Skip to content

Library Of Heaven’s Path 186

ตอนที่ 186 การผสมยาพิษ

แน่นอนว่าจางเซวียนไม่ได้กำลังแสดงละคร

เขากำลังพลิกดูหนังสือเกี่ยวกับยาพิษจำนวนหลายพันเล่มจากหอสมุดพระราชวัง แม้เนื้อหาในหนังสือเหล่านั้นจะเป็นเพียงขั้นพื้นฐาน ไม่เพียงพอสำหรับการที่ใครสักคนจะก้าวขึ้นเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านยาพิษได้แม้ว่าจะอ่านครบทุกเล่ม แต่ก็เพียงพอสำหรับเขาในเวลานี้

เป้าหมายในเวลานี้ของจางเซวียนไม่ใช่การเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านยาพิษ เขาแค่อยากรู้อัตราส่วนที่ลงตัวของส่วนผสมทั้งสิบชนิด เพื่อให้ผสมออกมาได้เป็นยาที่ปลอดภัยต่อการฟื้นฟูพลังชีวิตของเซินหง

ไม่จำเป็นต้องมีทักษะแบบผู้เชี่ยวชาญด้านยาพิษ ก็สามารถผสมยาได้

เช่นเดียวกับการก้าวขึ้นเป็นนักปรุงยาอย่างเป็นทางการ แม้จะยากเย็น แต่เพียงแค่เป็นมือใหม่ก็สามารถผสมตัวยาได้

ฟึ่บ!

จางเซวียนพลิกดูหน้าหนังสือเกี่ยวกับยาพิษทั้งหมดที่เขาได้อ่านในหอสมุดพระราชวังจนครบ

เมื่อรวบรวมสมาธิ เนื้อหาสำคัญของหนังสือเหล่านั้นก็ประมวลขึ้นเป็นหนังสือฉบับสมบูรณ์อยู่ตรงหน้าเขา

จางเซวียนค่อยๆเปิดอ่าน

“ยาพิษนั้นเป็นเครื่องมือสังหาร แต่ก็ช่วยชีวิตได้เช่นกัน หากผู้ใดเชี่ยวชาญในศาสตร์แห่งยาพิษ ก็อาจนำคนกลับมาจากความตายได้…”

หนังสืออัดแน่นไปด้วยถ้อยคำ

จางเซวียนรู้ว่าเนื้อหาที่หอสมุดเทียบฟ้าประมวลขึ้นนั้นถูกต้อง เขาตั้งต้นอ่านโดยไม่ลังเล

มองปราดเดียวก็รู้สึกประทับใจยิ่งนัก

มันเป็นอย่างที่หลิวหลิงกับคนอื่นๆพูด อาชีพนี้ยิ่งใหญ่และล้ำลึก ไม่ใช่สิ่งที่ใครจะทำความเข้าใจได้ในเวลาไม่กี่วัน

แม้หอสมุดเทียบฟ้าจะประมวลเอาเนื้อหาที่ถูกต้องไว้แล้ว แต่จางเซวียนก็ต้องเข้าถึงแก่นของทุกหลักการให้ได้ เพื่อจะได้เรียนรู้ให้เร็วที่สุด

เมื่อพลิกหน้าหนังสือในสมองได้หลายเล่ม ความเข้าใจตามแบบของผู้เชี่ยวชาญด้านยาพิษ รวมถึงความรู้เรื่องธรรมชาติของยาพิษ ก็ค่อยๆเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม

เขามาถึงหน้าสุดท้ายโดยไม่รู้ตัว

จางเซวียนสั่นสะท้านไปทั้งร่าง เขารวบรวมความรู้ทั้งหมดที่ได้มาและสร้างขึ้นเป็นความทรงจำของตัวเอง แม้เขาจะยังไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านยาพิษ แต่ก็คิดว่าความเข้าใจในเรื่องสารพิษของตัวเองล้ำลึกกว่าเดิมมาก

“ฮึ? นี่อะไร?”

เมื่อมีความเข้าใจเรื่องยาพิษอย่างลึกซึ้งแล้ว จางเซวียนก็รู้สึกในทันใดว่ามีรังสีดำทะมึนซ่อนอยู่ในส่วนลึกของร่างกายเขา

“เรารับมันมาตั้งแต่เมื่อไร?”

ที่ผ่านมา ด้วยความไม่ใส่ใจของเขา แม้จะรู้สึกแต่ก็ไม่ได้นึกถึงมากเท่าไรนัก ตอนนี้เมื่อเขามีความรู้ขั้นพื้นฐานแล้ว ก็รู้ได้ว่ามันคือยาพิษ

หรือว่า…เขารับมันมาโดยไม่รู้ตัว?

ว่าแต่…ถ้ามันตกค้างในร่างกายเขามานานแล้ว เหตุใดเขาจึงยังสบายดีอยู่เล่า?

“ผู้อาวุโส! ผู้อาวุโส…”

จางเซวียนอยากจะดูให้ลึกกว่านี้ว่ามันคืออะไร และส่งผลกระทบอย่างไรต่อเขา แต่เสียงโวยวายอย่างตื่นตระหนกของฮ่องเต้เซินจุยก็ดังเข้าหู

รู้ว่านี่ไม่ใช่เวลาเหมาะสมที่จะทำเช่นนั้น จางเซวียนจึงลืมตาขึ้นดู

เขาเห็นผู้อาวุโสเซินหงกำลังกระเสือกกระสนหายใจทั้งๆที่ยังหลับตา ดูเหมือนว่าจะเสียชีวิตได้ทุกขณะ เปรียบเทียบกับตะเกียงน้ำมัน หากเปลวไฟอ่อนแรงอยู่ก่อน แล้วลมยังพัดโหมเข้ามาอีก ไฟนั้นก็พร้อมจะมอดดับได้ทุกเวลา เช่นเดียวกันกับเซินหงซึ่งพยายามอย่างสุดตัวที่จะยื้อชีวิตไว้ แต่ก็ดูเหมือนว่าจะมีชีวิตรอดไปได้อีกไม่เกินสองสามนาที

“เฮ่อ… ความตายเป็นที่สุดของทุกคน ฮ่องเต้เซินจุย ได้โปรดอย่าเสียใจไปเลย!”

“ได้โปรดยกโทษให้กับความไร้ประโยชน์ของพวกเราด้วย…” หลิวหลิงกับคนอื่นๆ รู้ว่าวาระสุดท้ายของเซินหงมาถึงแล้ว ทุกคนต่างส่ายหน้า

สภาพของเขาตอนนี้ก็แทบไม่ต่างอะไรกับศพอยู่แล้ว ในฐานะปรมาจารย์ระดับ 1 ดาว พวกเขาปราศจากหนทาง ต่อให้ตอนนี้คิดการใดออก ก็สายเกินไปเสียแล้วที่จะช่วย

แววตาของฮ่องเต้เซินจุยฉายความเดือดดาล

ทรงจ่ายเงินจำนวนมหาศาลเชิญสามปรมาจารย์มา เพียงเพื่อจะได้รับคำบอกว่าพวกเขาช่วยอะไรไม่ได้ ตอนที่ทรงคิดว่าหมดหวังอย่างสิ้นเชิงแล้ว ปรมาจารย์หยางก็ปรากฏตัว พระองค์เคยมองว่าเขาเป็นฟางเส้นสุดท้ายแห่งความหวังที่มี แต่ในที่สุด…ก็กลับกลายเป็นว่าเขาไว้ใจไม่ได้มากกว่าทั้งสามปรมาจารย์เสียอีก

การช่วยชีวิตผู้อาวุโสไม่ได้ก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ยามหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ ยังมีแก่ใจเล่นกับยาระงับประสาทและยาพิษ…

เราเชิญท่านให้มาช่วยเขา ไม่ได้ให้มาใช้เขาเป็นหนูทดลอง…

ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น ฮ่องเต้ทรงหันมามองชายที่ยืนนิ่ง เพื่อดูว่าเขาจะพูดอะไรบ้าง ก็เห็นเพียงแค่เขาลืมตา

“ปรมาจารย์หยาง ผู้อาวุโสของเราแทบจะอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว หากท่านไม่ช่วยชีวิตเขาตอนนี้ มันจะต้องสายเกินไป…” ฮ่องเต้เซินจุยพยายามกัดฟันระงับความโกรธ

“ผมขอผสมยาก่อน!” จางเซวียนพูด

มองปราดเดียว แม้จางเซวียนจะรู้ว่าหากเขาไม่รีบลงมือทำอะไรตอนนี้ เซินหงจะต้องตายภายในสิบนาทีแน่ แต่สิ่งเดียวที่เขาทำได้ก็คือผสมยาและหวังว่ามันจะใช้การได้!

“ผสมยา…” ได้ยินเช่นนั้น ฮ่องเต้เซินจุยทรงระงับความโกรธไว้ไม่ได้อีกต่อไป

“ปรมาจารย์หยาง ชีวิตผู้อาวุโสของเรานั้นแขวนอยู่บนเส้นด้ายแล้ว! เราไม่ได้เชิญท่านมาทดลองผสมยาเลียนแบบผู้เชี่ยวชาญด้านยาพิษนะ…”

“ฮึ?” จางเซวียนหันไปมองฮ่องเต้ “ฝ่าบาทหมายความว่า…”

“ปรมาจารย์หยาง หากท่านมีหนทางอื่นใดได้โปรดทำเถิด ถ้าท่านรักษาผู้อาวุโสของเราได้ อาณาจักรเทียนเซวียนพร้อมจะตอบแทนทุกสิ่งให้กับท่าน!”

ฮ่องเต้เซินจุยกล่าว

“ก็ผมไม่ได้ทำอยู่หรือไง?” จางเซวียนเริ่มหงุดหงิดบ้างแล้ว คำราชาศัพท์ในหัวหายไปหมด “พอผสมยานี้สำเร็จแล้วผมป้อนมันให้ผู้อาวุโสของคุณ เมื่อเขาเรียกพลังชีวิตกลับคืนมาได้บางส่วนแล้วผมถึงจะหาทางแก้ไขปัญหาของเขาต่อไปได้”

ได้ฟังเช่นนั้น ฮ่องเต้เซินจุยแทบกระอักเลือด

คุณไม่ได้ยินหรือว่าผมพูดอะไร?

ความหมายก็ชัดเจนดีอยู่แล้ว ในเมื่อคุณไม่มีทักษะของผู้เชี่ยวชาญด้านยาพิษ คุณก็ไม่ควรพยายามผสมยานั้น ควรจะคิดหาวิธีช่วยชีวิตแบบอื่นมากกว่า…แต่สุดท้าย คำพูดของเราก็ไม่ทะลุเข้าหู!

สิ่งที่ฮ่องเต้ไม่รู้ก็คือ ในเวลานั้นจางเซวียนไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้

เซินหงพร้อมจะตายได้ทุกขณะหากจางเซวียนไม่ลงมือทำอะไร หรือต่อให้เขาลงมือ เซินหงก็ต้องตายอยู่ดี ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือการผสมยา ทำให้เขาเรียกคืนพลังชีวิตมาได้บางส่วน เพื่อที่หอสมุดเทียบฟ้าจะได้ประมวลหนังสือออกมาได้ จางเซวียนไม่มีทางเลือกอื่นใดที่ดีกว่านี้

เห็นเขายังดื้อดึงที่จะผสมยา ทั้งสามปรมาจารย์ต่างเดือดดาล

“ฮ่องเต้เซินจุย ทรงอนุญาตให้ปรมาจารย์หยางผสมยาเถิด!” หลิวหลิงสะบัดเสื้อคลุมและข่มความขุ่นเคืองเอาไว้

ถ้าไม่ใช่เพราะหวั่นเกรงในพละกำลังการต่อสู้ของอีกฝ่าย เขาคงจัดการไปแล้ว

คุณไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผู้เชี่ยวชาญด้านยาพิษคือใคร แต่ยังดื้อดึงจะผสมยานั้น คิดว่าผู้เชี่ยวชาญด้านยาพิษเป็นตัวตลกหรือ?

โอหังนัก!

น่าสงสัยเสียจริงว่าคุณเป็นปรมาจารย์ได้อย่างไร

หรือว่า… แท้ที่จริงแล้วคุณไม่ใช่ปรมาจารย์! คุณแค่ดวงดีที่ช่วยจวงเชียนฝ่าด่านวรยุทธได้เท่านั้น

จางเซวียนรู้สึกได้ถึงความขุ่นเคืองในน้ำเสียงของอีกฝ่าย แต่ในช่วงเวลาเช่นนี้ เขาไม่อยากใส่ใจ

เซินหงกำลังจะตายและเขาก็ไม่มีเวลาจะเสียแล้ว จางเซวียนเดินไปมาระหว่างส่วนผสมที่เป็นพิษเหล่านั้น เขาเทของเหลวชนิดหนึ่งลงในขวดเปล่า

“โง่เง่า…”

แม้หลิวหลิงจะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านยาพิษ แต่เขาก็เคยเห็นคนเหล่านั้นผสมยาพิษมาก่อน จึงพอรู้ลำดับขั้นตอนและกระบวนการ

ส่วนผสมที่เป็นพิษเหล่านี้ หากพลาดพลั้งกินเข้าไป แม้เพียงหนึ่งในสิบหรือหนึ่งในร้อยส่วน ก็จะทำให้ถึงตายได้ทันที ทุกสิ่งล้วนน่าหวาดกลัว

นี่คือเหตุผลที่ต้องใช้เครื่องมือเฉพาะในการผสมยา เพื่อให้แน่ใจว่าได้ปริมาณและสัดส่วนที่ถูกต้อง

แต่นี่ ไม่มีเครื่องมือใดๆทั้งสิ้น คุณเทของเหลวจากขวดหนึ่งลงไปยังอีกขวดหนึ่งอย่างง่ายๆ…จะง่ายเกินไปไหม!

รู้ไหมว่าเทลงไปเท่าไร?

คุณรู้อัตราส่วนที่ถูกต้องของส่วนผสมแต่ละชนิดหรือไม่?

แม้ผิดพลาดเพียงหยดเดียวก็ทำให้ถึงตายได้ นี่คือเหตุที่ผู้เชี่ยวชาญด้านยาพิษใช้ความระมัดระวังอย่างมากในทุกครั้งที่พวกเขาผสมยา เพื่อมิให้เกิดความผิดพลาดได้เลยแม้แต่น้อย แต่นี่คุณเทยาพิษพวกนั้นลงไปอย่างสะเปะสะปะ…

บ้าแล้ว! ถ้าใครสักคนคิดจะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านยาพิษด้วยความคิดเช่นนี้ ก่อนจะประสบความสำเร็จได้ ก็คงจะวางยาตัวเองตายไปเสียก่อน

นั่นคิดว่าตัวเองเรียนมาแล้วหรือ?

แม้แต่นายช่างข้างถนนยังละเอียดรอบคอบกว่าคุณเสียอีก!

“เมื่อผู้เชี่ยวชาญด้านยาพิษผสมยา เขาจะปล่อยให้ส่วนผสมสองลำดับแรกทำปฏิกิริยากันเสียก่อนที่จะใส่ส่วนผสมลำดับที่สามลงไป เช่นเดียวกับกระบวนการปรุงยาของนักปรุงยา มันมีลำดับขั้นตอนและช่วงเวลาในการใส่ส่วนผสมแต่ละอย่าง ผิดพลาดแม้แต่น้อยก็ไม่ได้ แต่นี่ ใส่สารพิษลงไปง่ายๆแบบนั้น…”

เจิงเฟยออกความเห็นอย่างเกรี้ยวกราด

คุณดื้อดึงจะผสมยาพิษแทนที่จะช่วยชีวิตเซินหง ก็ได้ พวกเราจะทนดู แต่ในเมื่อมันมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนและลึกซึ้งระหว่างสารพิษแต่ละชนิด ผู้ผสมจะต้องประสานการเปลี่ยนแปลงของสารพิษแต่ละอย่างให้กลมกลืน และการจะทำเช่นนั้นได้ก็จะต้องมีลำดับขั้นตอนที่ชัดเจนและมีช่วงเวลาของมัน แต่นี่ คุณเทของเหลวใส่ขวดอย่างสะเปะสะปะราวกับรินไวน์…

หากทำเช่นนี้ ไม่มีทางจะผสมสิ่งใดให้ออกมาดีได้ จิบเพียงหยดเดียว เซินหงก็คงจะตายทันที ป่วยการจะพูดถึงการดื่มมัน

จางเซวียนไม่ใส่ใจความอลหม่านของสามปรมาจารย์ เขารวบรวมสมาธิอยู่กับการผสมยา การเคลื่อนไหวของเขาเป็นไปอย่างว่องไว

พวกคุณไม่เห็นหรือว่าเขากำลังจะตาย?

หากทำตามที่ปรมาจารย์พูด มานั่งใช้เครื่องมือชั่งตวงวัดและรอให้สารพิษทำปฏิกิริยาซึ่งกันและกัน ฝ่ายนั้นคงตายเสียก่อนที่เขาจะทำสำเร็จ

แต่แน่นอนว่าเขาไม่ได้ผสมสารพิษอย่างสะเปะสะปะอย่างที่อีกฝ่ายกล่าวหา หนังสือที่อยู่ในหัวของเขาคอยกำกับการเทของเหลวเหล่านั้นอย่างต่อเนื่อง ตราบใดที่ข้อบกพร่องมีน้อยลงไปเรื่อยๆ นั่นหมายความว่าเขาทำได้ถูกต้อง

ไม่ถึงสิบอึดใจ สารพิษทั้งสิบชนิดก็ถูกผสมเข้าด้วยกัน เมื่อแตะขวดหยก เนื้อหาในหนังสือก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง

“ยาที่ผสมขึ้นจากสารพิษสิบชนิด ผสมโดยจางเซวียน เมื่อกินเข้าไป ผู้นั้นจะได้พลังชีวิตกลับคืนมา และมีสุขภาพแข็งแรงได้ในชั่วระยะเวลาหนึ่งก้านธูป ข้อบกพร่อง: 12 ข้อ 1. ชายผู้นั้นมิได้รื้อฟื้นวรยุทธของเขา 2. ระยะเวลาในการฟื้นฟูร่างกายนั้นสั้นเกินไป…” ชื่อและผลกระทบของยาที่จางเซวียนเพิ่งผสมขึ้นถูกเขียนไว้บนหน้าปกหนังสือ

“เราทำสำเร็จแล้ว…” จางเซวียนลืมตา

แม้เขาจะใช้หอสมุดเทียบฟ้าในการตรวจสอบสภาวะของยาพิษอย่างต่อเนื่อง แต่หากปราศจากหนังสือหลายพันเล่มที่เขาได้ศึกษามาก่อนหน้านี้ ซึ่งให้ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับคุณสมบัติของยาพิษอันหลากหลาย ก็ไม่มีทางที่เขาจะจัดการกับข้อบกพร่องที่ปรากฏในหนังสือได้ หากเขาผสมสารพิษเหล่านั้นอย่างสะเปะสะปะแล้วล่ะก็ ต่อให้มีเวลาครึ่งเดือนก็ไม่อาจผสมยาให้สำเร็จได้

เฮ่อ!

เมื่อผสมยาได้สำเร็จ จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก “ผมทำสำเร็จแล้ว!”

เขาหยิบขวดหยกขึ้นมาและมองไปที่ฝูงชน

“คุณทำสำเร็จแล้ว?” ทุกคนเบ้ปาก… เออ แกอยากจะพูดอะไรก็พูดไปเหอะ เบื่อจะห้าม

จับแพะชนแกะมั่วชั่ว แล้วบอกว่าตัวเองทำสำเร็จ?

“เร็วเข้า ป้อนให้เขา!” จางเซวียนไม่สนใจสายตาประหลาดทุกคู่ที่จับจ้องมา เขารีบยื่นขวดยาให้ฮ่องเต้เซินจุย

“ป้อนเขารึ?”

ฮ่องเต้เซินจุยส่ายหน้า “ยังไม่อาจแน่ใจได้เลยว่ายานี้เป็นพิษหรือไม่…”

“ไม่มีเวลาแล้ว รีบป้อนเขาเถอะ ไม่อย่างนั้นเขาตายแน่!” รู้แล้วว่าอธิบายให้ตาย อีกฝ่ายก็ไม่เชื่อเขา จางเซวียนขมวดคิ้ว

“แต่…” ฮ่องเต้ยังลังเล

“ทำไม? ฝ่าบาทไม่ทรงเชื่อหรือว่ายานี้สามารถเรียกพลังชีวิตของเขากลับมาได้?”

แม้จางเซวียนจะไม่ได้ดูเหมือนโกรธ แต่มีความแข็งแกร่งอันลึกลับบางอย่างในคำพูดของเขาที่ทำให้ดูมีอำนาจ หลังจากปลอมตัวเป็นปรมาจารย์มาหลายวัน กิริยาและวาจาของเขาก็เริ่มจะแผ่รังสีของผู้ถือไพ่เหนือกว่าออกมา

“เรา…” ฮ่องเต้เซินจุยไม่รู้จะตอบคำถามอย่างไร

คือ… เราไม่ได้สงสัย แต่…ไม่เชื่อใจเลยต่างหาก!

ก็เห็นกับตาว่าท่านผสมสารพิษทั้งสิบอย่างสะเปะสะปะ แล้วมาบอกให้เราเชื่อ…ล้อเล่นแล้วมั้งเนี่ย!

อีกอย่าง เราจะป้อนยามั่วซั่วนี้ให้ผู้อาวุโสได้อย่างไร? หากเขาตายทันทีหลังจากเราป้อนยาเล่า?

“หากฝ่าบาทไม่ทรงเชื่อ ก็ลืมเสียเถิด กระหม่อมให้โอกาสฝ่าบาทแล้วและทางเลือกก็ขึ้นอยู่กับฝ่าบาทเท่านั้น!” เห็นอีกฝ่ายลังเลใจ จางเซวียนเลือกที่จะไม่พูดให้มากความ เขาวางยาที่ผสมแล้วไว้บนโต๊ะด้วยสีหน้าเฉยเมย “ถึงอย่างไรฝ่าบาทก็ควรพิจารณาให้ดี ผู้อาวุโสของท่านไม่น่าจะมีชีวิตรอดอยู่ได้เกินกว่าสามนาที ทางเลือกอยู่ที่ฝ่าบาทแล้ว…”

“นี่…” ฮ่องเต้เซินจุยกำหมัดแน่น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version