Skip to content

Library Of Heaven’s Path 192

ตอนที่ 192 ตำนานจางเซวียน (2)

“นี่เป็นครั้งแรกที่เราได้ยินชื่ออาจารย์จางเซวียนเช่นกัน เราจึงส่งคนไปสอดส่องเขาและพบว่า ไม่เพียงแต่เขาจะไม่ได้เป็นอาจารย์ดาวเด่นเท่านั้น แต่ยังถูกประณามจากคนมากมาย…”

เมื่อรำลึกถึงเนื้อหาของรายงานที่ได้อ่านมา ฮ่องเต้เซินจุยก็ยังทรงรู้สึกว่าทำใจให้เชื่อได้ยาก พระองค์ส่ายหน้าและตั้งคำถามด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ “พวกคุณรู้ไหมว่าอาจารย์จางคนนี้มีชื่อเสียงในโรงเรียนว่าอย่างไร?”

“ชื่อเสียง? ว่าอย่างไรหรือ?” ทั้งสามปรมาจารย์อยากรู้ขึ้นมาทันที พวกเขาหันมามองฮ่องเต้อย่างใจจดใจจ่อ

“เขาเป็น…ขยะ!” ฮ่องเต้เซินจุยกล่าว

“ขยะรึ?” สามปรมาจารย์มองหน้ากัน

“ใช่แล้ว เราได้ยินมาว่าอาจารย์จางเซวียนคนนี้ได้ 0 คะแนน ในการสอบวัดผลอาจารย์ และเขายังเป็นต้นเหตุให้การฝึกวรยุทธของนักเรียนคนหนึ่งถูกธาตุไฟเข้าแทรกด้วย เขาจึงได้ชื่อว่าเป็นอาจารย์ที่แย่ที่สุดเท่าที่โรงเรียนหงเทียนเคยมีมา!” ฮ่องเต้เซินจุยพูด

“ได้ 0 คะแนนในการสอบวัดผลอาจารย์?”

“เป็นต้นเหตุให้การฝึกวรยุทธของลูกศิษย์ตัวเองถูกธาตุไฟเข้าแทรก?”

“คนแบบนั้นจะยังคงเป็นอาจารย์อยู่ได้อย่างไร? อีกอย่าง ถ้าย่ำแย่ขนาดนั้น เหตุใดลู่ฉวินจึงท้าประลองกับเขา?” สามปรมาจารย์ให้ฉงน

ก็ในเมื่อจางเซวียนไม่ได้เรื่องขนาดนั้น แต่ลู่ฉวินเป็นถึงอาจารย์ดาวเด่นอันดับ 1 ของโรงเรียน ในบรรดาทุกคนที่เขาสามารถยื่นคำท้าได้ แต่เขากลับเลือกที่จะท้าผู้ได้ 0 คะแนนในการสอบวัดผลอาจารย์

นี่ราวกับการวิ่งแข่งกับคนพิการ และประชันทักษะการฟังกับคนหูหนวก

ต่อให้เขาชนะ จะหาเกียรติยศศักดิ์ศรีมาจากไหน

ยิ่งกว่านั้น หากพ่ายแพ้เล่า?

“ให้เราเล่าให้จบก่อน นี่เป็นเรื่องก่อนหน้านี้ แต่เมื่อสิบวันที่แล้ว มีเรื่องหักมุมเกิดขึ้น!” ฮ่องเต้เซินจุยเล่าต่อไป “อาจารย์คนหนึ่งชื่อเฉาฉง ได้ยื่นคำท้าเขาในการทำแบบทดสอบความประสงค์เกี่ยวกับนักเรียนคนหนึ่ง และทุกคนคิดว่าเฉาฉงจะต้องชนะอย่างแน่นอน แต่สุดท้ายเรื่องก็พลิก”

“อาจารย์จางเซวียนคนนี้ไม่ใช่ขยะอย่างที่ทุกคนกล่าวหา ตรงกันข้าม เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญ เขาสำเร็จวรยุทธขั้นพี่เชวี่ยแล้ว และนักเรียนก็ให้คะแนนความไว้เนื้อเชื่อใจเขาถึงระดับ 64…”

แม้ทางโรงเรียนหงเทียนจะพยายามปิดข่าวเรื่องการทำแบบทดสอบความประสงค์ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่ฮ่องเต้แห่งอาณาจักรเทียนเซวียนจะล่วงรู้เหตุการณ์ดังกล่าว ทรงรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นเป็นอย่างดี และได้เล่ารายละเอียดให้ทั้งสามปรมาจารย์ฟัง

“หลังจากที่รับนักเรียนแล้ว ระดับความไว้เนื้อเชื่อใจที่นักเรียนมีต่อเขาพุ่งขึ้นถึงระดับ 64? นั่นคือระดับของปรมาจารย์นะ? มัน…เป็นไปได้อย่างไร?”

“สำเร็จวรยุทธขั้นพี่เชวี่ยตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 20 อย่างนั้นหรือ? ช่างเก่งกาจอย่างน่าทึ่ง! แม้แต่ลูกศิษย์ของปรมาจารย์ก็ยังยากจะทำแบบนั้นได้!”

“ใช้อาการของการถูกธาตุไฟเข้าแทรกมาเอาชนะสภาวะปราณปิดตายแต่กำเนิด? ทั้งยังช่วยให้นักเรียนฝ่าด่านวรยุทธจากขั้น 1 ไปยังขั้น 2 ได้ ภายในเวลาไม่ถึงสิบนาที…”

ทั้งสามปรมาจารย์มองหน้ากันอย่างอัศจรรย์ใจ ต่างรู้สึกว่าสถานการณ์นี้ช่างเหลือเชื่อราวกับอยู่ในความฝัน

เพื่อปกป้องชื่อเสียงของโรงเรียน ชายผู้นั้นเต็มใจแบกรับสมญานามขยะโดยไม่ปิดปาก แต่สุดท้ายแล้วก็เพียงเพราะว่าเขารู้ทุกอย่าง…

ถ้าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริงแล้วล่ะก็ อาจารย์จางเซวียนคนนั้น…ช่างสูงส่งนัก!

จวงเชียนประทับใจ

ทั้งๆที่ถูกใส่ร้าย แต่เพื่อมิให้ระคายชื่อเสียงของโรงเรียน เขายอมสงบนิ่งต่อเรื่องเหล่านั้น ช่างมีจิตใจสูงส่งและเป็นมืออาชีพเหลือเกิน ขนาดทั้งสามปรมาจารย์ยังรู้สึกว่าเรื่องนี้ยากจะรับไหว แล้วนับประสาอะไรกับชายหนุ่มที่อายุยังไม่ถึงยี่สิบ

“เราได้ส่งคนไปยังสมาคมอาจารย์เพื่อสืบสาวราวเรื่อง และได้รับคำตอบเป็นการยืนยันเรื่องนี้!” ฮ่องเต้เซินจุยทรงรู้ว่าทั้งสามปรมาจารย์ยังไม่อยากจะเชื่อ จึงทรงเรียกขันทีผู้หนึ่งให้นำจดหมายมาให้ “นี่คือจดหมายส่วนตัวจากผู้อาวุโสโม่แห่งสมาคมอาจารย์ เนื้อหาของมันก็เป็นอย่างที่เราพูดไปแล้ว พวกท่านอ่านดู”

จากนั้นทรงยื่นจดหมายให้ เมื่อได้รับจดหมาย หลิวหลิงกับคนอื่นๆกวาดสายตามองและต่างพยักหน้า

มันเป็นกระดาษที่ใช้ในสมาคมอาจารย์ มีตราของสมาคมอยู่บนนั้น ดูเหมือนว่าเนื้อหาในนี้ไม่มีทางถูกปลอมแปลงได้ ไม่อย่างนั้นผู้อาวุโสโม่จะถูกลงโทษ

“คิดดูสิ มีผู้ปราดเปรื่องขนาดนี้ซ่อนตัวอยู่ในโรงเรียนหงเทียนด้วย” หลิวหลิงตาโต

เขาตั้งใจจะรับลู่ฉวินเป็นศิษย์ แต่เมื่อได้พบกันจังๆแล้วก็อดผิดหวังไม่ได้ มาตอนนี้ เมื่อได้ยินเรื่องราวอันเป็นตำนานของอาจารย์จาง ความสนใจของเขาก็เพิ่มขึ้น

“เขาวางตัวได้สูงส่งนัก ทั้งยังยอมให้ชื่อเสียงของตัวเองเสื่อมเสียเพื่อรักษาผลประโยชน์ของโรงเรียน เขาให้ทุกอย่างกับลูกศิษย์ของตัวเองโดยไม่คำนึงถึงส่วนได้ส่วนเสียเลย ผมอยากพบอาจารย์แบบนี้เป็นการส่วนตัว!” จวงเชียนเอ่ยอย่างยำเกรง

เหล่าปรมาจารย์ต่างมุ่งหวังที่จะได้รับศิษย์ที่มีคุณภาพ ซึ่งไม่ได้หมายถึงแค่ความสามารถในการสอนผู้อื่นหรือชื่อเสียง แต่คุณธรรมก็ถือเป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน

การรับศิษย์ผู้เก่งกาจจะมีประโยชน์อะไร หากเขาเป็นคนอกตัญญูและไร้คุณธรรม?

“ฝ่าบาท มีผู้มาขอพบพ่ะย่ะค่ะ!”

ทุกคนยังจมอยู่กับความชื่นชมยำเกรงในตัวจางเซวียนเมื่อองครักษ์คนหนึ่งเดินเข้ามา

“ใครกัน?”

“เขาคือพ่อบ้านของท่านเจ้าเมืองไป๋หยู, เหยาฮั่น” องครักษ์รายงาน

“ให้เข้ามาได้!” ฮ่องเต้เซินจุยพยักหน้า

ท่านเจ้าเมืองจ้าวเฟิงเป็นข้าราชบริพารที่พระองค์ทรงไว้เนื้อเชื่อใจ และสำหรับเหยาฮั่นซึ่งเป็นคนสนิทของจ้าวเฟิง พระองค์ก็ทรงรู้จักเขาดีเช่นกัน

“เหยาฮั่นคารวะฝ่าบาท” ไม่นาน ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งก็เดินเข้ามา และคุกเข่าลงบนพื้น

เขาคือเหยาฮั่น

“ท่านนายพลเหยาฮั่น ลุกขึ้นเถิด” ฮ่องเต้เซินจุยเอ่ย

แม้ตอนนี้เหยาฮั่นจะเป็นเพียงพ่อบ้าน แต่เขาได้ติดตามท่านเจ้าเมืองจ้าวเฟิงไปทำสงครามก่อนหน้านี้หลายต่อหลายครั้ง และได้รับตำแหน่งนายพลเพราะการทุ่มเทเสียสละของเขา

“นายพลเหยาฮั่นมาในเวลาเช่นนี้ ท่านเจ้าเมืองจ้าวเฟิงมีเรื่องอะไรมารายงานหรือเปล่า?”

ทรงรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่อีกฝ่ายจะมาถึงพระราชวังโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร ฮ่องเต้เซินจุยจึงเอ่ยถาม

“ฝ่าบาท ท่านเจ้าเมืองของเรามีความประสงค์ที่จะเข้ามายังเมืองหลวงในอีกสองสามวันข้างหน้า และเขาสั่งการให้ผมมาขอคำอนุมัติจากฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” เหยาฮั่นตอบ

ในฐานะข้าราชบริพารที่มีหน้าที่ความรับผิดชอบมากมาย จ้าวเฟิงไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากพื้นที่ของเขาตามใจชอบ หากเขาต้องการเข้ามายังเมืองหลวง ก็จะต้องส่งข่าวให้ฮ่องเต้ทราบล่วงหน้า หากเขาลอบเข้ามา และฮ่องเต้ทรงรู้เรื่องเข้า ก็จะต้องถูกลงโทษอย่างหนัก

“มาเมืองหลวงหรือ?” ฮ่องเต้ทรงชะงัก

“พ่ะย่ะค่ะ นายหญิงน้อยของเราได้รับอาจารย์จางเซวียนมาเป็นอาจารย์ของเธอ และเพื่อปลุกสภาวะพิเศษของนายหญิงน้อย อาจารย์จางได้เข้าทดสอบเป็นนักปรุงยา ทั้งยังมอบหญ้าพญาตะวันหิมะอันล้ำค่า และซื้อยาปลดปล่อยพลังหยิน ระดับ 3 มาให้นายหญิงน้อยด้วย เพื่อเป็นการแสดงความสำนึกในบุญคุณของเขา ท่านเจ้าเมืองจึงตัดสินใจจะมาขอบคุณเขาเป็นการส่วนตัว” เหยาฮั่นตอบ

“รับจางเซวียน? หญ้าพญาตะวันหิมะ? ยาปลดปล่อยพลังหยิน?”

พวกเขาเพิ่งพูดกันถึงเรื่องของจางเซวียนอยู่เมื่อครู่ เมื่อได้ฟังเรื่องเหล่านี้ก็ยิ่งงุนงง เมื่อคลายจากความงุนงงแล้ว ฮ่องเต้เซินจุยเอ่ย “นี่มันเรื่องอะไรกัน? เล่ารายละเอียดให้เราฟังด้วย!”

“พ่ะย่ะค่ะ!” เหยาฮั่นพยักหน้า จากนั้นก็เล่าเรื่องที่อาจารย์จางรับจ้าวหย่าเป็นศิษย์ เรื่องที่เขามองเห็นสภาวะพิเศษของเธอ เหตุผลที่เขาเข้ารับการทดสอบเป็นนักปรุงยา และรายละเอียดอื่นๆ

คนอื่นอาจไม่รู้เรื่องทั้งหมด แต่หลังจากที่เขาถูกอีกฝ่ายยำเละ เหยาฮั่นก็เข้าไปสอดส่องเรื่องราวของจางเซวียนจนรู้เรื่องของเขาอย่างละเอียดถี่ถ้วน

“นี่กำลังจะบอกว่า…อาจารย์จางเซวียนคนนี้ได้เป็นนักปรุงยาระดับ 1 ดาวแล้วอย่างนั้นหรือ?”

“ไม่ใช่แค่นั้น เพื่อช่วยการฝ่าด่านวรยุทธของนักเรียน เขายังใช้เงินมหาศาลเพื่อซื้อยาเม็ดและยาบำรุงด้วย ทั้งยังคิดค้นกระบวนท่าพิเศษสำหรับลูกศิษย์แต่ละคนเป็นการเฉพาะ โดยไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทน?”

“เพราะความเหนื่อยล้าขนาดหนักจากการอดหลับอดนอนหลายคืนเพื่อคิดค้นกระบวนท่าให้ลูกศิษย์ เขาถึงกับผล็อยหลับไปบนเก้าอี้?”

เมื่อได้ฟังเหยาฮั่น ทั้งสามปรมาจารย์ต่างตาโตด้วยความตกตะลึงและกำมือแน่นอย่างตื่นเต้น

ความรับผิดชอบพื้นฐานของอาจารย์คือการถ่ายทอดความรู้และทักษะ รวมทั้งไขข้อข้องใจให้ลูกศิษย์ ใครที่ไม่เห็นคุณค่าของลูกศิษย์ของตัวเอง ก็ไม่อาจเป็นอาจารย์ที่ดีได้

เพื่อลูกศิษย์ของเขา อาจารย์ผู้นี้ได้เสียสละมากมาย ทั้งยังไม่ยอมเปิดเผยให้ลูกศิษย์ล่วงรู้ด้วย แม้แต่ปรมาจารย์ก็ยังอดอัศจรรย์ใจไม่ได้กับสิ่งที่เขาทำ

ที่สำคัญที่สุดคือ เขาผ่านการทดสอบเป็นนักปรุงยา และได้เป็นนักปรุงยาอย่างเป็นทางการแล้ว!

“ผู้ที่ต้องการจะสอบเป็นปรมาจารย์จะต้องมีวิชาชีพรองรับเสียก่อน ในเมื่อ

จางเซวียนเป็นนักปรุงยาอย่างเป็นทางการแล้ว ก็หมายความว่า หากเรารับเขาเป็นผู้ช่วย เขาก็จะมีคุณสมบัติครบถ้วนที่จะเข้าสอบเป็นปรมาจารย์ได้ โดยต้องการคำชี้แนะเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”

นัยน์ตาของปรมาจารย์ทั้งสามเป็นประกาย

ในการที่ปรมาจารย์สักคนจะชี้แนะผู้อื่นได้นั้น เขาจะต้องมีความรู้มหาศาลเป็นพื้นฐาน ต้องเชี่ยวชาญในศาสตร์หลายด้าน ทั้งยังต้องมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้เป็นสมาชิกของสมาคมใดสมาคมหนึ่งด้วย มิเช่นนั้นก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะให้คำชี้แนะกับผู้อื่นได้

นักปรุงยานั้นเป็นหนึ่งในอาชีพแถวหน้าของเก้าสถานภาพระดับบน ในเมื่อจางเซวียนได้เป็นนักปรุงยาอย่างเป็นทางการแล้ว หากเขามีวิธีการสอนและระบบความรู้ที่เป็นที่ยอมรับมาประกอบด้วยล่ะก็ ไม่ยากเลยที่เขาจะได้เป็นปรมาจารย์

ในอาณาจักรขั้น 2 และขั้น 1 ลูกศิษย์แบบนี้ต่างเป็นที่แย่งชิงกันในหมู่ปรมาจารย์มากมาย

เพราะหากลูกศิษย์ของใครได้ก้าวขึ้นเป็นปรมาจารย์ ก็ถือเป็นเกียรติและความภาคภูมิใจของปรมาจารย์ผู้นั้น

“เขามีความเข้มแข็ง สามารถอดทนต่อความอยุติธรรมเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม เต็มใจเรียนรู้วิธีการใหม่ๆเพื่อนำมาสอนนักเรียน ไม่สิ้นหวังหรือกระวนกระวายเมื่อถูกเข้าใจผิด มีความรอบรู้ แต่พร้อมที่จะถ่อมตัวและสงบนิ่ง ไม่เคยละเลยหน้าที่ที่มีต่อนักเรียน นี่คือผู้ที่จะก้าวไปสู่การเป็นปรมาจารย์ที่แท้จริง!”

หลิวหลิงพูดไป นัยน์ตาของเขาก็ยิ่งเปล่งประกาย “ปรมาจารย์จวง ปรมาจารย์เจิง ในเมื่อมีอาจารย์ที่ดีขนาดนี้อยู่ในโรงเรียนหงเทียน พวกคุณอยากไปกับผมเพื่อดูให้เห็นกับตาหรือไม่?”

“ปรมาจารย์หลิวพูดอะไรอย่างนั้น เป็นคุณต่างหากที่ต้องไปกับผมเพื่อดูให้เห็นกับตา ผมมองหาผู้ช่วยแบบนี้มาแสนนานแล้ว” ปรมาจารย์จวงหัวเราะหึๆ

“ในฐานะนักปรุงยาอย่างเป็นทางการ ผมมีความรู้ลึกซึ้งเรื่องการปรุงยา เขาจึงน่าจะเหมาะแก่การเป็นผู้ช่วยของผมมากที่สุด…” เจิงเฟยขัดขึ้น

เมื่อรับรู้ถึงความโดดเด่นหลายด้านของจางเซวียน ทั้งสามปรมาจารย์เก็บอาการไม่ได้อีกต่อไป

ในขณะที่เหล่าอาจารย์อยากผูกสัมพันธ์อันดีกับปรมาจารย์ บรรดาปรมาจารย์ก็หวังจะรับอาจารย์ที่เก่งกาจและมีความชอบธรรมมาเป็นผู้ช่วยของตัวเองเช่นกัน

ในเมื่อเห็นกันแล้วว่าจางเซวียนวางตัวได้สูงส่งแค้ไหน ทั้งยังพร้อมเสียสละเพื่อลูกศิษย์ของตัวเอง ยังไม่ต้องพูดถึงศักยภาพของเขาที่เหนือชั้นไปไกลกว่าลู่ฉวินอีกต่างหาก แล้วจะให้ทั้งสามปรมาจารย์นิ่งเฉยอยู่ได้อย่างไร?

“เอ่อ…”

เห็นทั้งสามปรมาจารย์เกทับกันเรื่องจางเซวียนอย่างไม่หยุดหย่อน

ทั้งฮ่องเต้เซินจุยและเหยาฮั่นให้อัศจรรย์ใจนัก

คนอื่นเขาพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ปรมาจารย์ชายตามอง แต่ช่างตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับอาจารย์จางคนนี้ ทั้งสามปรมาจารย์ยังไม่เคยพบเขาเลยด้วยซ้ำ แต่พร้อมที่จะฟาดฟันกันเพื่อชิงตัวเขาแล้ว

แต่จะว่าไป เมื่อนึกถึงทุกสิ่งที่เขาได้ทำ ก็จัดเป็นผู้ที่ควรค่าแก่การที่ปรมาจารย์จะแย่งชิงกันอย่างแท้จริง

“ดูเหมือนเราควรหาทางตีสนิทกับอาจารย์จางคนนี้เสียแล้ว…” ฮ่องเต้เซินจุยตัดสินใจอย่างเงียบๆ

ในฐานะประมุขของอาณาจักร จะทรงเมินผู้มีศักยภาพเพียบพร้อมที่จะเป็นปรมาจารย์ขนาดนี้ได้อย่างไร?

“นายพลเหยา บอกจ้าวเฟิงว่าเราอนุมัติ!” มาถึงจุดนี้ ทรงพยักหน้าอย่างพึงพอใจกับคำขอของเหยาฮั่น

ไม่ว่าจะเพื่ออาณาจักรหรือเพื่อตัวพระองค์เอง ก็จัดเป็นข่าวดีทั้งสิ้น

โดยผ่านทางจ้าวหย่า จะเป็นการง่ายขึ้นที่พระองค์จะดึงอาจารย์จางเซวียนเข้ามาเกี่ยวข้องกับการบริหารงานของอาณาจักร

หากอาณาจักรเทียนเซวียนมีปรมาจารย์หนุนหลัง ความแข็งแกร่งก็จะเพิ่มมากขึ้น และการจะได้เลื่อนขั้นขึ้นเป็นอาณาจักรขั้น 2 ก็จะไม่เป็นเพียงความฝัน

“ฝ่าบาท พวกเราตัดสินใจแล้วว่าจะไปเยือนโรงเรียนหงเทียน ตอนนี้เราไม่ขอรบกวนท่านอีก!”

หลังจากทะเลาะกันไปหนึ่งยก ทั้งสามปรมาจารย์ก็ตัดสินใจจะไปดูตัวอาจารย์จางผู้นี้ก่อน ว่าน่าทึ่งอย่างที่ข่าวลือเขาว่ากันหรือไม่

เพราะข่าวลือมักเกินเลยไปจากความจริงเสมอ การไปดูให้เห็นกับตาเท่านั้นที่จะทำให้พวกเขาตัดสินใครสักคนได้อย่างถูกต้อง

อีกประการหนึ่ง ฝ่ายนั้นก็มีสิทธิ์เลือกว่าอยากเป็นผู้ช่วยของใคร ดังนั้น จะมาถกเถียงกันตรงนี้ก็เปล่าประโยชน์

“เชิญท่านทั้งสามตามสบาย!”

ฮ่องเต้เซินจุยไม่อยากรั้งพวกเขาไว้อีก

หลิวหลิง จวงเชียน และเจิงเฟยต่างหยุดการพูดคุยสัพเพเหระ และรีบมุ่งหน้าไปยังโรงเรียนหงเทียน

“ลู่ฉวิน…” เมื่อเห็นสามปรมาจารย์ตรงดิ่งไปหาจางเซวียนเช่นนั้น ฮ่องเต้เซินจุยทรงส่ายหน้าเมื่อนึกถึงลู่ฉวินซึ่งเพิ่งกลับไป

ทั้งวรยุทธ ความรู้ การวางตัว ทักษะการสอน รวมถึงความประทับใจของทั้งสามปรมาจารย์ อีกทั้งชื่อเสียง…

อาจารย์ดาวเด่นหมายเลข 1 ของโรงเรียนหงเทียนคนนี้อ่อนด้อยกว่าในทุกด้าน… แพ้ราบคาบ!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version