ตอนที่ 154 ประโยชน์ของหนังสือสีทอง?
“อะไรนะ?” หลัวชงหน้าดำคร่ำเครียด
ต่อให้เป็นปรมาจารย์ก็ไม่ควรดูถูกกันขนาดนี้!
ถึงอย่างไรผมก็เป็นประธานสมาคมช่างตีเหล็ก ผมมีตำแหน่งอันทรงเกียรติ คุณมาหาว่าผมสวาปามเกินพอดีเนี่ยนะ…
ผมมาขอคำปรึกษาโดยจ่ายค่าปรึกษาให้คุณ แต่คุณตอบแบบนี้ คุณกำลังดูถูกผมใช่ไหม…
แม้ซุนฉางจะรู้อยู่แล้วว่าปรมาจารย์จะต้องพูดอะไรชวนอึ้งออกมา ก็ยังไม่อาจหักห้ามความปั่นป่วนไว้ได้ แทบจะเอาหัวโขกกำแพงเลยทีเดียว
เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ของผม ท่านมีความสุขดีอยู่หรือที่พูดกับช่างตีเหล็กมือหนึ่งเยี่ยงนี้?
แค่ก แค่ก, ต่อให้เป็นคนธรรมดาสามัญก็จะต้องเดือดดาลหากท่านพูดอะไรแบบนี้กับเขา
ยิ่งไปกว่านั้น เหตุผลที่เขามาก็เพื่อขอคำชี้แนะว่าเหตุใดเขาจึงไม่อาจหลอมอาวุธได้ แต่คำแรกที่ท่านตอบเขาคือสวาปามเกินพอดี ท่านจะยโสโอหังเกินไปไหม?
คนที่สวาปามเกินพอดีจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับการหลอมอาวุธ? สิ่งเดียวที่เชื่อมโยงกันก็คือถ้าใครไม่กินก็จะรู้สึกอ่อนแรงก็เท่านั้น
แต่สำหรับนักรบขั้นทงฉวนอย่างประธานหลัวชง เรื่องพวกนี้ไม่ใช่ปัญหาสักหน่อย!
“อย่าเพิ่งวู่วามไป!”
เห็นอีกฝ่ายเดือดดาลเช่นนั้น จางเซวียนไม่ใส่ใจ เขายิ้ม “อย่าเพิ่งปฏิเสธคำพูดของผมเร็วนัก คุณกินกุ้งมังกรทุกวันใช่หรือไม่?”
“ใช่! นั่นคือปัญหารึ?” หลัวชงมองปรมาจารย์อย่างสงสัย
กุ้งมังกรเป็นสัตว์ที่มีอยู่เฉพาะในทะเลสาบหง นำไปปรุงอาหารได้อร่อยมาก เป็นหนึ่งในอาหารจานโปรดของชนชั้นสูงในอาณาจักรเทียนเซวียน เขากินกุ้งนี้บ่อยมาก แต่เหตุการณ์แบบนี้ก็ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แล้วความล้มเหลวในการหลอมอาวุธของเขาจะเกี่ยวข้องกับสิ่งนี้จริงหรือ?
“ถ้าผมพูดไม่ผิด กุ้งมังกรทั้งหมดที่คุณกินเป็นกุ้งที่มาจากฝูงเดียวกันที่คุณเพิ่งซื้อมาใช่ไหม?” จางเซวียนยังคงถามต่อ
หลัวชงพยักหน้า แต่ก็สงสัยไปด้วย
ปรมาจารย์รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?
กุ้งมังกรที่เขากินเป็นกุ้งฝูงหนึ่งที่เขาเพิ่งซื้อมาเมื่อสองสามวันที่แล้ว มีอยู่หลายพันตัวและบรรจุมาเต็มสองลัง เพื่อให้มั่นใจในความสด เขาปล่อยพวกมันไว้ในสระน้ำกลางลานบ้าน
เขาจะเลือกช้อนเอาตัวเป็นๆที่แข็งแรงขึ้นมากิน จึงไม่น่าเป็นไปได้ที่จะมีสิ่งใดผิดปกติกับกุ้งพวกนี้ และหลังจากกินเข้าไปแล้วก็ไม่ได้ท้องเสียหรือมีอาการอื่นใด แล้วกุ้งมังกรจะเกี่ยวข้องกับความล้มเหลวในการหลอมอาวุธได้อย่างไร?
จางเซวียนหัวเราะหึๆ “คุณรู้ไหมว่ากุ้งมังกรมีระยะสืบพันธุ์เมื่อไร?”
“สืบพันธุ์ตอนไหนรึ?” หลัวชงงงหนักขึ้นอีก เขาสนใจการกินกุ้งเท่านั้น จะไปรู้เรื่องนั้นได้อย่างไร?
“ผมรู้…”
เขากำลังจะขอคำตอบจากปรมาจารย์หยาง ก็พอดีซุนฉางโพล่งขึ้นมา
“พูดสิ!” จางเซวียนพยักหน้า
“กุ้งมังกรจะวางไข่ช่วงปลายฤดูร้อนต่อกับต้นฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งก็คือช่วงเวลานี้” ซุนฉางตอบ
เขาเคยทำงานที่หอการค้าเทียนหวี่หลายปี แม้ไม่เคยซื้อ แต่ก็ได้เห็นมันอย่างใกล้ชิดอยู่บ่อยๆ จึงพอมีความรู้อยู่บ้าง
“ถูกแล้ว คือฤดูนี้นี่แหละ” จางเซวียนพยักหน้า
โรงเรียนเพิ่งเปิดเทอมได้ไม่นาน และตอนนี้เป็นต้นฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งก็เป็นฤดูจับคู่ของกุ้งมังกร
ได้ยินเช่นนั้น หลัวชงแทบลมจับด้วยความสับสน
ปรมาจารย์หยาง ผมมาเพื่อสอบถามคุณว่าเหตุใดผมจึงหลอมเครื่องมือไม่สำเร็จ ไม่ใช่มาหาคำตอบว่ากุ้งมังกรผสมพันธุ์กันเมื่อไร มันจะวางไข่ตอนไหนแล้วเกี่ยวอะไรกับผมด้วย ไม่ใช่ลูกผมเสียหน่อย…
“อย่ากังวลไป การที่คุณหลอมอาวุธไม่ได้ก็เพราะสิ่งนี้นี่แหละ!” เห็นความงงงันของอีกฝ่าย จางเซวียนพูดต่อ “กุ้งมังกรเป็นอาหารที่ให้พลังหยิน หากกินมากไปจะทำให้พลังหยางในตัวของผู้กินพร่องไป แต่ผลกระทบเหล่านั้นก็มีน้อยมากจนแทบจะไม่รู้สึก”
“อย่างไรก็ตาม กุ้งมังกรในระยะหลังการจับคู่จะต่างออกไปมาก!”
“กุ้งมังกรจะถ่ายทอดพลังชีวิตเข้าสู่ไข่ที่พวกมันวาง ทำให้ตัวมันเองอ่อนแอลง ด้วยเหตุนี้ร่างกายของพวกมันจึงสร้างสารบางอย่างที่มีฤทธิ์ทำให้ประสาทของคนมึนชา ถ้ากินมากเกินไปก็จะส่งผลให้สมองผิดเพี้ยน…”
มาถึงตรงนี้ จางเซวียนหยุดพูดและมองหลัวชงด้วยนัยน์ตาวาววับ “คุณไม่สามารถจะเข้าถึงสภาวะของจิตวิญญาณขั้น 2-นิ่งสงบดั่งหนองน้ำ…ได้ใช่ไหม? ไม่เพียงเท่านั้น คุณยังรู้สึกว่าตัวเองหงุดหงิดง่าย ทำให้ความสามารถในการหลอมชิ้นงานของคุณแปรปรวนไป และสุดท้ายก็ไม่สามารถหลอมสิ่งใดได้เลย”
ไม่ว่าจะเป็นการปรุงยาหรืออาวุธ สภาวะจิตของผู้หลอมมีความสำคัญมาก หากจิตไม่นิ่ง เป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำสำเร็จ
“เป็นไปได้หรือว่า..เพราะผมกินกุ้งมังกรมากเกินไป?” หลัวชงตัวสั่นและเซถอยไปสองก้าว
เป็นความจริงที่ว่า ไม่นานมานี้เขาไม่สามารถรวบรวมสมาธิให้อยู่กับการหลอมเครื่องมือได้ และไม่อาจเข้าถึงสภาวะนิ่งสงบดั่งหนองน้ำได้อีกด้วย เขาพยายามทุกวิถีทางที่จะทำใจให้สงบ แต่ไม่เป็นผล ไม่น่าเชื่อว่าตัวปัญหาคือ…กุ้งพวกนั้น
สำหรับเขา มันเป็นเรื่องเหลือเชื่อที่ว่ากุ้งมังกรในฤดูผสมพันธุ์จะสร้างสารที่ทำให้ประสาทของคนมึนชา…ถ้าไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายชี้ให้เห็น เขาจะไม่เชื่อเลยว่ามันเป็นไปได้ ว่าแต่ ทำไมเขาไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนนะ?
จางเซวียนโคลงศีรษะ
“ตอนนี้ผมรู้สาเหตุแล้ว ต่อไปจะไม่กินกุ้งมังกรอีกเลย ปรมาจารย์หยางได้โปรดชี้แนะด้วยว่าผมควรแก้ปัญหาด้วยวิธีใด!”
หลัวชงหน้าซีดและลังเลอยู่ชั่วขณะก่อนจะรีบคารวะ
ไม่ว่าเขาจะชอบกินกุ้งมังกรขนาดไหน การหลอมอาวุธก็สำคัญกว่ามาก
“เอ่อ…” ได้ยินเช่นนั้น จางเซวียนถึงกับอึ้ง
เอาเข้าจริง เขาก็ไม่รู้ว่าควรแก้ปัญหานี้อย่างไร
หอสมุดเทียบฟ้าให้รายละเอียดเฉพาะสาเหตุเบื้องหลังสิ่งที่เกิดขึ้น อย่างปัญหาหลักของหลัวชงคือเขากินกุ้งมังกรมากเกินไป ทำให้เส้นประสาทเกิดอาการมึนชา พิษนั้นนำไปสู่สภาวะจิตที่ไม่มั่นคงและความล้มเหลวในการหลอมเครื่องมือ
แต่จะถอนพิษได้อย่างไร จางเซวียนก็ไม่รู้
แต่นั่นแหละ จะให้ใครรู้ไม่ได้ว่าตัวเขาไม่มีคำตอบ จางเซวียนนิ่งคิดอยู่ชั่วขณะก่อนจะเอามือไพล่หลังเพื่อวางท่าแบบผู้ทรงภูมิ
“อย่างแรก ปล่อยกุ้งมังกรพวกนั้นไป การแก้ปัญหาก็ขึ้นอยู่กับการกระทำของคุณในอนาคตนั่นล่ะ แต่…ผมบอกได้ว่า ถ้าคุณอยู่ห่างจากมันสักระยะหนึ่ง คุณจะค่อยๆฟื้นตัวอย่างแน่นอน!”
เขาไม่ได้หลอกลวงหลัวชง เพราะร่างกายมนุษย์มีความสามารถในการสลายและกำจัดสารพิษอยู่แล้ว โดยเฉพาะกับนักรบขั้นทงฉวน ถ้าเขาอยู่ห่างจากกุ้งพวกนั้นสักพัก สารพิษในร่างกายก็จะถูกกำจัดออกไปได้
“ปรมาจารย์หยาง ขอบคุณสำหรับคำชี้แนะ!” เมื่อรู้ต้นสายปลายเหตุของปัญหาแล้ว หลัวชงถอนหายใจอย่างโล่งอก เขารีบก้มศีรษะคำนับ
ณ เวลานี้ เขาประทับใจในตัวปรมาจารย์อย่างยิ่งยวด
แค่เห็นเขาหลอมอาวุธ ก็สามารถบอกได้ว่าเขากินกุ้งมังกรมากเกินไป แถมยังรู้ถึงต้นตอของปัญหาที่ทำให้เขาหลอมอาวุธไม่สำเร็จ…สวาปามเกินพอดี!
ในฐานะปรมาจารย์ ความสามารถในการหยั่งรู้ของเขาช่างน่าทึ่ง
สามล้าน คุ้มค่านัก!
“ปรมาจารย์หยาง ท่านจะช่วยชี้แนะผมเรื่องการหลอมอาวุธได้หรือไม่?” เมื่อพบต้นตอของปัญหาและรู้ว่าเวลาจะช่วยเยียวยาได้ หลัวชงก็เริ่มคิดฟุ้งซ่าน
เขาแป้กอยู่ที่การเป็นช่างตีเหล็กระดับ 1 ดาวขั้นกลางมาเนิ่นนานแล้ว ไม่อาจฝ่าด่านไปสูงกว่านี้ได้ บัดนี้ปรมาจารย์อยู่ตรงหน้า เขาอยากจะใช้โอกาสนี้ให้คุ้มค่าที่สุด เผื่อจะได้สักหนึ่งหรือสองคำชี้แนะที่จะช่วยให้เขาฝ่าด่านไปได้
“การหลอมอาวุธรึ?” จางเซวียนไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะยังตื๊อหลังจากที่เขาแก้ปัญหาให้แล้ว แถมยังอยากจะเรียนการหลอมอาวุธจากเขาอีก
เขาถึงกับชะงัก
เรื่องจริงคือเขาก็ไม่รู้วิธีการหลอมอาวุธ แล้วจะไปชี้แนะอะไรได้?
“ดูเหมือนผมจะหุนหันพลันแล่นไปเสียแล้ว…” เมื่ออีกฝ่ายไม่มีคำตอบให้
หลัวชงออกอาการเงอะงะ คนระดับปรมาจารย์จะสอนเฉพาะลูกศิษย์ของตน มันออกจะไม่เหมาะสมที่เขาเอ่ยปากเช่นนั้น
จางเซวียนโบกมือ “เสี่ยวฉาง ส่งแขก!”
“ท่านหลัว ปรมาจารย์ต้องการพักผ่อน เชิญทางนี้เถิด!” ซุนฉางเดินเข้ามา
“ได้” หลัวชงพยักหน้าและเอ่ยคำลา
“เป็นปรมาจารย์นี่มันยากเสียจริง…” เห็นหลัวชงลับตาไป จางเซวียนถึงกับต้องนวดหว่างคิ้ว
ปรมาจารย์มีความรู้ทุกศาสตร์อยู่ในสมอง และมีความสามารถในการหยั่งรู้ที่เหนือกว่าใครจะจินตนาการ ทุกวันนี้ที่เขายังทำได้ก็เพราะความช่วยเหลือของหอสมุดเทียบฟ้า เมื่อไรที่ไม่ใช้มัน เขาจะต้องถูกเปิดโปงแน่
“สงสัยจริงว่าปรมาจารย์ของจริง เก็บความรู้มากมายไว้ในสมองได้อย่างไร…”
พลังงานของมนุษย์นั้นมีจำกัด หลังจากเข้าทดสอบเป็นนักปรุงยา เขาเข้าใจแล้วว่าความรู้ที่ต้องใช้ในศาสตร์แขนงต่างๆนั้นมีมากมายและล้ำลึกราวกับมหาสมุทร ถ้าปราศจากหอสมุดเทียบฟ้า ไม่เพียงแต่จะสอบไม่ผ่าน แม้แต่คะแนนเดียวเขาก็คงทำไม่ได้
ปรมาจารย์ที่แท้จริงไม่อาจเป็นเจ้าของเครื่องมือที่ขี้โกงแบบนี้ มันยังคงเป็นเรื่องเร้นลับสำหรับเขาว่าปรมาจารย์เหล่านั้นร่ำเรียนได้มากมายและผ่านการทดสอบพวกนั้นได้อย่างไร เมื่อนึกถึงขีดจำกัดของมนุษย์
“นับจากนี้เราต้องอ่านหนังสือให้มากขึ้น เพราะถึงอย่างไรหอสมุดก็เป็นแค่เครื่องมือชิ้นหนึ่งเท่านั้น”
ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในสมอง
สำหรับเขา แม้หอสมุดจะน่าทึ่ง แต่ก็เป็นแค่เครืองมือชิ้นหนึ่ง ถ้าเขาต้องพึ่งพามันตลอดเวลาโดยไม่พยายามปรับปรุงตัวเอง แม้จะประสบความสำเร็จกับการปลอมตัวในอาณาจักรเทียนเซวียนและอาณาจักรใกล้เคียง แต่ก็คงถูกเปิดโปงแน่ถ้าไปในที่ที่เจริญรุ่งเรืองกว่านี้
ดังนั้น ไม่ว่าจะอย่างไร คลังความรู้ของเขาเองย่อมสำคัญที่สุด
ความคิดนั้นผุดขึ้นในสมองและหนักหน่วงขึ้นทุกทีจนจางเซวียนสลัดไม่หลุด เขามองดูหอสมุดเทียบฟ้าอีกครั้ง
การอ่านหนังสือและการร่ำเรียนในโลกของความเป็นจริงนั้นเป็นกระบวนการที่เชื่องช้า แต่เขาสามารถเร่งสปีดขึ้นได้หลายเท่าด้วยการอ่านหนังสือในหอสมุด เขาได้สัมผัสความมหัศจรรย์เหล่านั้นมาด้วยตัวเอง
แม้เขาจะเข้าถึงหนังสือทุกเล่มในหอสมุดได้เพียงแค่การนึกถึง แต่ก็ไม่อาจพูดได้เต็มปากว่าความรู้เหล่านั้นเป็นของตัวเอง
ก็เหมือนกับไป๋ตู้และกูเกิ้ลในโลกเก่าของเขา แม้เทคโนโลยีเหล่านั้นจะอนุญาตให้เราเข้าถึงวิธีแก้ปัญหา แต่ความรู้เหล่านั้นก็เป็นแค่เครื่องมือชิ้นหนึ่ง เราไม่อาจใช้มันได้อย่างเป็นอิสระและง่ายดาย การจดจำทุกสิ่งไว้ในสมองได้เท่านั้นถึงจะเรียกว่าเป็นความรู้ที่แท้จริง
“หืม? นั่นอะไร?” เมื่อเข้าไปในหอสมุดในหัว เขารู้สึกว่ามีบางสิ่งผิดที่ผิดทาง
หนังสือสีทองเล่มหนึ่งปรากฎอยู่บนชั้นหนังสือที่มีหนังสือเบียดกันแน่นขนัด
เขาแน่ใจว่าไม่เคยเห็นหนังสือเล่มนี้มาก่อน
“มานี่ซิ!” วาดมือหนึ่งครั้ง หนังสือสีทองสั่นสะเทือนและลอยเข้าสู่ฝ่ามือของเขา
หนังสือเล่มนั้นบางมากและดูจะไม่มีเนื้อหาอะไรมากนัก เมื่อเปิดดูก็ถึงกับงง
หนังสือมีเพียงหน้าเดียวและไม่มีเนื้อหาอะไรเลย เป็นหนังสือโล่งๆ
“หนังสือนี้มีประโยชน์อะไรกัน?” จางเซวียนงุนงง
เขาไม่รู้ว่าหนังสือเล่มนี้เข้ามาอยู่ในหอสมุดเทียบฟ้าตั้งแต่เมื่อไร เช่นเดียวกับที่ไม่รู้ว่าเหตุใดมันจึงว่างเปล่า
“เราควรจะปล่อยไว้ก่อน ตอนนี้หาความรู้จากหนังสือเล่มอื่นๆก่อนดีกว่า”
หลังจากพิจารณาหนังสือสีทองอยู่พักใหญ่ จางเซวียนก็ยังไม่เข้าใจวัตถุประสงค์ของมัน เขาส่ายหน้าและปล่อยมันไว้ก่อน แล้วหันมาสำรวจหอสมุดเทียบฟ้าอีกครั้ง มีหนังสือมากมายอยู่ในนั้น และเขาตั้งใจจะอ่านพวกมันเพื่อซึมซับความรู้เข้าสู่สมอง
ชั่ววินาทีที่ความคิดนั้นผุดขึ้น ก่อนที่เขาจะทันได้ขยับตัว หนังสือสีทองในมือของเขาก็สั่นสะท้านและแปรสภาพเป็นลำแสงสุกสว่าง ภายใต้แสงที่เจิดจ้าจนแสบตานั้น เนื้อหาทั้งหมดจากหนังสือทุกเล่มในหอสมุดก็พุ่งตรงเข้าสู่สมองของจางเซวียน
ก่อนที่จางเซวียนจะได้ทันทำอะไร ทุกสิ่งก็วูบดับลง
เขาเป็นลมสลบไป