ตอนที่ 197 นานแล้วนะตั้งแต่เราพบกันครั้งสุดท้าย
“เราจะปล่อยให้เป็นแบบนั้นไม่ได้…”
จางเซวียนส่ายหน้า
ขืนทำแบบนั้น ไม่นานต้องถูกเปิดโปงจนเละแน่
แต่หากเขาไม่รับหนึ่งในสามคนนั้นเป็นอาจารย์ เขาก็ไม่อาจก้าวขึ้นเป็นผู้ช่วยปรมาจารย์ได้ และถ้าเป็นอย่างนั้น ก็จะมีคุณสมบัติไม่เพียงพอที่จะเข้าสอบเป็นปรมาจารย์อีก
แค่คิดก็ปวดเศียรเวียนเกล้าไปหมดแล้ว
“พอก่อน เราจะไม่คิดเรื่องนี้แล้ว เอาเป็นว่าได้พบทั้งสามปรมาจารย์ในฐานะจางเซวียนก็ดีเหมือนกัน อย่างแรก ก็จะได้รู้จักมักคุ้นกับพวกเขา อย่างที่สอง เราจะได้ถามเรื่องรังสีพิษที่อยู่ในตัวด้วย!”
หลังจากคิดวกวนอยู่ครู่หนึ่ง จางเซวียนก็ตัดสินใจได้
รังสีดำทะมึนที่อยู่ในร่างของเขายังไม่เป็นอันตราย แต่เขาก็อยากกำจัดมัน หากเขาถามทั้งสามปรมาจารย์ในฐานะหยางชวน ก็คงจะไม่สมกับตัวตนของเขาที่เป็นผู้รู้แจ้ง ถามในฐานะจางเซวียนจะดีกว่า
หากลู่ฉวินกับหว่างเชาล่วงรู้ความคิดของเขา คงอยากจะปล่อยโฮให้น้ำตาท่วม
หลังจากที่เข้าไม่ถึงตัวหยางชวน พวกเขาก็ไปขอเข้าพบสามปรมาจารย์เมื่อวานนี้ เพียงเพื่อจะได้อยู่แค่หน้าประตู ก็สมแล้วกับตอนที่สามปรมาจารย์อยากพบเขา เขายังต้องคิดทบทวนแถมยังทำท่าไม่เต็มใจ
ถ้าไม่วางท่าแล้วจะตายไหม?
“งานฉลองวันเกิดเริ่มเมื่อไร แล้วผู้อาวุโสเทียนนี่เป็นใครกัน ทั้งสามปรมาจารย์และฮ่องเต้เซินจุยจึงต้องไปเยี่ยมเยียนถึงที่?”
จางเซวียนยังคงรู้สึกว่าสถานการณ์นี้ออกจะประหลาด
การที่ทั้งสามปรมาจารย์และฮ่องเต้เซินจุยไปเยี่ยมเยียนถึงที่ ก็แปลว่าผู้อาวุโสเทียนคนนี้ต้องไม่ใช่คนธรรมดาสามัญ ซึ่งหากเขาเป็นคนใหญ่คนโต เจ้าของร่างนี้คนเก่าก็น่าจะต้องรู้จักเขา แต่ทำไมจึงไม่ทิ้งความทรงจำหรือความประทับใจใดๆเกี่ยวกับเขาไว้เลย?
“งานฉลองวันเกิดจัดขึ้นวันนี้ ถ้าเรารีบหน่อยก็ไปทัน”
เมื่อได้ยินคำถาม หวงหวี่ก็รู้ได้ทันทีว่าเขาตัดสินใจจะไปร่วมงาน เธอถอนหายใจด้วยความโล่งอกและอธิบายต่อ “ผู้อาวุโสเทียนเคยเป็นอาจารย์ของโรงเรียนเป๋ยอู๋ ทั้งปรมาจารย์หลิว ปรมาจารย์จวง และปรมาจารย์เจิงล้วนเคยเรียนกับเขา แม้เขาจะไม่ได้เชี่ยวชาญด้านการสอนวรยุทธเป็นพิเศษ แต่ก็ถือเป็นกึ่งอาจารย์ของทั้งสามท่านนั้น วันนี้เขาฉลองวันเกิดครบรอบ 90 ปี และทั้งสามปรมาจารย์ก็มาอยู่ในอาณาจักรเทียนเซวียนแล้ว จึงเห็นควรที่จะไปอวยพรเขา…”
แม้ผู้อาวุโสเทียนคนนี้จะเป็นพลเมืองของอาณาจักรเทียนเซวียน แต่เขาเป็นอาจารย์ในโรงเรียนเป๋ยอู๋ ทั้งสามปรมาจารย์เคยเรียนกับเขาคนละครั้ง จึงกล่าวได้ว่าเขามีฐานะเป็นกึ่งอาจารย์ของทั้งสามคน และเหตุที่ปรมาจารย์หลิวให้หวงหวี่มาที่นี่ ก็เพื่อจะให้เธอได้เข้าร่วมงานฉลองวันเกิด
ในที่สุด ด้วยภารกิจเรื่องเซินหง ทั้งสามปรมาจารย์ก็ได้มาอยู่กันพร้อมหน้า และในเมื่อพวกเขาไปร่วมงานเลี้ยง ฮ่องเต้เซินจุยจะไม่ทรงมาได้อย่างไร?
สำหรับโรงเรียนเป๋ยอู๋ที่ผู้อาวุโสเทียนเคยสอนอยู่นั้นจัดเป็นโรงเรียนที่ใหญ่ที่สุดในอาณาจักรเป๋ยอู๋ หวงหวี่และไป๋ซวินก็เคยเรียนที่นั่น
จากการพลิกดูหนังสือในหอสมุดพระราชวัง ภูมิประเทศของอาณาจักรโดยรอบก็ปรากฏแก่สายตาของจางเซวียน เพียงแค่เขานึกถึงเท่านั้น
อาณาจักรเป๋ยอู๋เป็นอาณาจักรขั้น 2 ที่อยู่ใกล้กับอาณาจักรเทียนเซวียน ปรมาจารย์ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นั้นคือหลิวหลิงและจวงเชียน
อาณาจักรสามารถแบ่งออกได้เป็นอาณาจักรขั้น 1, อาณาจักรขั้น 2 และสุดท้ายก็คืออาณาจักรไร้ขั้นอย่างอาณาจักรเทียนเซวียน
ยิ่งเป็นอาณาจักรขั้นสูงขึ้น ก็ยิ่งมีความเจริญรุ่งเรืองมากขึ้น ทรัพยากรมากมายจะถูกจัดสรรไปให้ และมาตรฐานของนักรบในอาณาจักรนั้นก็จะสูงกว่าด้วย
“ในเมื่อผู้อาวุโสเรียนไม่ได้สอนการยกระดับวรยุทธ แล้วเขาจะเป็นอาจารย์ได้อย่างไร?” จางเซวียนสงสัย
อาจารย์ทุกคนในโรงเรียนหงเทียนจะมีความเชี่ยวชาญในการยกระดับวรยุทธของนักเรียน ยกตัวอย่างอาจารย์หว่างเชา แม้เขาจะเป็นผู้เชี่ยวชาญเพลงหอก แต่ก็รับหน้าที่ชี้แนะวรยุทธให้กับลูกศิษย์ด้วย
หากไม่ได้สอนวรยุทธ จะเป็นอาจารย์ได้อย่างไร?
“โรงเรียนเป๋ยอู๋นั้นใหญ่กว่าโรงเรียนหงเทียนมาก และมีอาจารย์หลากหลายสาขาอยู่ที่นั่น วรยุทธเป็นเพียงวิชาหนึ่งที่เปิดสอน ที่นั่นมีอาจารย์มากมายที่มีความเชี่ยวชาญต่างกันไป เช่นการปรุงยา การวาดภาพ และอื่นๆ นักเรียนสามารถเลือกได้ว่าอยากฝึกฝนให้เชี่ยวชาญในอาชีพไหน หรืออยากจะใช้เป็นเพียงวิชาเสริม เพื่อเพิ่มความรู้และสร้างแรงบันดาลใจก็ได้ ปรมาจารย์หลิวกับคนอื่นๆนั้นเคยเรียนกับผู้อาวุโสเทียนเพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆในช่วงที่เตรียมตัวสอบเป็นปรมาจารย์ ดังนั้นจึงไม่อาจพูดได้ว่าเป็นลูกศิษย์ของเขา เขาเป็นแค่กึ่งอาจารย์ของทั้งสามคนเท่านั้น”
หวงหวี่อธิบายอย่างอดทน
หากอาจารย์ให้คำชี้แนะนักเรียนแค่เรื่องวรยุทธ แล้วความรู้เรื่องการปรุงยา การตีเหล็ก และอาชีพอื่นๆจะถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นได้อย่างไร และปรมาจารย์ก็ไม่สามารถทำทั้งหมดนั้นได้ด้วยตัวเอง!
หากเป็นเช่นนั้น ปรมาจารย์คงต้องเหนื่อยตาย
จึงชัดเจนว่ามีอาจารย์หลายคนที่มีความเชี่ยวชาญแตกต่างกันไปในแต่ละสาขา
ผู้อาวุโสเทียนก็เป็นอาจารย์ประเภทนั้น
“แล้วเขาสอนอะไร?” เมื่อเข้าใจต้นสายปลายเหตุแล้ว จางเซวียนก็พยักหน้า
นี่เหมือนกับโรงเรียนในชีวิตเก่าของเขา มีอาจารย์หลายคนซึ่งมีความเชี่ยวชาญต่างกันไป ทั้งคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ ภาษาอังกฤษและอื่นๆ เป็นไปไม่ได้ที่อาจารย์คนหนึ่งจะเก่งทุกด้านและสอนได้ทุกวิชา
“ผู้อาวุโสเทียนสอนเรื่องการชงชา เขาเป็นปรมาจารย์ด้านการชงชา” หวงหวี่ยิ้ม
“ปรมาจารย์ด้านการชงชา?”
มีความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับปรมาจารย์ด้านการชงชาอยู่ในหอสมุดพระราชวัง
มันเป็นอาชีพหนึ่งในเก้าสถานภาพระดับล่าง ซึ่งดูจริงใจไม่เสแสร้ง และมีผู้เล่าเรียนอยู่มากในบางอาณาจักร
การชงชาช่วยผ่อนคลายสภาวะจิตใจ ทำให้ผู้ชงเข้าถึงความสงบ ปรมาจารย์ด้านการชงชาที่เก่งกาจมากๆ ถึงกับสามารถชงชาที่มีฤทธิ์ช่วยสงบใจได้ ผู้ที่ดื่มเข้าไปจะรู้สึกถึงความสงบเยือกเย็น จัดเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อการฝึกวรยุทธ และผลของมันก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ายาเม็ดสงบใจเลย
ยิ่งไปกว่านั้น วิธีการชงชายังง่ายกว่าการปรุงยา การตีเหล็ก การวาดภาพ และอาชีพอื่นๆมาก แม้ว่าการเป็นปรมาจารย์ตัวจริงด้านการชงชานั้นจะเป็นกันยาก แต่ตัวทักษะนั้นสามารถเรียนรู้ได้ง่าย บรรดาลูกชายของตระกูลผู้ทรงเกียรติและขุนนางในอาณาจักรขั้นสูงกว่านี้นิยมเรียนกันมาก
“เอาล่ะ ผมจะไปกับคุณ”
เมื่อเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดแล้ว จางเซวียนก็ไม่ลังเลอีก ในเมื่องานฉลองวันเกิดกำลังใกล้จะเริ่ม เขาจึงตามหวงหวี่และไป๋ซวินเข้าไปในเกี้ยว
บ้านของผู้อาวุโสเทียนอยู่ในเขตปริมณฑล ไกลจากโรงเรียนหงเทียนพอสมควร เกี้ยวใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมงกว่าจะถึงที่หมาย มันหยุดลงตรงหน้าสวนโอ่อ่าอลังการ
เมื่อทั้งสามก้าวลงจากเกี้ยว ก็ถึงกับมึนงงไปเพราะฝูงชนตรงหน้า
ผู้อาวุโสเทียนเคยเป็นอาจารย์ที่โรงเรียนเป๋ยอู๋ และได้ให้คำชี้แนะปรมาจารย์หลายคน เพียงแค่เหตุผลนี้ ก็ทำให้ผู้ทรงอำนาจมากมายพากันมาอวยพรให้เขาแล้ว
“ปรมาจารย์จาง ตามฉันมา…”
หวงหวี่อาศัยแสงไฟจากเกี้ยวนำทางจางเซวียนพร้อมด้วยสมุดแนะนำตัวไปจนถึงทางเข้า ทั้งคู่เข้าไปในบ้านพักได้อย่างง่ายดาย
เป็นบ้านที่สมฐานะของบุคคลซึ่งทั้งสามปรมาจารย์มาเยี่ยมเยียน มันใหญ่โตมากและมีทางเดินนับไม่ถ้วน ผู้ที่เข้ามาเป็นครั้งแรกย่อมหลงทางได้โดยไม่ยากเย็น
“ปรมาจารย์หลิวกับคนอื่นๆน่าจะยังมาไม่ถึง พวกเราไปรอเขาในห้องโถงด้านในดีกว่า”
ดูเหมือนว่าหวงหวี่จะเคยมาที่นี่แล้ว เธอลัดเลาะนำทางไปทั่วบ้านอย่างคุ้นเคย ไม่นานพวกเขาก็มาถึงห้องโถงใหญ่
ก่อนพวกเขาจะเดินเข้าไป ก็เห็นว่ามีคนจำนวนมากรวมตัวกันอยู่ในห้องโถงแล้ว
“เสี่ยวหวี่ ในที่สุดคุณก็มา…”
เมื่อเข้าไปในห้องโถง เสียงร้องเรียกอย่างชื่นมื่นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น ชายหนุ่มคนหนึ่งปรี่เข้ามาหาเธออย่างดีอกดีใจ
ชายหนุ่มคนนี้น่าจะมีอายุราว 23-24 ปี เขาแต่งขาวทั้งชุด ใบหน้าของเขามีชีวิตชีวาอย่างที่จางเซวียนไม่มีทางเทียบชั้นได้
ไป๋ซวินมีสีหน้าหมองคล้ำไปทันใดเมื่อเห็นชายคนนั้น เขารีบออกมายืนบังหวงหวี่
“ไป๋ซวิน คุณต้องการอะไร?” รอยย่นปรากฏขึ้นบนหน้าผากของชายผู้นั้น
“คุณมีคุณสมบัติพอจะเรียกเธอว่าเสี่ยวหวี่แล้วหรือ? ผมขอแนะนำให้อยู่ห่างเธอไว้ ไม่อย่างนั้นก็อย่าหาว่าผมหยาบคายแล้วกัน” ไป๋ซวินจ้องอีกฝ่ายอย่างแค้นเคือง
“หยาบคายหรือ? คุณพูดอย่างกับว่าเราไม่เคยสู้กันมาก่อน แล้วเคยเอาชนะผมได้หรือเปล่าล่ะ?”
ชายหนุ่มไม่สนใจกิริยาของไป๋ซวินและพูดต่อ “อีกอย่าง นี่มันบ้านผม ในฐานะเจ้าบ้าน ผมต้องต้อนรับแขกทุกคน คุณจะเข้ามาก้าวก่ายเรื่องนี้หรือ จะจุ้นจ้านเกินไปไหม ท่านอ๋องน้องไป๋ซวิน!”
“คุณ…” ไป๋ซวินถลึงตาอย่างคนพร้อมเปิดศึก
“พอได้แล้ว!” เมื่อเห็นว่าทั้งคู่ต้องฉะกันแน่ หวงหวี่ขมวดคิ้ว เธอจ้องทั้งคู่และเอ่ยขึ้น “พวกเรามาที่นี่เพื่ออวยพรผู้อาวุโสเทียน ถ้าคุณสองคนอยากจะสู้กันจริงๆล่ะก็ เอาไว้ทีหลังเถอะ!”
“วางใจน่ะเสี่ยวหวี่ ผมไม่ยุ่งกับคนป่าเถื่อนอย่างเขาหรอก ในหัวมีแต่เรื่องรบราฆ่าฟันทั้งนั้น!”
จากนั้นชายหนุ่มก็หัวเราะคิกคัก “เสี่ยวหวี่ ผมเพิ่งเรียนวิธีการชงชาแบบใหม่มา เราไปกันเถอะ ผมจะชงให้คุณกาหนึ่ง มันจะช่วยให้จิตใจของคุณสงบลง หากได้ดื่มสักสองสามครั้งล่ะก็ คุณจะเข้าถึงสภาวะของหัวใจแห่งธาราสงบเย็นได้อย่างรวดเร็ว…”
“ขอผ่านนะ ฉันต้องรอปรมาจารย์หลิวอยู่ที่นี่!”
หวงหวี่ไม่สนใจการต้อนรับอย่างกระตือรือร้นของอีกฝ่าย เธอปฏิเสธอย่างเรียบเฉย
“ก็ได้ ถ้าคุณไม่ชอบ ผมก็อยากทักทายปรมาจารย์หลิวเหมือนกัน ผมจะรออยู่ที่นี่พร้อมกับคุณ…”
ชายหนุ่มไม่เดือดร้อนกับการถูกปฏิเสธ เขายังคงหัวเราะอย่างไม่รู้สึกรู้สาต่อไป
ในเมื่ออีกฝ่ายตื๊อจะอยู่ที่นี่ หวงหวี่ก็ไม่อาจทำตัวเสียมารยาทของผู้เป็นแขกด้วยการไล่เจ้าบ้านไปได้
“หน้าด้าน!” ไป๋ซวินเดือดดาล แต่ก็ไม่เปิดศึกกับฝ่ายนั้นอีก
เพราะเมื่อดูทรงแล้ว เขาไม่อาจเทียบกับฝ่ายนั้นได้ โดยเฉพาะอารมณ์ร้อนของเขา เขาไม่ใช่คนชนิดที่จะยั้งตัวเองไว้หากมีโอกาส
ในตอนนั้นชายหนุ่มก็เห็นจางเซวียน เขามองอย่างสงสัย “เสี่ยวหวี่ นี่คือ…”
“อ้อ ขอฉันแนะนำคุณสองคนนะ!” หวงหวี่มองแล้วพูดขึ้น “อาจารย์จาง นี่คือเทียนหลง หลานชายคนเดียวของผู้อาวุโสเทียน เทียนหลง นี่อาจารย์จางเซวียนจากโรงเรียนหงเทียน”
“จางเซวียนหรือ? ชื่อคุ้นหูทีเดียว ผมน่าจะเคยได้ยินจากที่ไหนสักแห่ง…”
เทียนหลงขมวดคิ้วขณะนึกถึงชื่อนั้น เขาพลันตาโตแล้วอุทานออกมา “โรงเรียนหงเทียน! คุณคือผู้ที่กำลังจะประชันกับอาจารย์ลู่ฉวินในการทดสอบประเมินอาจารย์, จางเซวียนใช่ไหม?”
ข่าวการทดสอบประเมินอาจารย์นั้นแพร่สะพัดไปราวไฟป่า น้อยคนที่จะไม่รู้เรื่องนี้
“ลู่ฉวินเป็นอาจารย์คนดังที่น่าทึ่งที่สุดของโรงเรียนหงเทียน คุณกล้าประชันกับเขาในการทดสอบประเมินอาจารย์ ช่างอาจหาญนัก ผมประทับใจ!”
ทั้งที่เขาพูดอย่างนั้น แต่กลับไม่มีทีท่ายำเกรงแม้แต่น้อย มีแต่การดูถูก
ด้วยการเป็นบุตรชายของปรมาจารย์ลู่เฉิน และเป็นอาจารย์ดาวเด่นคนดังในเมืองเทียนเซวียน ลู่ฉวินมีชื่อเสียงโด่งดังมาก เทียบไม่ได้เลยกับคนกระจอกธรรมดาแบบจางเซวียน ทุกคนเชื่อว่าเขาจะต้องแพ้ตั้งแต่อยู่ในมุ้ง
เห็นอีกฝ่ายมีทีท่าแบบนั้น จางเซวียนได้แต่ส่ายหน้า
ก็แค่ไอ้กระจอกโอหังอีกคนหนึ่ง
“เทียนหลง คุณพูดแบบนั้นหมายความว่าอย่างไร?” ไป๋ซวินอดรนทนไม่ได้
“ไม่ได้หมายความว่าอะไรเลย ก็แค่…คนเราน่ะจะมีค่าก็ต่อเมื่อรู้ที่ทางของตัวเอง ถ้าประเมินตัวเองสูงไปก็มีแต่จะทำให้ชีวิตยุ่งยาก” เทียนหลงส่ายหน้า
“พูดออกมานะ ใครกันที่ไม่รู้ที่ทางของตัวเอง ปรมาจารย์จางน่ะมีแต่จะถ่อมตัว และไม่เคยโอ้อวดความเก่งกาจของเขา…” ไป๋ซวินตวาดอย่างขุ่นเคือง
แม้เขาจะเคยได้ยินชื่อลู่ฉวิน แต่ก็ไม่ได้คุ้นเคยกัน ในทางตรงกันข้าม เขายำเกรงความสามารถของจางเซวียน เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดแบบนั้น ไป๋ซวินจึงโมโหเดือด
“ปรมาจารย์รึ? คุณเรียกใครว่าปรมาจารย์กัน? คิดว่าใครก็ใช้คำนำหน้าว่าปรมาจารย์ได้อย่างนั้นหรือ?”
เทียนหลงเยาะหยัน เขาสะบัดมือและจ้องไป๋ซวินอย่างดูถูก “นั่นน่ะเป็นคำนำหน้าสำหรับคนที่เข้าถึงระดับของความเชี่ยวชาญอย่างน่าอัศจรรย์ในอาชีพของตัวเอง อย่างปู่ของผมซึ่งเข้าถึงจุดสูงสุดของการชงชา ก็มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะได้รับการขนานนามว่าปรมาจารย์ด้านการชงชา สำหรับอาจารย์โรงเรียนหงเทียนที่อายุเพียงยี่สิบปี แค่เรียกว่าอาจารย์ก็หรูแล้ว ยังจะกล้าเรียกตัวเองว่าปรมาจารย์อีกหรือ? ปัญญาอ่อน…”
เทียนหลงเย้ยหยันอย่างเลือดเย็น เขากำลังจะพูดต่อ ก็พลันเห็นว่ามีผู้อาวุโสกำลังเดินมา จึงหยุดพูดทันที เขาประสานมือคารวะและเอ่ยต้อนรับ “เทียนหลงคารวะปรมาจารย์หยวนหยู่!”
เขาคือหยวนหยู่ นายแพทย์มือหนึ่งของอาณาจักรเทียนเซวียน
ปรมาจารย์หยวนหยู่พยักหน้าอย่างเฉยเมยต่อการต้อนรับของอีกฝ่าย เขากำลังจะเข้าไปข้างใน
แต่พลันที่ได้เห็นจางเซวียน เขาก็ตาโตและตรงเข้ามาหาอย่างกระตือรือร้น “ปรมาจารย์จาง คุณก็อยู่ที่นี่หรือ…นานแล้วนะตั้งแต่เราพบกันครั้งสุดท้าย!”