เซินจุยและทั้งสามปรมาจารย์แล้ว จางเซวียนประสานมือคารวะอีกครั้งหนึ่งและเดินออกมาอย่างเบิกบาน ทิ้งความปลื้มปิติท่วมท้นไว้ในใจของทุกคนในที่นั้น
เห็นไหม?
หากเป็นคนอื่น คงจะพยายามเรียกร้องสิ่งตอบแทนให้มากที่สุดหลังจากที่ช่วยฝ่าด่านวรยุทธได้แล้ว แต่เขาช่างน่าทึ่งนัก…
ขนาดถูกเจ้าเด็กเมื่อวานซืนดูหมิ่นเหยียดหยาม เขาก็ยังไม่รำคาญหรือขุ่นเคือง
“นี่คือคุณลักษณะและจิตใจอันสูงส่งที่ปรมาจารย์ตัวจริงเท่านั้นจึงจะมีได้!” หลิวหลิงเอ่ยชื่นชม
“จริงด้วย ผมประทับใจปรมาจารย์หยางนัก หากได้เป็นลูกศิษย์ของเขา คงจะถือเป็นวาสนายิ่งใหญ่!” เจิงเฟยพยักหน้าอย่างเห็นพ้อง
“ผมเคยได้ยินชื่อเสียงของลู่ฉวินมาก่อนแล้ว แต่ไม่นึกเลยว่าจะเป็นคนแบบนี้” เมื่อนึกถึงการกระทำของลู่ฉวิน หลิวหลิงก็ส่ายหน้าอย่างผิดหวัง จากนั้นก็พลันนึกบางอย่างขึ้นได้และเอ่ยถาม “ฝ่าบาท ฝ่าบาทบอกว่าเขากำลังจะประลองกับอาจารย์ชื่อจางเซวียนในอีกสองสามวันข้างหน้า นั่นเป็นเรื่องจริงหรือ?”
ช่วงระยะเวลาสองสามวันที่พวกเขาอยู่ในอาณาจักรเทียนเซวียน ความสนใจของพวกเขาอยู่ที่โรงเรียนหงเทียน และเรื่องการทดสอบประเมินอาจารย์ก็ไม่ใช่ความลับ จึงไม่แปลกที่พวกเขาจะล่วงรู้
“จริง!” ฮ่องเต้เซินจุยพยักหน้า
ตอนที่กลับมาถึงพระราชวัง ทรงได้รับรายงานของอำมาตย์อาวุโสเฉียน จึงทรงรู้รายละเอียดของเหตุการณ์ระดับ 3 ดาว
แม้การปะทะกันของอาจารย์สองคนจะไม่ใช่เรื่องน่าตื่นตะลึงเหมือนกับการมาถึงของปรมาจารย์หยางชวน แต่ก็เรียกความสนใจของผู้คนได้อย่างมากมาย
“ในเมื่อลู่ฉวินเป็นผู้ยื่นคำท้า จางเซวียนคนนั้นก็ต้องเป็นอาจารย์ดาวเด่นของโรงเรียนหงเทียนเช่นกัน ใช่หรือไม่? แต่ทำไมเราจึงไม่เคยได้ยินชื่อของเขา?” ปรมาจารย์หลิวถามอย่างสงสัย
ในการประลองอย่างเป็นทางการแบบนี้ คู่ประลองจะต้องมีสถานภาพระดับเดียวกัน ลู่ฉวินเป็นถึงอาจารย์ดาวเด่นอันดับหนึ่งของโรงเรียนหงเทียน และอาจารย์จางคนนี้ก็กล้ารับคำท้า ทั้งคู่จึงน่าจะพอฟัดพอเหวี่ยงกัน
ว่าแต่ เหตุใดเขาจึงไม่เคยได้ยินชื่อของอาจารย์ผู้นี้เล่า?