ตอนที่ 194 สามปรมาจารย์ตะลึง (1)
จึงพูดได้ว่ารังสีดำทะมึนนั้นเป็นพิษร้ายแรงที่เขาไม่รู้จัก
แล้วมันคืออะไรกันแน่?
“ดูซิว่าเราจะขับมันออกไปได้หรือไม่!” ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด จางเซวียนรวบรวมพลังปราณในร่างของเขา
แม้เขาจะไม่รู้ว่ารังสีพิษนั้นมีผลอย่างไรบ้าง แต่ก็ไม่ดีแน่หากจะปล่อยให้ตกค้างอยู่ในร่างกายแบบนี้ ในเมื่อตอนนี้เขารู้แล้ว ก็ควรจะแก้ปัญหาให้เร็วที่สุด
ถ้าปล่อยให้เป็นระเบิดเวลาอยู่ในตัว ก็ไม่มีทางสบายใจได้
หนังสือได้บอกวิธีการใช้พลังปราณขับไล่สารพิษเอาไว้ และไม่ใช่กระบวนการที่ยากเย็นอะไร ใช้เวลาศึกษาเพียงครู่เดียวเขาก็เชี่ยวชาญ
ฟิ้ว!
เมื่อเห็นพลังปราณพุ่งเข้ามา รังสีดำทะมึนนั้นก็ทำราวกับเห็นเทวทูตที่ตามมาลงทัณฑ์ มันมุดเข้าหาที่ซ่อนในร่างของเขาทันที
“ใช้ไม่ได้เลย…” จางเซวียนมีสีหน้าหมองคล้ำ
รังสีพิษนี้รับมือได้ยาก มันถึงกับซ่อนตัวจากการโจมตีของพลังปราณได้ ตอนนี้มันแค่มุดเข้าไปในร่างของเขา จึงยังไม่ถึงกับร้ายแรงนัก แต่หากมันแทรกลึกเข้าไปในอวัยวะสำคัญ เขาคงตายก่อนที่จะทันได้ทำอะไร
มันหลบเลี่ยงพลังปราณได้ราวกับมีชีวิตจิตใจของตัวเอง นี่มันพิษชนิดไหนกัน?
แล้วเราถูกพิษตั้งแต่เมื่อไร?
ในเมื่อเขาหามันในเนื้อหาของหนังสือจากหอสมุดพระราชวังไม่เจอ ก็แปลว่ามันต้องเป็นพิษที่มีอยู่ในอาณาจักรขั้นสูงกว่า
แล้วไอ้พิษบ้านี่…มาอยู่ในร่างกายของเขา
จางเซวียนงุนงงขึ้นเรื่อยๆ
เขาพยายามใช้วิธีล้างพิษทุกวิธี แต่เมื่อไม่มีวิธีไหนได้ผลเลย จึงต้องพักไว้ชั่วคราวเพราะไม่มีทางเลือก
ดูเหมือนว่ารังสีดำทะมึนนั้นหวาดกลัวพลังปราณของเขา มันจึงไม่กล้าสร้างปัญหาในเวลานี้ แต่ถ้าเขาไม่รู้ว่ามีมันอยู่ ก็คงรอดชีวิตไปได้ไม่นานแน่
แม้ตอนนี้จางเซวียนจะยังคงไม่ได้รับผลกระทบใด แต่ปัญหาที่ว่าเขาถูกพิษได้อย่างไรนั้นเป็นเรื่องใหญ่ หากเขาไปสัมผัสพิษนั้นโดยไม่ได้ตั้งใจก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าเป็นฝีมือโดยจงใจของใครสักคนโดยที่เขาไม่รู้ ก็จะเป็นเรื่องหนักหนากว่ากันมาก
ในเมื่อความพยายามครั้งแรกของศัตรูได้ล้มเหลวไป ก็หมายความว่าจะต้องมีความพยายามครั้งที่สอง
“เราจะต้องรู้ให้ได้ก่อนว่าเราถูกพิษก่อนหรือหลังที่จะมาถึงที่นี่ และมันเกิดขึ้นโดยจงใจหรือไม่ อย่างน้อยที่สุดก็จะได้ปกป้องตัวเอง!”
ด้วยความระแวง จางเซวียนเพ่งดูรังสีดำทะมึนนั้นอีกครั้ง แต่สุดท้ายก็ไม่พบอะไรใหม่เลย
ไม่ใช่เพราะเขาโง่ แต่…เพราะพิษนั้นเหนือชั้นเกินไป มันเกินไปกว่าความเข้าใจของอาณาจักรเทียนเซวียน ทำให้เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะวิเคราะห์มัน และยิ่งยากไปกว่าเดิมหากจะค้นหาว่าเขาถูกพิษเมื่อไรและใครเป็นคนทำ
“เราต้องลองใช้หอสมุดเทียบฟ้า!” จางเซวียนพลันนึกขึ้นได้ตอนที่กำลังจะถอดใจ
แม้ตัวเขาเองจะไม่รู้อะไรสักอย่าง ก็ไม่ได้หมายความว่าหอสมุดเทียบฟ้าจะช่วยไม่ได้
ก่อนที่หอสมุดเทียบฟ้าจะประมวลหนังสือเกี่ยวกับสิ่งใดหรือใครสักคนได้ เขาจะต้องสัมผัสวัตถุดังกล่าว หรือไม่ก็ดูการแสดงวรยุทธของบุคคลนั้น
แต่ในเมื่อรังสีพิษซ่อนอยู่ในร่างของเขา ซึ่งสัมผัสไม่ได้ ถ้าจะให้มันแสดงวรยุทธ…แค่ก แค่ก ก็ยิ่งบ้าบอหนักเข้าไปอีก
แต่เอาเถอะ ถึงอย่างไรการหาคำตอบพื้นๆแบบนี้ก็ไม่ยากสำหรับจางเซวียน
เขาคว้าหนังสือเปล่ามาหนึ่งเล่ม และใช้พู่กันเขียนลงไป “รังสีพิษในร่างของฉันปรากฏขึ้นหลังจากที่ฉันข้ามมิติมา และมันเกิดโดยความจงใจ!”
เมื่อจางเซวียนแตะหนังสือเล่มนั้น หนังสืออีกเล่มที่เหมือนกันเป๊ะก็ปรากฏขึ้นในสมองของเขา
เมื่อพลิกดูก็พบข้อบกพร่องของสิ่งที่เขาเขียนถูกบันทึกไว้ในนั้น อ่านแล้วก็หน้าดำคร่ำเครียดขึ้นอีก
หอสมุดเทียบฟ้าบอกว่ารังสีพิษที่พบในร่างนี้มีอยู่ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะทะลุมิติมา และมันเกิดขึ้นด้วยความจงใจ!
นั่นหมายความว่า…มีคนอยากฆ่าเขา!
“เป็นไปได้หรือไม่ว่า…การตายของเจ้าของร่างคนเก่าไม่ได้มาจากโรคซึมเศร้าและพิษสุราเรื้อรัง แต่เป็นเพราะ…พิษนี้?”
เขาสงสัยเรื่องนี้มานานแล้ว นักรบเจิ้นซี่ขั้นสูงสุดจะตายเพราะพิษสุราเรื้อรังได้อย่างไร? ดูแล้วไม่สมเหตุสมผลเลย
ดังนั้นจางเซวียนจึงเขียนข้อสันนิษฐานทั้งหมดลงไปในหนังสือ
เวลาผ่านไปนานเท่าไรไม่ทราบได้หลังจากที่เขาจรดพู่กัน
ใช้เวลาครึ่งวันไปกับการพิสูจน์ข้อสันนิษฐาน แล้วเขาก็ได้คำตอบของเรื่องนี้อย่างคร่าวๆ
เจ้าของร่างคนเก่าตายเพราะถูกพิษ และนั่นเป็นการเปิดทางให้เขาทะลุข้ามมิติมา
เหตุที่เขายังคงสบายดีหลังจากที่ข้ามมิติมา ก็เพราะพลังปราณเทียบฟ้าที่เขาฝึกฝนนั้นบริสุทธิ์มาก รังสีพิษหวาดกลัวพลังปราณนี้ จึงต้องซ่อนตัวและไม่อาจแผลงฤทธิ์ได้ ไม่อย่างนั้นจางเซวียนก็ไม่มีทางอยู่รอดจนถึงวันนี้
พูดอีกทีก็คือ เหตุที่เขามีชีวิตอยู่ได้ก็เพราะความพากเพียร หากเขามีพลังปราณไม่เพียงพอ รังสีพิษก็จะเข้าโจมตีทันที และจางเซวียนก็จะต้องตาย
เมื่อครั้งที่จัดการกับปัญหาเรื่องการสอบวัดผลอาจารย์ไปได้ จางเซวียนนึกว่าเขาจะเป็นอิสระและใช้ชีวิตตามสบายได้เสียที แต่มาถึงตอนนี้ก็รู้ว่าไม่ใช่ ตราบใดที่รังสีดำทะมึนนั้นยังซ่อนตัวอยู่ในร่างของเขา เขาก็ยังต้องตกอยู่ในอันตราย
“เราต้องรู้ให้ได้ว่าใครที่อยากฆ่าเรา”
หากผู้ที่อยากฆ่าเขากบดานอยู่ จางเซวียนก็ไม่อาจหาตัวเขาได้ แต่หากฝ่ายนั้นกล้าเคลื่อนไหวอีกแม้ก้าวเดียว ด้วยหอสมุดเทียบฟ้า จางเซวียนสามารถระบุได้แม้แต่บรรพบุรุษของเขา
ดังนั้น อย่างน้อยที่สุดจางเซวียนก็ไม่ได้กลัวมากนัก เขาเพียงแต่สงสัยเท่านั้น
ร่างเก่าของเขาเป็นเพียงเด็กกำพร้าไร้ญาติ ยังไม่ต้องพูดถึงความสามารถที่แสนจะขยะ ไม่มีทางทำร้ายใครได้ แล้วใครกันที่จะใช้ยาพิษซึ่งหาไม่ได้แม้ในอาณาจักรเทียนเซวียนมาฆ่าเขา?
ต่อให้ผู้นั้นหายาพิษเหนือชั้นขนาดนี้มาได้จริงๆ ก็ออกจะเล่นใหญ่ไปหน่อย แทนที่จะต้องพยายามขนาดนี้ ฆ่าเขาไปเลยจะง่ายกว่าไหม?
ในเมื่อจางเซวียนไม่อาจทำความเข้าใจเรื่องนี้ได้ เขาจึงไม่อยากครุ่นคิดถึงมันอีก และเมื่อไม่มีร่องรอยของผู้วางยาพิษเขา จะมัวงมหาอยู่ก็ใช่ที่ สิ่งที่ดีที่สุดที่เขาทำได้ตอนนี้คือหาวิธีขับพิษนั้นออกจากร่างกายไปให้ได้
“ในการจะขับพิษ เราต้องรู้ก่อนว่าพิษนั้นคืออะไร อาณาจักรเทียนเซวียนมีหนังสือเกี่ยวกับยาพิษอยู่น้อยมาก ดูเหมือนเราควรหาที่ที่มีหนังสือมากกว่านี้…”
ด้วยการมีหอสมุดเทียบฟ้าอยู่ในครอบครอง จางเซวียนสามารถรักษาตัวเองได้หากเขาสามารถเข้าถึงหนังสือเกี่ยวกับยาพิษได้มากพอ
แต่หนังสือแบบนั้นก็ไม่ได้หาง่าย เขาอ่านหนังสือหมดทั้งหอสมุดพระราชวังแล้ว แต่ก็ยังห่างไกลจากคำว่าเพียงพอนัก ดูเหมือนว่าหนังสือทั่วไปที่มีอยู่ที่นี่จะช่วยอะไรไม่ได้ พิษนั้นเหนือชั้นเกินไป เหนือชั้นอย่างที่ไม่อาจพบได้ในอาณาจักรเทียนเซวียน
ในเมื่อพิษนั้นไม่มีอยู่ที่นี่ แล้ววิธีการขับพิษจะอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?
เพื่อขับพิษออกจากร่าง จางเซวียนต้องมุ่งหน้าไปยังอาณาจักรขั้นสูงกว่าเพื่อหาหนังสือเกี่ยวกับยาพิษ
“เราควรไปพบสามปรมาจารย์และสอบถามเรื่องนี้ในภายหลัง…”
จางเซวียนไม่รู้เรื่องราวของดินแดนอื่นเลย แต่กับสามปรมาจารย์นั้นคงจะตรงกันข้าม พวกเขาต้องรู้ดีแน่ ทั้งสามมาจากอาณาจักรขั้นสูงกว่าและเดินทางอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นจึงย่อมรู้เรื่องของดินแดนอื่นดีกว่าเขา
“เราไม่ควรตื่นตระหนกไป แก้ปัญหาตรงนี้ก่อนดีกว่า”
ในเมื่อพลังปราณเทียบฟ้าของเขายังกดรังสีพิษนั้นไม่ให้แผลงฤทธิ์ได้ เขาก็จะยังคงปลอดภัยดี ดังนั้น จางเซวียนจึงสะบัดศีรษะ ยืดหลังตรง และสั่งซุนฉางให้เรียกคนต่อไปเข้ามา
“ปรมาจารย์หลิว ทำไมเราต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วย?”
ทั้งสามปรมาจารย์กำลังเดินอยู่บนฟุตบาทหน้าโรงเรียนหงเทียน เมื่อมองเสื้อผ้าที่พวกเขาสวมอยู่ เจิงเฟยอดถามไม่ได้
ปกติเขาสวมแต่เสื้อคลุมปรมาจารย์ ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็มีแต่ผู้คนเคารพยกย่อง รู้สึกแปลกประหลาดสิ้นดีที่จู่ๆก็ต้องมาใส่เสื้อผ้าธรรมดา
“เสื้อคลุมปรมาจารย์นั้นสะดุดตาเกินไป ถ้าเราสวมมาที่นี่ อาจารย์จางเซวียนก็จะรู้ทันที และเขาก็จะต้องแสดงความเคารพนอบน้อมต่อเรา ถ้าเป็นแบบนั้นแล้ว เราจะเห็นนิสัยที่แท้จริงของเขาได้อย่างไร?” หลิวหลิงตอบ
“ก็จริง การปกปิดสถานภาพของเราเป็นความคิดที่ดี ด้วยวิธีนี้ เราจะได้เห็นตัวตนแท้จริงของเขา!” จวงเชียนพยักหน้าอย่างเห็นพ้อง
เจิงเฟยก็ถึงบางอ้อ
ด้วยการเปลี่ยนมาใส่เสื้อผ้าแบบคนธรรมดาสามัญและปกปิดวรยุทธไว้ ก็จะไม่มีใครเดาได้ว่าพวกเขาเป็นปรมาจารย์ ทุกคนจะคิดว่าพวกเขาเป็นแค่ผู้อาวุโสทั่วไป
ภายใต้สถานการณ์แบบนี้เท่านั้นที่จะได้เจอของจริง
ไม่นานพวกเขาก็มาถึงห้องเรียนของจางเซวียน
“ห้องนี้เล็กมาก!” เมื่อมาเห็นห้องเรียนกับตา หลิวหลิงและคนอื่นๆต่างหน้านิ่ว
พวกเขาได้เห็นมาตรฐานของโรงเรียนหงเทียนแล้ว ระหว่างทางที่เดินมา แม้แต่อาจารย์ระดับทั่วไปก็ยังมีห้องเรียนขนาดหลายตารางเมตร แต่ห้องเรียนที่อยู่ตรงหน้าพวกเขามีขนาดเพียง 100 ตารางเมตรเท่านั้น ไม่ว่าจะโครงสร้างหรือรูปแบบก็ล้วนแต่โกโรโกโส
มองปราดเดียวก็ชัดเจนว่านี่คือห้องที่แย่ที่สุดในโรงเรียน
“ดูเหมือนว่าโรงเรียนจะไม่ได้ปฏิบัติต่ออาจารย์จางอย่างดีเท่าไร!”
ด้วยสภาพทุเรศทุรังแบบนี้ น่าสงสัยนักว่าอาจารย์จางทนอยู่ได้อย่างไร หากเป็นพวกเขา คงได้แตกหักกับทางโรงเรียนและสะบัดเสื้อคลุมลาออกแล้ว
“ในสภาวะแบบนี้ เขายังคงสงบนิ่ง ถ่อมตัว และทำงานได้ดี ดูเหมือนว่าเขาจะถือเอาความรับผิดชอบอยู่เหนือกว่าความหยิ่งในศักดิ์ศรี ผมประทับใจมาก”
หลิวหลิงแสดงความรู้สึกจากใจ
แม้จะได้รับการปฏิบัติอย่างอยุติธรรม แต่อีกฝ่ายก็ไม่เป็นเดือดเป็นร้อนหรือระบายความหงุดหงิดใส่นักเรียน สิ่งนี้น่าประทับใจมาก
“พี่หวังเทา ผมยังไม่เข้าใจที่อาจารย์จางพูดถึงการบรรจบกันของพลังจิตวิญญาณ พี่อธิบายให้ผมฟังอีกครั้งหนึ่งได้หรือไม่?”
กำลังจะเดินตรงไปยังห้องเรียน พวกเขาได้ยินเสียงตั้งคำถามจากสนามหญ้าที่อยู่ก่อนถึงทางเข้า
ทั้งสามหยุดฟัง
“เอาล่ะ อย่างนี้นะ คำพูดของอาจารย์จางล้ำลึกมาก และผมก็เข้าใจแค่ไม่ถึงหนึ่งในสิบ แต่ผมจดไว้ เราเรียนไปพร้อมกันดีไหม?”
เด็กอายุมากกว่าที่ถูกเรียกว่าหวังเทาลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตอบ
“ดีเลย!” เสียงแรกตอบอย่างร่าเริง
“อาจารย์จางพูดอย่างนี้ ในขั้นจวีซี ผู้ฝึกจะต้องมองร่างกายของตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของกระแสพลังจิตวิญญาณที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ และนำกระแสนั้นมาบรรจบกับร่างกายโดยปราศจากการใช้กำลังบังคับ ด้วยวิธีนี้ ผู้นั้นก็จะเก็บรักษาพลังจิตวิญญาณไว้ได้ดีขึ้น อีกทั้งอัตราการซึมซับพลังจิตวิญญาณก็จะเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งอาจารย์จางแนะนำ 10 วิธีเพื่อการนี้ แต่ผมจำได้แค่ 3 วิธีเท่านั้น เรามาเรียนด้วยกันเลย วิธีแรกนะ…”
เสียงของหวังเทาดังมาจากห้องเรียน
“มองร่างกายของตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของกระแสพลังจิตวิญญาณที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ?”
เมื่อได้ยินบทสนทนาของทั้งคู่ สามปรมาจารย์ถึงกับอึ้ง ใบหน้าของพวกเขาบ่งบอกความอัศจรรย์ใจ
“ผมเคยได้ยินทฤษฎีนี้จากอาจารย์ของผม อาจารย์จางเซวียนคนนั้นก็สอนตรรกะลึกซึ้งแบบนี้ได้ด้วยหรือ?”
หลิวหลิงอ้าปากค้าง
สำหรับใครก็ตามที่เป็นผู้เชี่ยวชาญอย่างแท้จริง การแสดงออกของเขาจะบ่งบอกเอง ในฐานะปรมาจารย์ ทั้งสามเป็นสุดยอดของอาชีพอาจารย์ พวกเขาจึงมีความรู้ลึกซึ้งในการถ่ายทอดเคล็ดวิชา ทั้งยังสามารถแยกแยะถูกผิดได้
แม้จะไม่ได้นั่งอยู่ในชั้นเรียนของจางเซวียน เพียงแค่ตัดสินจากบทสนทนาของลูกศิษย์ของเขา ก็บอกได้แล้วว่าทฤษฎีของอาจารย์จางนั้นถูกต้อง ตรงประเด็น และสร้างสรรค์
แม้พวกเขาเองยังรู้สึกว่าการจะคิดค้นบทเรียนที่มีมาตรฐานระดับนี้ก็ยังทำได้ยาก
ทฤษฎีที่เด็กทั้งสองนำมาคุยกันนั้นไม่ได้ลึกซึ้งมากมาย แต่ทั้งคู่สามารถพุ่งตรงเข้าถึงหัวใจของวรยุทธขั้นจวีซี ราวกับกำลังยืนอยู่ตรงหน้ามหาสมุทรกว้างใหญ่ไพศาลที่ลึกเกินหยั่ง ยิ่งฟังก็ยิ่งดีต่อวรยุทธของพวกเขา ทั้งคู่ได้รับประโยชน์มากจากการแลกเปลี่ยนนั้น
ปรมาจารย์ทั้งสามก็ยิ่งฟังยิ่งทึ่ง พวกเขาปากคอสั่นด้วยความตื่นเต้น