ตอนที่ 185 ผมจะเรียนสักหน่อย
จางเซวียนไม่คิดเลยว่าหลังจากที่ปลอมตัวเป็นปรมาจารย์มานาน จนทุกคนพากันเชื่อว่าเขาเป็นตัวจริงแล้ว กลับจะมาตกม้าตายเพราะการขาดความรู้พื้นๆ
ถ้าเขารู้ว่าไม่มีผู้เชี่ยวชาญด้านยาพิษอยู่ในอาณาจักรเทียนเซวียนล่ะก็ จะไม่มีวันพูดเช่นนั้นเด็ดขาด!
แม้จะมีหนังสือเกี่ยวกับยาพิษอยู่ในหอสมุดพระราชวัง รวมทั้งหนังสือเกี่ยวกับการใช้ยาพิษขั้นพื้นฐานเช่นเดียวกับที่มีอยู่ในหมวดความรู้ขั้นกลางของหอสมุดสมาคมนักปรุงยา แต่หนังสือเหล่านั้นก็ไม่ได้บรรจุเอาความรู้ขั้นสูงสำหรับผู้เชี่ยวชาญด้านยาพิษไว้ ดังนั้นจางเซวียนจึงไม่มีความรู้ในเรื่องดังกล่าว
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดหลิวหลิงกับคนอื่นๆจึงเริ่มระแวง ก็ในเมื่อเขาไม่รู้แม้แต่เรื่องพื้นฐานที่สุดที่คนธรรมดาสามัญก็รู้กัน
แม้เขาจะท้อแท้จนอยากล้มเลิก แต่ก็รู้ว่าลูกเต๋าได้ถูกทอยออกไปแล้ว สายเกินกว่าจะมาเสียใจตอนนี้ ถ้าเขาพูดออกมาว่าไม่อาจรักษาผู้อาวุโสได้ ทุกคนย่อมคิดว่าเขาเป็นจอมหลอกลวง ต่อให้ฮ่องเต้เซินจุยยังไม่ทันจะได้ทำอะไร ทั้งสามปรมาจารย์ก็คงสับเขาเละเป็นโจ๊กเสียก่อนแน่
ถึงกระนั้น จางเซวียนก็ยังไม่ตระหนก เขาเงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ แววตาเหม่อมองออกไปแสนไกล ดูเหมือนว่าเขากำลังรำลึกถึงอดีตที่มีความทรงจำและอารมณ์ความรู้สึกซึ่งแตกต่างไปจากตอนนี้อย่างมากมาย ทั้งหวานและขม ถูกรำลึกขึ้นมา “ผมหลงลืมเรื่องนั้นไป เผลอนึกว่าตัวเองอยู่ในที่ที่เคยอยู่เมื่อสองสามปีก่อน…”
หากเป็นคนนอก จะต้องคิดว่าเขาลืมไปว่าตัวเองอยู่ในอาณาจักรเทียนเซวียน และพูดผิดจริงๆ
“….”
เมื่อเห็นท่าทีนั่น หลิวหลิงกับคนอื่นๆก็มีสีหน้าเป็นคำถามอีกครั้งหนึ่ง
ในเมื่อมีผู้เชี่ยวชาญด้านยาพิษอยู่ในที่ที่เขาจากมา ก็แปลว่าอาณาจักรที่เขาเคยอาศัยอยู่นั้นจะต้องเป็นอาณาจักรขั้น 1 เป็นอย่างน้อย พวกเขาก็เคยอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับอาณาจักรขั้น 1 เช่นกัน แต่ไม่เคยได้ยินชื่อ ‘หยางชวน’…
“พวกคุณรู้วิธีผสมยานี้หรือไม่? ถ้ารู้ จะดีมากหากคุณลงมือผสมตอนนี้ ผมอยากได้มันมาช่วยชีวิตผู้อาวุโสให้เร็วที่สุด”
เมื่อเห็นว่าเบี่ยงเบนความสนใจของคนเหล่านั้นได้แล้ว จางเซวียนก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
เมื่อมองเซินหงที่เท้าข้างหนึ่งอยู่ในหลุมศพแล้ว ก็อัดอั้นตันใจนัก จางเซวียนทำได้แค่หาทางฟื้นฟูร่างกายของอีกฝ่ายชั่วขณะ เพื่อให้เขาสำแดงวรยุทธได้ แต่หากทุกสิ่งถูกยื้อให้เนิ่นช้าไปอีก เขาคงต้องตายเสียก่อนที่จะค้นพบวิธีรักษา
“ผสมเลยรึ?”
หลิวหลิงส่ายหน้า “ดูเหมือนปรมาจารย์หยางจะไม่รู้เรื่องผู้เชี่ยวชาญด้านยาพิษเอาจริงๆ ถ้าจะพูดตามตรง สูตรของยานี้ง่ายมาก มันทำจากสารพิษเพียงสิบชนิดซึ่งผมจำได้ขึ้นใจ แต่การจะผสมสารพิษทั้งสิบชนิดนั้นให้ลงตัว โดยปราศจากผลข้างเคียงและสามารถเพิ่มพลังชีวิตให้กับผู้กินได้ ผู้นั้นจะต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านยาพิษที่มีทักษะชั้นยอด เพราะฉะนั้น ถึงผมจะรู้สูตร แต่ก็ก็ไร้ประโยชน์!”
การผสมยาพิษก็เหมือนกับนักปรุงยาทำการปรุงยา หากขาดทักษะและปริมาณสมุนไพรที่ถูกต้อง ความผิดพลาดเล็กน้อยอาจกลายเป็นเรื่องใหญ่
นี่คือเหตุผลที่แม้ผู้เชี่ยวชาญด้านยาพิษจะมีชื่อเสียงไม่สวยงามนัก แต่ก็ยังคงเป็นที่ยำเกรงอย่างมาก และอันที่จริง ก็ยังมีผู้ทรงอำนาจมากมายที่จ้างคนเหล่านั้นเป็นการเฉพาะ เพื่อให้ทำเรื่องที่พวกเขาไม่สะดวกใจจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยโดยตรง
“คุณผสมมันไม่ได้แม้ว่าจะรู้สูตรอย่างนั้นหรือ?” จางเซวียนจ้องหน้าเขา “งั้นเอาอย่างนี้ คุณเขียนสูตรให้ผมก่อน เราอาจนำส่วนผสมเหล่านี้ไปใช้ได้”
“ในเมื่อปรมาจารย์หยางยืนยันเช่นนั้น ผมก็จะทำตาม” หลิวหลิงไม่พูดอะไรอีก เมื่อมีคนนำกระดาษกับพู่กันมาให้ เขาก็ขียนส่วนผสมลงไปโดยเร็ว
จางเซวียนชำเลืองมองสูตรนั้น หญ้าหนามเดียว ดอกไม้มรณะ พิษที่สกัดจากงูไผ่ขาว และเลือดคางคกดำ
มีส่วนผสมอยู่สิบรายการ แต่ละรายการล้วนมีพิษร้ายแรง เพียงชนิดเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้นักรบขั้นทงฉวนตายได้ทันที แต่เมื่อทั้งหมดถูกผสมเข้าด้วยกันในอัตราส่วนเฉพาะ ก็จะกลายเป็นยาบำรุงชั้นยอด วิถีทางของผู้เชี่ยวชาญด้านยาพิษช่างน่าทึ่งยิ่งนัก
แม้ในวังจะมีส่วนผสมไม่ครบทั้งหมด แต่ก็หาไม่ยาก ไม่ช้า ทุกอย่างที่จางเซวียนต้องการก็มาอยู่ตรงหน้า แต่ละอย่างล้วนมีสีทะมึนทึมและดูน่ากลัว
“ได้ส่วนผสมเหล่านี้มาแล้วจะมีประโยชน์อะไร หากไม่มีผู้เชี่ยวชาญด้านยาพิษมาทำการผสม ทุกอย่างก็ล้วนเป็นแค่สารพิษที่ใช้ช่วยชีวิตไม่ได้…” เจิงเฟยออกความเห็นอย่างสงสัย
การจัดหาส่วนผสมเหล่านี้ทำให้พวกเขาเสียเวลาไปอีกเล็กน้อย เซินหงในเวลานี้ดูใกล้หมดสภาพเต็มที ปรมาจารย์หยางถูกเชิญมาเพื่อหาทางช่วยเซินหงให้ฝ่าด่านวรยุทธไปให้ได้เพื่อเป็นการต่อลมหายใจให้เขา แล้วเหตุใดจึงมัววุ่นวายอยู่กับเรื่องพวกนี้? มันไม่เป็นการเสียเวลาหรือ?
“ตอนนี้สภาพของเซินหงร่อแร่เต็มที เราควรระดมสมองกันเพื่อหาทางแก้ไข แม้การฟื้นฟูพลังชีวิตของเขาอาจช่วยได้ แต่ตอนนี้เราก็ไม่มีผู้ใดที่สามารถผสมยานั้น!” แม้จวงเชียนก็ทนดูต่อไปไม่ไหว
เขาเป็นหนี้บุญคุณปรมาจารย์หยาง และไม่ควรจะมีความสงสัยใดๆในตัวของอีกฝ่าย แต่จากมุมมองของเขา สิ่งที่อีกฝ่ายทำอยู่นั้นช่างไร้ประโยชน์ เรื่องด่วนที่สุดตอนนี้คือการช่วยเซินหงฝ่าด่านวรยุทธให้ได้ ไม่ใช่มัวเสียเวลากับเรื่องอื่น
“คุณก็พูดเองว่ายานี้มีประโยชน์ ดังนั้นเราจึงต้องผสมมัน อย่างน้อยเราก็รู้แล้วว่าต้องใช้ส่วนผสมอะไรบ้าง จะมีผู้เชี่ยวชาญด้านยาพิษอยู่ที่นี่หรือไม่ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ต่อให้ไม่มี เราก็จะต้องช่วยชีวิตเขาให้ได้!” จางเซวียนทะลุกลางปล้องขึ้นมาพร้อมกับยิ้ม
“แต่เราไม่เข้าใจธรรมชาติของสารพิษพวกนี้…” จวงเชียนตื่นตระหนก “ถ้าเกิดความผิดพลาดขึ้น ส่วนผสมนี้จะกลายเป็นยาพิษที่ทำให้ตายได้ในทันที หากเป็นเช่นนั้น เราก็จะไม่มีโอกาสแก้ไขอีก…”
“เอาล่ะ ถ้าเราไม่รู้ เราก็ต้องเรียน ถ้าเราผสมไม่เป็น เราก็ต้องลอง ไม่เห็นต้องตื่นตระหนกกันขนาดนั้นเลย!” จางเซวียนโบกมืออย่างไม่ยี่หระ
“เรียน?”
“ลอง?”
ฮ่องเต้เซินจุย หลิวหลิง และคนอื่นๆแทบลมจับอย่างพร้อมเพรียง
พี่ชาย นี่ไม่รู้เลยหรือว่าผู้เชี่ยวชาญด้านยาพิษเป็นใคร! คิดได้อย่างไรว่าจะเรียนเรื่องยาพิษ?
จะปล้นกันนาทีสุดท้ายอย่างนี้หรือ มันต้องมีทางออกที่ดีกว่านี้!
ทุกอาชีพต้องการคำชี้แนะจากครูบาอาจารย์ จะประสบความสำเร็จในศาสตร์นั้นได้ก็ต้องผ่านการทุ่มเทศึกษาร่ำเรียนมาหลายปี แต่คุณพูดว่าจะเรียนตอนนี้? เรียนบ้าอะไร!
อย่ามาทำตลกแถวนี้!
ถึงผู้เชี่ยวชาญด้านยาพิษจะอยู่ในเก้าสถานภาพระดับล่าง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นกันง่ายๆ แม้จะต้องเสื่อมเสียเกียรติยศไปและมีชื่อเสียงที่ไม่สวยงามนัก แต่
อันที่จริงแล้ว ความยากของการก้าวขึ้นเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านยาพิษนั้นใกล้เคียงกับการเป็นนักปรุงยาเลยทีเดียว
อีกอย่าง ผู้นั้นจะต้องมีความรู้อันลึกซึ้งในเรื่องคุณสมบัติของยาพิษ มิเช่นนั้น การผสมยาอาจกลายเป็นการฆ่าตัวตาย ดังนั้น ผู้เชี่ยวชาญด้านยาพิษทุกคนจึงต้องผ่านการฝึกฝนหลายต่อหลายปีกว่าจะเป็นที่ยอมรับ…แต่คุณพูดว่าจะเรียนตอนนี้…
กว่าจะเรียนรู้เรื่อง เนื้อหนังของเซินหงคงเหือดแห้งไปเสียก่อนแล้ว…จะเหลือใครให้คุณช่วยชีวิตกันเล่า!
ทุกคนต่างหัวหมุน ในขณะที่เซินหงซึ่งนอนอยู่บนเตียงก็น้ำตาไหลพราก
อะไรกันนี่ ฉันไปทำร้ายแกตั้งแต่เมื่อไร?
ฉันแค่อยากมีชีวิตอยู่อีกสักสองสามปีเพื่อปกป้องอาณาจักรเทียนเซวียน…ตอนแรกก็อยากทำให้ฉันสลบ มาตอนนี้ก็อยากวางยาพิษให้ฉัน ถ้าฉันตายไปเสียเลยตอนนี้ คงสาแก่ใจแกแล้วใช่ไหม?
“ปรมาจารย์หยาง การผสมยาพิษน่ะไม่ใช่การเล่นขายของนะ คุณไม่ยุ่งกับมันจะดีกว่า…”
หลิวหลิงอดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาพยายามโน้มน้าวใจปรมาจารย์หยาง
ถ้าคุณหาวิธีแก้ปัญหาของเซินหงไม่ได้ อย่างมากก็แค่ยอมรับว่าตัวเองหมดปัญญา จะพยายามเล่นกับยาระงับประสาทและยาพิษไปเพื่ออะไรกัน?
คิดว่ายาพิษมันผสมกันง่ายๆอย่างนั้นหรือ?
ถ้ามันง่ายดายอย่างนั้น ผู้เชี่ยวชาญด้านยาพิษคงไม่เป็นที่ยำเกรงขนาดนี้
“ผมรู้ว่ามันไม่ใช่การเล่นขายของ ขอเวลาสักครู่เถอะ ผมขอเวลาเรียนแป๊บ…” จางเซวียนพยักหน้าอย่างเอาจริง
“เรียน…แป๊บ?”
ไปเรียนบ้านแกโน่น!
ทั้งสามปรมาจารย์แทบเป็นลม
“ได้ เราจะดูว่าคุณจะเรียนมันด้วยวิธีใด…” หลิวหลิงสะบัดเสื้อคลุมอย่างขุ่นเคือง
ตอนแรกเขาคิดว่าปรมาจารย์หยางเป็นผู้รอบรู้ แม้วิธีการของเขาออกจะแหกคอกไปบ้าง แต่ความสามารถของเขาในการมองทะลุปัญหานั้นช่างน่าทึ่ง แต่มาตอนนี้ ดูเหมือนว่าเขาเป็นแค่คนที่ไร้หลักการแบบสุดๆเท่านั้น ดูสิว่าพยายามจะเรียนการผสมยาพิษเอาตอนนี้…
ประสาทแล้ว!
ถ้าเหลือเชื่อขนาดนั้น ทำไมไม่ปีนขึ้นสวรรค์ไปเสียเลยล่ะ?
พวกเราเจอปรมาจารย์มาก็มาก แม้กระทั่งระดับ 3 ดาวก็เคยพบ แต่ไม่เคยได้ยินว่ามีใครที่พยายามจะคว้าเอาศาสตร์ใดมาร่ำเรียนในระยะเวลาสั้นแบบนี้
“เฮ่อ!”
เช่นเดียวกับปรมาจารย์หลิว แม้เจิงเฟยจะไม่พูดอะไร แต่เขาก็หน้าดำคร่ำเครียด เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจกับการกระทำของจางเซวียน
ผู้เชี่ยวชาญด้านยาพิษเป็นใครกัน?
ในบรรดาเก้าสถานภาพ อาชีพนี้มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุด หากใครก็เป็นได้ง่ายๆ มันก็คงจะไร้ค่า
“ฮะ? เขาพูดว่าจะเรียนเรื่องยาพิษใช่ไหม? นี่เขาพยายามจะทำอะไร?”
ทั้งสามปรมาจารย์ขุ่นเคืองใจนัก อีกด้านหนึ่ง ฮ่องเต้เซินจุยก็ชำเลืองมองจางเซวียนอย่างสับสนและจนปัญญา
ปรมาจารย์หยางพูดว่าจะเรียนเรื่องยาพิษหรือ?
แล้วทำไมถึงมัวยืนบื้อหลับตาอยู่เล่า?
พี่ชาย ถ้าอยากเรียนเรื่องยาพิษจริงๆ ก็ควรจะหาหนังสือมาอ่าน หรืออย่างน้อยก็ควรจะเอ่ยปากถาม คุณหวังจะได้อะไรขึ้นมาจากการยืนหลับตาเช่นนี้? อย่างน้อยก็ควรจะให้ความเคารพต่อผู้เชี่ยวชาญด้านยาพิษสักนิด
คุณเป็นใครกันแน่?
“ปรมาจารย์หลิว ดู…” จวงเชียนเห็นความผิดปกติเช่นกัน เขาพึมพำ
“หลับอยู่รึ?”
“นี่…”
หลิวหลิงกับเจิงเฟยมองหน้ากันและกะพริบตาปริบๆ อยากจะทึ้งผมตัวเองเต็มที
ปรมาจารย์หยาง…
บอกพวกเราหน่อยได้ไหมว่าคุณกำลังทำอะไร?
คุณเพิ่งพูดว่าจะเรียนวิธีผสมยาพิษไม่ใช่หรือ?
ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ไม่เหลือบแลบรรดาสารพิษบนโต๊ะเลยด้วยซ้ำ แถมยังหลับตาอีก บ้าแล้ว นี่คุณทำอะไรอยู่?
เจอคนประหลาดมาก็มาก แต่ไม่เคยพบใครที่ประหลาดขนาดนี้
ปรมาจารย์ทั้งสามเดือดดาลจนหัวสมองแทบระเบิด