Skip to content

Library Of Heaven’s Path 196

ตอนที่ 196 คุณสมบัติของการสอบเป็นปรมาจารย์

จางเซวียนนวดหว่างคิ้วและถอนหายใจอย่างโล่งอก

หลังจากทำงานหนักมาสองวัน เขาก็แก้ปัญหาให้ผู้ที่จ่ายเงินมาล่วงหน้าได้ครบทุกคน และในที่สุดก็ปลอดภารกิจ

คนส่วนมากที่มาเข้าพบเขาจะตั้งคำถามเรื่องการฝึกวรยุทธ ในขณะที่ส่วนน้อยถามเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ ด้วยการใช้หอสมุดเทียบฟ้าและความรู้ที่เขาสั่งสมมาจากหนังสือในหอสมุดพระราชวัง จางเซวียนมองทะลุได้ทุกข้อบกพร่องและแก้ทุกปัญหาได้สำเร็จ

“อีกสองวันก็จะถึงวันประเมินอาจารย์แล้ว สงสัยจริงว่าเจ้าเด็กพวกนั้นฝึกกันไปถึงไหน…”

จางเซวียนยืดหลังอย่างเกียจคร้านและแอบออกจากคฤหาสน์ไป

สองวันมานี้เขามัววุ่นวายกับเรื่องของตัวเองจนไม่มีเวลากลับไปที่โรงเรียน ถ้าจ้าวหย่ากับคนอื่นๆไม่ทำตามคำแนะนำของเขาแล้วล่ะก็ การจะเอาชนะลูกศิศษย์ของลู่ฉวินคงเป็นไปได้ยาก

ส่วนลู่ฉวินกับหว่างเชาที่คอยอยู่หน้าประตูคฤหาสน์ ก็ปล่อยให้คอยไป หลังจากหมายมั่นปั้นมือกันมาตลอดวัน ทั้งคู่คงรู้แล้วว่าได้ทำให้ปรมาจารย์หยางขุ่นเคือง และเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนที่จะรับพวกเขาเป็นศิษย์ ปล่อยให้กลับไปแบบผิดหวังอย่างนั้นล่ะดีแล้ว

เมื่อพบตรอกในละแวกนั้น จางเซวียนก็ถอดคราบกลับเป็นคนเดิม และกลับไปที่โรงเรียน

“ปรมาจารย์จาง!”

กำลังจะเข้าประตูโรงเรียน เขาได้ยินเสียงเรียกชื่ออันคุ้นหู เมื่อหันกลับไปมองก็เห็นหวงหวี่กับไป๋ซวินกระวีกระวาดเข้ามาหา

“บังเอิญเสียจริง! เรากำลังจะเข้าไปหาคุณในโรงเรียน แต่คุณอยู่นี่แล้ว เราก็เบาใจได้”

หวงหวี่เดินเข้ามาและพูดอย่างยิ้มแย้ม

“หาผมรึ?” จางเซวียนถาม

การประชันภาพวาดของสองคนนี้เสร็จสมบูรณ์แล้วไม่ใช่หรือ? ภาพวาดก็ซื้อไปแล้ว แล้วจะมาหาเราทำไม?

แต่ก็ดี ถ้าพวกเขาอยากซื้อเพิ่ม เราก็ไม่รังเกียจที่จะวาดอีกสักภาพเพื่อให้ได้เงินแบบไวๆ

“เรามีเรื่องจะต้องรบกวนคุณ…” หวงหวี่พูดอย่างขัดเขิน

“อะไรล่ะ? ถ้าอยู่ในขอบเขตที่ผมทำได้ ผมก็จะช่วยเต็มที่” จางเซวียนพยักหน้า

หวงหวี่เคยช่วยเหลือเขา จางเซวียนจึงคิดว่าคงไม่เหมาะสมนักหากเขาจะปฏิเสธคำขอร้องของเธอ อีกอย่างเขาก็พูดกันไว้แล้ว ถ้าเธอร้องขอในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ จางเซวียนก็ยังมีโอกาสปฏิเสธ

“ปรมาจารย์จาง คุณรู้ใช่ไหมว่า ที่ผ่านมา เหตุผลที่พวกเราไปบ้านของปรมาจารย์ลู่เฉินก็เพื่อไปนำภาพดอกลิลลี่บนผืนผ้าใบมาให้ได้”

จางเซวียนพยักหน้า

เขารู้เรื่องนี้มานานแล้ว ดูเหมือนว่าหวงหวี่ตั้งใจจะมอบภาพวาดให้ใครคนหนึ่ง ซึ่งสุดท้ายจางเซวียนได้วาดภาพขั้น 5 ขึ้นมา ทำให้ทั้งคู่หันมาแย่งชิงภาพวาดของเขาแทน สร้างความกระอักกระอ่วนใจให้เขา ตอนนี้เขาก็ยังรู้สึกผิดต่อปรมาจารย์ลู่เฉินสำหรับเหตุการณ์ครั้งนั้น

“อันที่จริง เหตุผลที่เราอยากได้ภาพวาดดอกลิลลี่บนผืนผ้าใบ ก็เพื่อจะนำไปเป็นของขวัญวันเกิดให้ใครคนหนึ่ง แต่ภาพวาดที่คุณให้เรานั้นเป็นของขวัญวันเกิดที่เหมาะสมที่สุดแล้ว เพียงแต่ว่า…” มาถึงตรงนี้ หวงหวี่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “ฉันกลัวว่า เมื่อได้เห็นภาพวาดแล้ว ผู้อาวุโสเทียนอาจจะอยากพบจิตรกรผู้วาด ก็เลยอยากขอเชิญคุณไปงานฉลองวันเกิดด้วย!”

“ของขวัญวันเกิด? งานฉลองวันเกิด?” จางเซวียนเข้าใจสถานการณ์ทันที

เรื่องของเรื่องก็คือ การที่หวงหวี่อยากได้ภาพดอกลิลลี่บนผืนผ้าใบมากก็เพราะเธออยากนำไปมอบให้ใครคนหนึ่งเป็นของขวัญวันเกิด

“ผมไม่สนใจงานฉลองวันเกิดนะ ขอผ่านก็แล้วกัน!” จางเซวียนส่ายหน้า

จะเป็นงานฉลองวันเกิดใครก็ไม่ใช่ธุระของเขา เขาไม่อยากตระเวนไปเที่ยวแสดงความยินดีกับใครทั้งนั้น

“ปรมาจารย์จาง คุณควรจะมานะ ผู้อาวุโสเทียนเป็นคนดีมาก ขนาดฮ่องเต้

เซินจุยยังทรงเสด็จมาหาเลย…”เห็นอีกฝ่ายปฏิเสธคำขอร้องของเขา ไป๋ซวินรีบพูดเสริมอย่างกระวนกระวาย

“ฮ่องเต้เซินจุยก็เสด็จหรือ?”

จางเซวียนงุนงง

เขาคิดว่ามันเป็นงานฉลองวันเกิดของชนชั้นสูงทั่วไป หากฮ่องเต้ทรงเสด็จด้วย ก็แปลว่าเจ้าของงานไม่ใช่คนธรรมดาอย่างที่เขาคิด

“อันที่จริง ไม่ใช่เฉพาะฝ่าบาทนะ อาจารย์ของเราก็ไปด้วย ฉันจะบอกอะไรให้ คนที่เชิญคุณไปงานฉลองวันเกิดนะไม่ใช่พวกเราหรอก แต่…เป็นอาจารย์ของเรา, ปรมาจารย์หลิวหลิง!” หวงหวี่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมา

“หลิวหลิงเป็นอาจารย์ของคุณ?” จางเซวียนตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ “แล้วเขารู้จักผมด้วยหรือ?”

หวงหวี่เป็นผู้ช่วยปรมาจารย์ จึงไม่แปลกที่เธอจะมีปรมาจารย์เป็นครู ว่าแต่ ตอนนี้เขาเป็นจางเซวียน ไม่ใช่ ‘ปรมาจารย์หยางแล้วปรมาจารย์หลิวรู้จักเขาได้อย่างไร?

ถึงกับส่งผู้ช่วยมาเชิญเขาด้วย?

“หรือว่า…เขารู้แล้วว่าเราเป็นใคร?”

จางเซวียนมีสีหน้าหวาดระแวงทันที

หากตัวตนของเขาถูกเปิดเผยแล้วล่ะก็ เขาตกอยู่ในอันตรายแน่!

การปลอมตัวเป็นปรมาจารย์นั้นเป็นอาชญากรรมร้ายแรง เขาเป็นเพียงคนต๊อกต๋อยในเมืองห่างไกลที่อายุยังไม่เต็มยี่สิบเสียด้วยซ้ำ การครอบครองความรู้มหาศาลรวมทั้งความสามารถในการหยั่งรู้อันน่าทึ่งนั้น ก็เปรียบเสมือนการที่เขาครอบครองสมบัติล้ำค่า

ทางอาณาจักรจะต้องยื่นมือเข้ามายุ่มย่ามกับสมบัตินี้แน่ ซึ่งนั่นจะทำให้เขาต้องตกที่นั่งลำบาก

“ไม่ใช่แค่ปรมาจารย์หลิวนะ ปรมาจารย์จวงกับปรมาจารย์เจิงก็รู้จักคุณเหมือนกัน เมื่อวานนี้ตอนที่ผมบอกพวกเขาว่าคุณวาดภาพขั้น 5 ได้ พวกเขาตื่นเต้นจนแทบจะตกเก้าอี้!” ไป๋ซวินพูด

จนกระทั่งตอนนี้ เขาก็ยังรู้สึกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานชวนให้พิศวงนัก

เมื่ออาจารย์ของเขารู้ว่าเขากับหวงหวี่สนิทสนมคุ้นเคยกับปรมาจารย์จาง ก็เรียกพวกเขาเข้าไปและตั้งคำถาม เมื่อได้ยินว่าปรมาจารย์จางคนนั้นวาดภาพขั้น 5 ได้ พวกเขาก็หน้าแดงก่ำอย่างตื่นเต้น

ราวกับมีอาการตื่นตระหนกกับอะไรสักอย่าง จากนั้นก็สั่งพวกเขาสองคนว่าจะต้องพาปรมาจารย์จางมางานวันเกิดคืนนี้ให้ได้ จะด้วยเล่ห์หรือด้วยกลก็ต้องให้มา

“ปรมาจารย์จาง นี่เป็นโอกาสดีนะ ฉันไม่เคยเห็นอาจารย์สนใจใครมาก่อน ในเมื่อเขาสนใจคุณแล้ว คุณอาจได้เป็นผู้ช่วยปรมาจารย์เร็วๆนี้ก็ได้!” มีความอิจฉาปรากฎอยู่ในดวงตาของหวงหวี่ “อีกอย่าง คุณก็มีอาชีพรองรับอยู่แล้ว หากได้เป็นผู้ช่วยปรมาจารย์ คุณก็จะมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเข้าสอบเป็นปรมาจารย์ได้ทันที!”

อาจารย์ทุกคนล้วนใฝ่ฝันจะได้เป็นปรมาจารย์ และการได้รับความชื่นชมจากปรมาจารย์ก็ถือเป็นโอกาสสูงสุดของพวกเขาในการที่จะได้บรรลุเป้าหมาย

“มีอาชีพรองรับ? มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเข้าสอบเป็นปรมาจารย์? นี่คุณพูดเรื่องอะไร?”

จางเซวียนงง

“คุณไม่รู้หรือว่าการจะสอบเป็นปรมาจารย์ต้องใช้อะไรบ้าง?” หวงหวี่จ้องเขาด้วยสีหน้าประหลาด

อาณาจักรเทียนเซวียนไม่มีปรมาจารย์แม้สักคน และการเตรียมตัวก่อนเข้าสอบก็ไม่มีบันทึกไว้ในหนังสือเล่มไหน อีกอย่างจางเซวียนก็เพิ่งทะลุมิติมาได้ไม่นาน จึงไม่แปลกที่เขาจะไม่รู้

“ปรมาจารย์นั้นไม่ได้มีความสามารถแค่ให้คำชี้แนะเรื่องวรยุทธ แต่ยังต้องให้คำชี้แนะกับอาชีพอื่นได้ด้วย ดังนั้น นอกจากความรู้เรื่องวรยุทธแล้ว ปรมาจารย์จึงต้องมีอาชีพรองรับ…”

เห็นอีกฝ่ายยังทำหน้าสงสัย หวงหวี่จึงอธิบายต่อ “เอาง่ายๆนะ ผู้ที่มีทักษะในหนึ่งอาชีพจะสามารถเข้าสอบเป็นปรมาจารย์ระดับ 1 ดาวได้ หากมีทักษะในสองอาชีพ ก็จะสามารถเข้าสอบเป็นปรมาจารย์ระดับ 2 ดาวได้ กล่าวคือความต้องการในทักษะด้านอาชีพนั้นจะต้องมีมากขึ้นตามระดับของปรมาจารย์ที่สูงขึ้น

ยิ่งมีดาวมากขึ้นเท่าไหร่ คุณก็จะต้องมีความรู้ในการชี้แนะอาชีพต่างๆมากขึ้นเท่านั้น หากคุณจะเข้าสอบเป็นปรมาจารย์ระดับ 1 ดาวแล้วล่ะก็ อาชีพจิตรกรเพียงอย่างเดียวก็เกินพอ!”

“พูดได้ว่า ด้วยการมีอาชีพจิตรกรรองรับ และการได้สถานภาพเป็นผู้ช่วยปรมาจารย์ คุณก็จะมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเข้าสอบเป็นปรมาจารย์ระดับ 1 ดาวได้ แน่นอนว่าจะผ่านหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่อย่างน้อยคุณก็มีคุณสมบัติเพียงพอ ฉัน…ถึงฉันจะเป็นผู้ช่วยปรมาจารย์ แต่ก็มีคุณสมบัติไม่พอที่จะเข้าสอบได้”

หวงหวี่ยิ้มเจื่อนๆ

เหตุที่ปรมาจารย์มีจำนวนน้อยมาก และเหตุที่การสอบช่างยากเย็นก็เพราะอย่างนี้

มีอาชีพอยู่นับไม่ถ้วนในเก้าสถานภาพระดับบน กลาง และล่าง ทุกอาชีพต้องการความพากเพียรทุ่มเทเพื่อให้ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญ ดูปรมาจารย์ลู่เฉินเป็นตัวอย่าง เขาหมกมุ่นอยู่กับการวาดภาพมาทั้งชีวิต แต่ก็วาดภาพได้ถึงขั้น 4 เท่านั้น เพียงเท่านี้ก็เห็นแล้วว่ามันยากเย็นขนาดไหน

มีบางคนที่ขาดอาชีพรองรับ ก็ต้องแป้กอยู่กับการเป็นผู้ช่วยปรมาจารย์ไปทั้งชีวิตโดยไม่มีโอกาสจะได้เข้าสอบ แต่ชายที่อยู่ตรงหน้าเธอนี้ ไม่เพียงแต่มีความสามารถในการสอนและครอบครองวรยุทธอันทรงพลังเท่านั้น เขายังเป็นปรมาจารย์ด้านการวาดภาพอีกด้วย หากเขาได้เป็นผู้ช่วยปรมาจารย์แล้วล่ะก็ เขาจะต้องมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเข้าสอบได้อย่างง่ายดาย

แค่จุดเริ่มต้นของเขาก็สูงกว่าเธอมาก

เธอสงสัยนักว่าเขาสั่งสมความสามารถขนาดนี้ได้อย่างไร ทั้งที่อายุมากกว่าเธอเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

“เพราะฉะนั้น นี่ก็คือเหตุที่…”

เมื่อได้ฟังคำอธิบาย ในที่สุดจางเซวียนก็เข้าใจว่าเหตุใดปรมาจารย์จึงเป็นที่เคารพนับถือ

นี่คือเหตุผลที่ปรมาจารย์สามารถให้คำชี้แนะกับผู้คนได้ทุกอาชีพ

ในการเตรียมตัวให้มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเข้าสอบ ผู้เข้าสอบจะต้องมีอาชีพรองรับเสียก่อน ยิ่งมีดาวมากขึ้นก็ยิ่งต้องมีอาชีพรองรับมากขึ้น นั่นคือเหตุผลที่ปรมาจารย์ระดับหลายดาวหายากมากและไม่มีใครเทียบชั้นได้ ผู้นั้นจะต้องมีความรู้มากมายอย่างน่าสะพรึง จึงจะเข้าถึงระดับที่ว่า

ไม่สงสัยเลยว่าเหตุใดหวงหวี่ที่เป็นถึงผู้ช่วยปรมาจารย์จึงทุ่มเทความอุตสาหะในการเรียนวาดภาพ และปฏิบัติต่อปรมาจารย์ลู่เฉินด้วยความเคารพ ดูเหมือนว่าเธอตั้งใจจะใช้การวาดภาพเป็นอาชีพรองรับเพื่อให้มีสิทธิ์เข้าสอบเป็นปรมาจารย์

“ผมเป็นนักปรุงยาระดับ 1 ดาว ก็หมายความว่า ถ้าผมได้เป็นผู้ช่วยปรมาจารย์ ผมก็จะมีสิทธิ์เข้าสอบเป็นปรมาจารย์ใช่ไหม?” จางเซวียนตาโต

หลังจากผ่านวันคืนของการปลอมตัวเป็นปรมาจารย์ เขารู้แล้วว่าสถานภาพนี้น่าเกรงขามแค่ไหน

ด้วยสถานภาพดังกล่าว ไม่ว่าจะไปที่ใดก็จะได้รับความเคารพ จะไม่มีใครกล้าเปิดศึกกับเขา

ที่ผ่านมา เขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับสถานภาพปรมาจารย์ เพราะเขามีหอสมุดเทียบฟ้าอยู่ในครอบครองอยู่แล้ว แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิม

รังสีพิษดำทะมึนที่ซ่อนอยู่ในร่างกายของเขานั้นหมายความว่ามีใครคนหนึ่งอยากฆ่าเขา ถ้าเขามีสถานภาพปรมาจารย์และสมาคมอาจารย์คุ้มหัวอยู่ ฝ่ายนั้นก็น่าจะต้องทบทวนใหม่ก่อนที่จะลงมืออีกครั้ง

อีกอย่าง ขอบฟ้าคือขีดจำกัด การครอบครองหอสมุดเทียบฟ้าก็เท่ากับการจำกัดตัวเขาเองให้อยู่ได้แค่ในอาณาจักรเทียนเซวียน!

หากต้องการท่องโลกกว้าง ทั้งวรยุทธและสถานภาพที่น่ายำเกรงล้วนเป็นสิ่งสำคัญ

หากมีสถานภาพปรมาจารย์ ทุกอย่างก็จะง่ายดายและสะดวกกว่าเดิมมาก

ในอีกแง่หนึ่งที่ควบคู่กัน แค่การเป็นนักปรุงยาก็ทำให้เขาเข้าหอสมุดสมาคมนักปรุงยาได้ และได้ส่วนลดมากมายในการซื้อยาด้วย

“ดูท่าเราจะต้องรีบสอบเป็นปรมาจารย์เสียแล้ว!”

จางเซวียนตัดสินใจ

ในเมื่อเขามีเครื่องจักรขี้โกงที่เรียกว่าหอสมุดเทียบฟ้าอยู่ด้วย ไม่ได้เป็นปรมาจารย์ก็แย่แล้ว

แค่ให้คนมาออกหมัดพื้นฐาน เขาก็ชี้ข้อบกพร่องของคนนั้นได้ ด้วยสิ่งนี้เพียงอย่างเดียว การได้เป็นปรมาจารย์และผู้เชี่ยวชาญไม่ได้มีความหมายอะไรกับเขาเลย

จะเก่งกาจทรงอำนาจมาจากไหนก็ตาม จะเหนือกว่าฟ้าได้หรือ?

ไม่มีใครปิดบังอะไรต่อหน้าหอสมุดเทียบฟ้าได้ อีกอย่าง แม้หอสมุดเทียบฟ้าเองก็ยังมีข้อบกพร่อง แล้วมนุษย์จะปราศจากข้อบกพร่องได้อย่างไร?

ตราบใดที่ทุกคนยังมีข้อบกพร่องอยู่ จางเซวียนก็สามารถใช้หนังสือที่หอสมุดประมวลขึ้นมาได้

การได้เป็นปรมาจารย์เท่านั้นที่จะทำให้เขาแสดงความสามารถนี้ได้โดยไม่ต้องกังวล และพุ่งไปถึงจุดสูงสุดได้เลย!

อีกอย่าง ด้วยสถานภาพปัจจุบันของเขา การรวบรวมหนังสือให้เพียงพอต่อการสร้างเคล็ดวิชาเทียบฟ้าก็ยังคงเป็นไปไม่ได้อยู่ ป่วยการจะพูดถึงการพัฒนาทักษะอย่างพรวดพราด

“ผมต้องรับพวกเขาคนใดคนหนึ่งเป็นอาจารย์หรือ?”

ในการจะเป็นปรมาจารย์ได้ ผู้นั้นจะต้องเป็นผู้ช่วยปรมาจารย์เสียก่อน และการที่จะทำอย่างนั้นได้ ก็จะต้องรับปรมาจารย์ตัวจริงสักคนหนึ่งมาเป็นอาจารย์ของตัวเอง และให้เขาชี้แนะแนวทางให้

จะให้รับหลิวหลิง จวงเชียน หรือเจิงเฟยมาเป็นอาจารย์ของเขาหรือ?

ไร้สาระ

สองวันมานี้ ทั้งสามหมั่นแวะเวียนไปที่คฤหาสน์เพื่อแจ้งความจำนงขอให้ปรมาจารย์หยางรับเป็นศิษย์ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เนื่องจากจางเซวียนตั้งใจจะกำจัดตัวตนของหยางชวนในเร็วๆนี้ เขาจึงไม่ตอบตกลง

แต่ดูท่าพวกเขาจะไม่ล้มเลิกความตั้งใจง่ายๆ หากเขารับหนึ่งในสามคนนั้นมาเป็นอาจารย์ของจางเซวียนและรับพวกเขาเป็นศิษย์ในฐานะหยางชวน สถานการณ์คงจะพิสดารพันลึก พูดได้ว่าในฐานะจางเซวียน เขาเป็นลูกศิษย์ แต่ในฐานะหยางชวน เขาเป็นอาจารย์

เป็นทั้งอาจารย์และลูกศิษย์ในตัวเอง…

อีกอย่าง จะยอมให้ทั้งคู่พบกันไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นต้องถูกเปิดโปงแน่

บ้าแล้ว!

จะพิสดารอะไรได้ขนาดนั้น

แค่คิดคร่าวๆ จางเซวียนก็หนักใจเต็มที

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version