Skip to content

Library Of Heaven’s Path 195

ตอนที่ 195 สามปรมาจารย์ตะลึง (2)

“ด้วยการวิเคราะห์วรยุทธขั้นจวีซีได้ถึงแก่นขนาดนั้น ดูเหมือนว่าความเข้าใจเรื่องวรยุทธของอาจารย์จางจะไม่ใช่สิ่งที่ผมเทียบได้เสียแล้ว ผมคิดว่าเขาน่าจะสำเร็จถึงขั้นรู้แจ้ง”

หลิวหลิงเอ่ยขึ้นหลังจากแอบฟังบทสนทนาของเด็กทั้งสองอีกครู่หนึ่ง

“การรู้แจ้งหมายถึงการเข้าใจกฎเกณฑ์ของโลกทั้งใบอย่างถ่องแท้ ในขั้นรู้แจ้ง วรยุทธของผู้นั้นจะต้องสำเร็จถึงขั้นจงซรือ มีเพียงขั้นจงซรือเท่านั้นที่ผู้สำเร็จวรยุทธสามารถตั้งสำนักฝึกวิชาของตัวเองได้ เป็นไปได้ไหมว่าจางเซวียนคนนั้นสำเร็จวรยุทธขั้นจงซรือแล้ว?” จวงเชียนไม่อยากจะเชื่อ

“ไม่ได้มีแค่ผู้เชี่ยวชาญขั้นจงซรือนะที่จะสำเร็จถึงขั้นรู้แจ้งได้ อาจารย์ผู้น่าทึ่งบางคนที่มีความเข้าใจวรยุทธเป็นอย่างดี ทั้งยังถ่ายทอดความรู้และทฤษฎีที่ตัวเองประมวลขึ้นมาให้กับลูกศิษย์ได้ ก็เรียกว่าสามารถเอื้อประโยชน์มหาศาลให้นักเรียน และทำให้นักเรียนรู้แจ้งเห็นจริงได้เช่นกัน อาจารย์แบบนั้นมีอยู่น้อยมากและแสนจะหายาก หรือว่าอาจารย์จางคนนี้เป็นหนึ่งในอาจารย์เหล่านั้น…”

มาถึงจุดนี้ หลิวหลิงนัยน์ตาเป็นประกายขึ้นอีก เขาอดพึมพำไม่ได้ “ช่างเป็นคนรุ่นใหม่ที่เก่งกาจนัก!”

“เห็นด้วย แม้แต่ผมก็ยังอดตื่นเต้นกับทฤษฎีที่ได้ฟังไม่ได้ เขาสามารถอธิบายวรยุทธอันซับซ้อนให้ง่ายอย่างที่ใครฟังก็เข้าใจ จัดว่ามาตรฐานของเขาสูงส่งทีเดียว” จวงเชียนพยักหน้า

“หากใครฝึกฝนวรยุทธตามแบบทฤษฎีของเขา ก็จะต้องพัฒนาได้เร็วเป็นแน่ การฝ่าด่านวรยุทธขั้น 1-จวีซี ไม่น่าจะใช้เวลาเกินหนึ่งปี!” เจิงเฟยออกความเห็น

“เสียดายนะที่พวกเราได้แค่ฟังอยู่ห่างๆ นี่เป็นเพียงคำสอนขั้นพื้นฐานที่สุดของอาจารย์จางเท่านั้น หากเขาสอนเราโดยตรง เราคงจะฝ่าด่านวรยุทธได้เหมือนกัน!”

ทั้งสามปรมาจารย์กำลังดื่มด่ำอยู่กับความชื่นชมจางเซวียนเมื่อได้ยินเสียงตรงหน้าพวกเขาดังขึ้นอีกครั้ง

“ฟังอยู่ห่างๆ? สองคนนี้…เป็นแค่ผู้เข้าฟังบทเรียนหรือ?”

ทั้งสามปรมาจารย์มองหน้ากัน ต่างหัวใจจะวายอีกรอบ

อาจารย์คนหนึ่งมีนักเรียนหลายรูปแบบ มีทั้งนักเรียนที่เป็นผู้เข้าฟังบทเรียน นักเรียนทั่วไป และลูกศิษย์สายตรง ในตอนแรกที่ฟังทั้งคู่แลกเปลี่ยนวรยุทธกัน สามปรมาจารย์เข้าใจว่าทั้งคู่เป็นลูกศิษย์สายตรงของอาจารย์จาง ดังนั้นพวกเขาจึงได้รับการถ่ายทอดทฤษฎีที่ลึกซึ้งและแจ่มแจ้งที่สุด แต่เมื่อได้ยินคำว่า “ฟังอยู่ห่างๆ” จึงรู้ว่าพวกเขาเป็นเพียงนักเรียนระดับล่างที่สุดของอาจารย์จางเท่านั้น

หากนักเรียนที่เป็นผู้เข้าฟังบทเรียนสามารถเรียนรู้ทฤษฎีลึกซึ้งขนาดนี้ได้ ก็ไม่อยากจะคิดว่านักเรียนทั่วไปและลูกศิษย์โดยตรงของเขาจะเก่งกาจแค่ไหน

“จริงๆนะ ตอนที่น้องหว่างหยิ่งเริ่มเรียนกับอาจารย์จางน่ะ เธอมีวรยุทธแค่จวีซีขั้นต้นเท่านั้น พอเรียนกับอาจารย์จางได้สิบวัน วรยุทธของเธอก็พุ่งพรวด และสำเร็จขั้นตันเถียนได้เมื่อคืนนี้!”

“น่าอิจฉามากเลย พูดก็พูดเถอะ ทำไมผมถึงได้โง่เง่านัก มัวลังเลอยู่ได้ ถ้าขอเป็นศิษย์อาจารย์จางเสียแต่แรก ก็คงจะฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จเหมือนกัน…”

ทั้งคู่คุยกันต่อไป ยังคงมีความอิจฉาอยู่ในน้ำเสียงที่พูดถึงนักเรียนคนอื่นๆ

“เธอก้าวจากวรยุทธขั้นจวีซีไปตันเถียนใน 10 วันอย่างนั้นหรือ?”

เมื่อฟังทั้งคู่คุยกัน สามปรมาจารย์รู้สึกเหมือนโดนค้อนหนักๆทุบหัว ต่างคิดว่าตัวเองกำลังจะบ้า

สำหรับวรยุทธขั้น 1 ผู้ฝึกจะต้องรวบรวมพลังจิตวิญญาณและส่งมันให้หมุนเวียนไปอย่างทั่วถึงเพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกาย หากทำไม่สำเร็จ ก็ไม่มีทางไปถึงขั้นตันเถียนได้ พูดให้ชัดก็คือ ไม่มีทางลัดอย่างแน่นอน

ดังนั้น หากไม่ได้ผ่านการฝึกฝนอย่างหนักเป็นปีๆ ก็ยากที่จะฝ่าด่านวรยุทธไปได้ แม้พวกเขาเอง หากยังไม่ถึงครึ่งปี ก็ไม่มีทางช่วยลูกศิษย์ฝ่าด่านได้เช่นกัน

แล้วการฝ่าด่านไปได้ใน 10 วันนี่ล่ะ?

สามปรมาจารย์อัศจรรย์ใจนัก แทบไม่เชื่อหูตัวเอง

ถ้านี่เป็นเรื่องจริง ก็หมายความว่าความสามารถในการสอนของจางเซวียนสูงกว่าพวกเขาอย่างนั้นหรือ?

จะเป็นไปได้อย่างไรกัน?

บึ้ม บึ้ม บึ้ม!

พวกเขาชวนเซเมื่อพื้นใต้ฝ่าเท้าเริ่มสั่นสะเทือน

“หยวนเทา เจ้านั่นต่อยกำแพงอีกแล้ว…ไปดูกัน!”

หวังเทาโหวกเหวก ไม่ช้าเสียงฝีเท้าก็เบาลงเมื่อพวกเขาเดินห่างออกไป

“หยวนเทารึ? ใช่เจ้าเด็กคนที่สอบเข้าได้ที่โหล่หรือเปล่า?” ปรมาจารย์จวงถาม

ระหว่างทางที่มา พวกเขาได้ไต่ถามเรื่องราวของอาจารย์จาง และรู้ว่าเขารับลูกศิษย์มา 5 คน ด้วยความที่เป็นนักเรียนผู้สอบเข้าได้ที่โหล่ หยวนเทาเป็นที่สะดุดตาพวกเขา ด้วยเหตุนี้ ทั้งสามปรมาจารย์จึงสนใจเขาเป็นพิเศษ

“ใช่ ไปกันเถอะ ไปดูกัน” ทั้งคู่สะกดรอยตามเสียงฝีเท้าก่อนหน้าไป

พวกเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญขั้นกึ่งจงซรือแล้ว ไม่มีทางที่เด็กทั้งคู่จะรู้ตัว

หลังจากเดินไปหลายสิบเมตร พวกเขาก็หยุดที่หัวมุมและเห็นสองสามร่างอยู่ตรงหน้า

เด็กชายร่างตุ้ยนุ้ยคนหนึ่งกำลังต่อยกำแพงอย่างดุเดือด ทุกครั้งที่เขาต่อยมัน พื้นก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง

“ช่างเป็นทักษะการป้องกันตัวที่น่าทึ่งอะไรอย่างนั้น! มีพลังที่ไม่ธรรมดาขนาดนี้ ต่อให้นักรบขั้นพี่เชวี่ยก็เอาไม่อยู่…” เมื่อเห็นพละกำลังของเด็กตุ้ยนุ้ย ทั้งสามปรมาจารย์หัวใจจะวายอีกรอบหนึ่ง

หวังเทากับหวังเหยียนไม่ได้มีความรู้มากพอที่จะตัดสินพละกำลังของหยวนเทา แต่ปรมาจารย์อย่างพวกเขามองปราดเดียวก็บอกได้ ต่อให้เป็นพวกเขาเอง ก็ยังต้องออกแรงกันหน่อยหากจะต้องรับมือกับเจ้าเด็กคนนั้น

สำหรับนักเรียนที่สอบเข้าได้ที่โหล่ แล้วจู่ๆก็มามีพละกำลังเหลือเชื่อขนาดนี้…

สามปรมาจารย์รู้สึกว่าเริ่มจะรับการพลิกผันของสถานการณ์ไม่ได้

“เร็ว ดูทางโน้นสิ…” เจิงเฟยเรียก

เมื่อมองตามที่เขาชี้ไป ก็เห็นเด็กสาวตัวน้อยอายุราว 16-17 ปี กำลังออกแรงเตะเสาไม้ขนาดเท่าชามข้าว ดูราวกับคันธนูสายตึงเปรี๊ยะที่ถูกง้างแล้วปล่อยออกไป

“ปึ้ก!” เสาไม้ต้นนั้นหักเป็นสองท่อน

“เป็นเทคนิคการใช้ขาที่ทรงพลังมาก ลูกเตะของเธอจะต้องมีความแข็งแกร่งอย่างน้อย 400 กิโลกรัม แล้วยังทักษะการหมุนตัว การยกขา การรวบรวมพละกำลัง และการบิดสะโพก…ทุกท่วงท่าต่างสอดประสานกลมกลืนกันไปหมด แสดงว่าอย่างน้อยเธอต้องฝึกฝนเทคนิคการใช้ขามาแล้ว 7-8 ปี ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางทำได้ขนาดนี้” หลิวหลิงชมเชย

แม้จะเป็นเพียงลูกเตะธรรมดา แต่ก็แสดงให้เห็นพื้นฐานอันดีเยี่ยม หากไม่ได้ฝึกหนักมาเป็นปีๆก็ไม่มีทางทำแบบนั้นได้

“นี่ลูกศิษย์ของจางเซวียนด้วยหรือเปล่า? ทำไมเราไม่รู้เลยว่าเขามีลูกศิษย์ผู้หญิงที่เชี่ยวชาญเทคนิคการใช้ขาด้วย?” จวงเชียนสงสัย

อาจารย์จางมีลูกศิษย์เพียงห้าคน ซึ่งไม่ยากที่จะเสาะหาว่าลูกศิษย์แต่ละคนของเขาเชี่ยวชาญด้านใด แต่พวกเขาก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าเขามีลูกศิษย์ผู้หญิงที่เก่งกาจเรื่องเทคนิคการใช้ขาด้วย

“หวังหยิ่ง พอขาเธอหายดีแล้ว เทคนิคการใช้ขาของเธอเจ๋งเป้งไปเลย!”

เด็กหนุ่มสองคนที่อยู่ในห้องเรียนเมื่อครู่เดินเข้าไปชื่นชมเธอ

“หวังหยิ่ง? คือหวังหยิ่งที่ขาได้รับบาดเจ็บน่ะหรือ?” หลิวหลิงแทบทรุด

ในฐานะลูกสาวของหัวหน้าตระกูลหวังหง อาการบาดเจ็บที่ขาของหวังยิ่งไม่ใช่ความลับ พวกเขาเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนแล้ว แต่…ถ้าขาของเธอได้รับบาดเจ็บ เธอจะปล่อยพละกำลังหนักหน่วงขนาดนี้ได้อย่างไร?

อีกอย่าง เขาเพิ่งจะยืนยันอย่างมั่นใจว่าเด็กสาวคนนี้จะต้องผ่านการฝึกฝนมาอย่างน้อย 7-8 ปี กว่าจะมีพื้นฐานการใช้ขาที่แข็งแรงขนาดนี้ได้ แต่กลายเป็นว่าเธอเพิ่งหายจากอาการบาดเจ็บ…

บ้าแล้ว! คนที่ขาเพิ่งหายดีจะปล่อยพละกำลังขนาดที่เตะเสาไม้หนาเท่าชามข้าวหักในครั้งเดียวได้อย่างไร?

ทำไมมันเหมือนฝันขนาดนี้?

หลิวหลิงรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวราวกับถูกธาตุไฟเข้าแทรก

ขณะที่เขากำลังอับอายขายหน้า อีกสองปรมาจารย์ไม่มีเวลาจะสนใจเรื่องนั้น พวกเขาจ้องไปอีกทางหนึ่งด้วยนัยน์ตาเบิกโพลง

“ปรมาจารย์หลิว…”

เจิงเฟยประสาทกินจนเสียงสั่น

“มีอะไรรึ?”

เมื่อเห็นเพื่อนทั้งสองไม่มีทีท่าจะใส่ใจการตัดสินผิดพลาดของเขา หลิวหลิงถอนหายใจอย่างโล่งอก จากนั้นเขาหันไปมองทั้งสองคน

“มองทางนู้นสิ…”

เจิงเฟยชี้ไป

หลิวหลงเงยหน้าและมองตามอย่างสงสัย

เจิงเฟยชี้ให้ดูเด็กหนุ่มคนหนึ่ง เขาถือหอกไว้ในมือ และยืนนิ่งไม่ไหวติงราวกับเป็นรูปปั้น

“มีอะไร?”

เขาไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายพยายามจะชี้ให้ดูอะไร

นั่นเป็นท่ายืนที่ผู้ฝึกวรยุทธเพลงหอกมักใช้เพื่อรู้สึกถึงหอกของตัวเอง ผู้ที่รักการใช้หอกมักยืนในท่านั้นเพื่อให้รู้สึกถึงสายสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่างร่างกายของเขากับหอก จะว่าไปก็ไม่เห็นมีอะไรแปลก

“ไม่ใช่ท่ายืน มัน…”

เจิงเฟยพยายามอธิบาย แต่เขายังไม่ทันพูดจบ เด็กหนุ่มถือหอกคนนั้นก็เริ่มเคลื่อนไหว

ไม่มีความลังเลรีรอในท่วงท่าของเขาแม้แต่น้อย ดูราวกับมังกรที่ผงาดขึ้นจากท้องทะเล ดวงตาของเขาวับวาวด้วยพละกำลัง ในพลันนั้น เด็กหนุ่มผู้เงียบขรึมดูราวกับเปลี่ยนเป็นอีกคน เหมือนว่าเขาได้กลายเป็นหอกคมกริบที่อาจทิ่มทะลุไปได้ถึงสวรรค์

“ฮะ?…”

หลิวหลิงถอยกรูด เขาหรี่ตาเพ่งดูอย่างงงงัน “จิตวิญญาณเพลงหอก? นี่เขาสำเร็จจิตวิญญาณเพลงหอกด้วยอายุแค่นี้หรือ?”

เขาเป็นปรมาจารย์ ย่อมรู้จักจิตวิญญาณเพลงหอกเป็นธรรมดา แต่ก็เคยเห็น ปรมาจารย์คนหนึ่งแสดงให้ดูเพียงครั้งเดียวเท่านั้น

แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ผู้ที่สามารถแสดงจิตวิญญาณเพลงหอกออกมาได้ อย่างน้อยก็ต้องมีอายุ 40 ปี แต่เด็กหนุ่มวัยรุ่นที่อยู่ตรงหน้าเขาปล่อยรังสีที่มีอานุภาพครอบงำรุนแรงออกมาพร้อมกับท่วงท่าการใช้หอก ซึ่งชัดเจนว่าเขาสำเร็จจิตวิญญาณเพลงหอกแล้ว แม้ว่าจะเป็นรูปแบบพื้นฐานที่สุด แต่มันก็เป็นจิตวิญญาณเพลงหอกอยู่ดี!

เขาทำได้อย่างไร?

หลิวหลิงเย็นยะเยือกไปทั้งตัว

นี่จะต้องเป็นนักเรียนคนที่เชี่ยวชาญในการใช้หอก, เจิ้งหยาง ก่อนหน้านี้เขาเพิ่งถูกอาจารย์หว่างเชาปฏิเสธ และมีทักษะอยู่ในขั้นพื้นฐานเท่านั้น ผ่านมาเพียง 10 วัน อาจารย์จางได้เปลี่ยนเขาให้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญการใช้หอก ถึงขั้นที่แสดงจิตวิญญาณเพลงหอกออกมาได้…

ไม่สงสัยแล้วว่าเขาเป็นอาจารย์ผู้เก่งกาจหรือไม่ เพราะ…มันคือปาฏิหาริย์!

เขาเงยหน้ามองเพื่อนเก่าทั้งสองคน จวงเชียนและเจิงเฟย ทั้งคู่ต่างยืนนิ่งงันและคิดเหมือนกัน

อาจารย์จางเซวียนคนนี้…เขาเป็นใครกันแน่?

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version