ตอนที่ 184 ผู้เชี่ยวชาญด้านยาพิษ
“ทำให้สลบโดยไม่ฆ่าเขาอย่างนั้นหรือ?”
ฮ่องเต้เซินจุย หลิวหลิง และเจิงเฟย จ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างมีเครื่องหมายคำถาม
คุณมาที่นี่เพื่อช่วยชีวิตเชื้อพระวงศ์อาวุโสมิใช่หรือ?
เหตุใดจึงอยากทำให้เขาสลบ?
คนทั่วไปก็ใช้การถ่ายทอดพลังปราณ การให้กินยา หรือการเปิดจุดชีพจรเพื่อช่วยชีวิตใช่หรือไม่?
การทำให้ใครสักคนสลบนี่เป็นการช่วยเหลือด้วยหรือ?
มุมปากของจวงเชียนกระตุก หลังของเขายังขัดยอกและมีความรู้สึกเหมือนท้องผูกท่วมไปทั้งร่าง แม้ว่าเขาจะกินยาไปแล้วหลายขนาน ใบหน้าก็ยังคงบวมอยู่ ทั้งร่างยังคงเจ็บปวดจากการถูกตี แม้อีกฝ่ายจะช่วยเขาฝ่าด่านวรยุทธและเขาก็ซาบซึ้งในบุญคุณอย่างมาก…แต่วิธีการของคุณออกจะแหกคอกไปหน่อยไหม?
มีกระบวนการอยู่ชุดหนึ่งที่ปรมาจารย์ทั่วไปจะใช้ในการช่วยผู้คนฝ่าด่านวรยุทธ แต่มันก็เป็นแค่ต้นแบบ เพราะชายผู้นี้ใช้วิธีปิดหน้าปิดตาเขาและตีจนน่วม จนกระทั่งตอนนี้เขาก็ยังไม่หายพรั่นพรึงกับเหตุการณ์ครั้งนั้น
แน่นอนว่าเขาเข้าใจดีว่าสถานการณ์ของตัวเองนั้นมีความพิเศษ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้อีกฝ่ายต้องใช้วิธีการสุดโต่งขนาดนั้น ว่าแต่…จำเป็นต้องทำให้เซินหงที่ใกล้จะตายอยู่แล้วสลบไปเพื่อช่วยชีวิตเขาด้วยหรือ?
จะมีวิธีการรักษาใดที่เหลือเชื่อไปยิ่งกว่านี้ได้อีกไหม…
“มีแป้งอยู่ชนิดหนึ่งที่ทำให้คนสลบได้ด้วยการสูดดมเพียงครั้งเดียว…” ฮ่องเต้เซินจุยพูดออกมาหลังจากลังเลชั่วครู่
ในพระราชวังมียาทุกชนิด ไม่ยากเลยที่จะหายาสักตัวที่สามารถทำให้คนสลบไปโดยไม่เป็นการฆ่าเขา
“ดี เอามาเลย!” จางเซวียนเบิ่งตาเมื่อได้ยินเช่นนั้น
ไม่ช้า ขันทีผู้หนึ่งก็นำขวดหยกใบหนึ่งมาให้
เมื่อเปิดขวดหยก ก็เห็นผงแป้งสีขาวบรรจุอยู่ภายใน
“เอาอันนี้แหละ” จางเซวียนพยักหน้าอย่างพอใจ เขาหยิบขวดหยกและเดินไปหาเซินหง
ท่ามกลางสายตางุนงงหลายคู่ ปรมาจารย์หยางพูดกับผู้ป่วยอย่างมั่นใจ “สูดเลย! เอาอีก หายใจเข้าไปเลย!”
“ฮะ!” ทุกคนแทบลมจับ
พวกเขากำลังสงสัยว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงต้องการยา แต่เมื่อได้ยินคำพูดของเขาก็แทบจะสำลักตาย
ในการช่วยชีวิตคน เราต้องให้ยาบำรุงไม่ใช่หรือ…แต่คุณกลับให้ยาระงับประสาท…
แน่ใจนะว่าไม่ได้มาเพื่อฆ่าเขา?!
ขณะที่ทุกคนแทบจะคลั่ง เชื้อพระวงศ์อาวุโสก็พยายามกระเสือกกระสนที่จะส่ายหน้า สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความหวาดผวา ถ้าไม่ใช่เพราะเขาขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวไม่ได้ล่ะก็ เขาคงจะเผ่นหนีไปแล้ว
ตอนที่เขายังแข็งแรงดี การสูดดมสิ่งนี้เข้าไปจะสร้างความตึงเครียดอย่างหนักให้กับร่างกาย มาตอนนี้ที่เขาใกล้จะตายอยู่แล้ว หากสูดเข้าไปเพียงครั้งเดียว คงต้องตายแน่
แกคิดว่าฉันยังตายเร็วไม่พอหรือไง จึงต้องยื่นมือเข้าช่วยน่ะ?
ด้วยหัวใจที่แสนเจ็บปวด เขาหันไปมองฮ่องเต้เซินจุย
แกเชิญปรมาจารย์มาเพื่อช่วยฉันฝ่าด่านวรยุทธ และต่อลมหายใจให้ฉันไม่ใช่หรือ?
ทำไมคนที่แกพามาถึงพยายามจะให้ฉันสูดเอายาระงับประสาทเข้าไปล่ะ?
พวกแกทำอะไรกันอยู่?
นี่มันมากเกินไปแล้ว!
“แค่ก แค่ก ปรมาจารย์หยาง… ร่างกายของผู้อาวุโสน่ะอ่อนแอมากแล้ว เกรงว่า…ถ้าเขาสูดเข้าไปล่ะก็…ร่างกายคงรับไม่ไหวแน่!” เมื่อเห็นสายตาหวาดระแวงที่ผู้อาวุโสส่งมา ฮ่องเต้เซินจุยถึงกับริมฝีปากกระตุก ทรงรีบตรงเข้ามาห้าม
เมื่อวันก่อนที่ได้เห็นวิธีการพิสดารพันลึกของปรมาจารย์หยาง ทรงคิดว่าความประหลาดนั้นคงจำกัดอยู่แค่วิธีการฝ่าด่านวรยุทธ ไม่นึกเลยว่าแม้วิธีการรักษาก็ช่างเหลือเชื่อยิ่งนัก
เชื้อพระวงศ์อาวุโสได้ใช้แรงกายแรงใจเฮือกสุดท้ายเพื่อรอคอยการมาถึงของคุณ ถ้าเขาต้องสูดสิ่งนั้นเข้าไป ต่อให้ไม่ถึงตาย ก็ใกล้ความตายเต็มที
“รับไม่ไหวรึ?” จางเซวียนชะงัก
คำพูดของฮ่องเต้ฟังขึ้น ชายผู้นี้ดูพร้อมจะเสียชีวิตได้ทุกวินาที เขาอยู่ได้ด้วยกำลังใจเท่านั้น หากต้องสลบไป กำลังใจที่ฉุดรั้งชีวิตเอาไว้จะต้องหายไปชั่วขณะ เขาอาจตายได้ในทันที
ถ้าเช่นนั้น เราทำให้เขาสลบก็ไม่ได้ จะให้เขาแสดงวรยุทธให้ดูก็ไม่ได้อีก
แล้วจะทำอย่างไรดี?
จางเซวียนหมดหนทาง
เขาคิดว่า ด้วยการใช้หอสมุดเทียบฟ้าคงจะหาต้นตอของอาการป่วยได้อย่างง่ายดาย ถึงแม้อาจช่วยชีวิตไม่ได้ แต่ก็สามารถแสดงความคิดเห็นเพื่อยืนยันความเป็นผู้เชี่ยวชาญของตัวเอง แต่เมื่อดูสถานการณ์แล้ว อีกฝ่ายก็ยังต้องอยู่ในสภาพนั้น ทำให้เขาพ่ายแพ้อย่างหมดท่า
“ถ้าเช่นนั้น มีสิ่งใดที่สามารถเพิ่มพลังชีวิตให้เขาได้อย่างฉับพลันหรือไม่ เพื่อที่เขาจะได้ไม่ตายแม้ว่าจะถูกทำให้สลบ?” จางเซวียนเอ่ยขึ้นหลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
ในเมื่อฝ่ายนั้นกำลังจะตาย การใช้ยาระงับประสาทจึงอยู่นอกประเด็น ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่หาหนทางเพิ่มพลังชีวิตของอีกฝ่ายให้ได้อย่างฉับพลัน เพื่อที่เขาจะได้ไม่ตายเมื่อถูกทำให้สลบไป
“ไม่ตายแม้ถูกทำให้สลบอย่างนั้นหรือ?” คนที่เหลือต่างมองหน้ากัน
ปรมาจารย์หยางผู้นี้เอาเป็นเอาตายกับการทำให้ผู้อาวุโสเซินหงสลบเสียเหลือเกิน…
“ปรมาจารย์หลิว มีการวินิจฉัยแบบใดของปรมาจารย์ที่…ต้องทำให้คนสลบด้วยหรือ?” จวงเชียนแอบส่งโทรจิต
ปรมาจารย์มีวิธีการมากมายในการวินิจฉัยสภาวะของผู้คน เช่นเดียวกับที่นายแพทย์วินิจฉัยผู้ป่วย ด้วยวิธีการที่หลากหลายเหล่านี้ ปรมาจารย์จะสามารถทำความเข้าใจสภาวะที่แท้จริงของผู้นั้น และระบุถึงแก่นของปัญหาได้
‘ผู้เชี่ยวชาญ’ ตรงหน้าพวกเขามีวิธีการพิสดารพันลึกนัก แม้พวกเขาเป็นปรมาจารย์ ก็ยังไม่อาจทำความเข้าใจตรรกะที่อยู่เบื้องหลังการกระทำนี้ได้
“เอ่อ… โดยทั่วไป ผู้ป่วยควรมีสติจึงจะทำการวินิจฉัยได้ ถ้าสลบ…ผมก็ไม่มีความรู้เหมือนกัน!” หลิวหลิงส่ายหน้า
เขาเป็นผู้ทรงภูมิที่มีโอกาสได้เยี่ยมเยียนหลายอาณาจักร ได้เห็นผู้คนพยายามสรรหาวิธีการปลุกคนที่สลบให้ฟื้นคืนสติขึ้นมาเพื่อจะทำการวินิจฉัย แต่ไม่เคยเจอการทำให้ใครสลบไปเพื่อจะวินิจฉัยอาการของผู้นั้น
คนที่สลบไปก็ไม่ต่างอะไรกับคนตาย ด้วยสภาพนั้น จะระบุปัญหาของเขาได้อย่างไร?
ทั้งสามปรมาจารย์ต่างงงงัน เช่นเดียวกับฮ่องเต้เซินจุย ทรงเอ่ยขึ้นหลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง
“เอ่อ… ผู้อาวุโสได้กินยาทุกชนิดที่พอจะช่วยต่อลมหายใจหรือเพิ่มพลังชีวิตให้เขาแล้ว แต่ตอนนี้ยาเหล่านั้นช่วยอะไรไม่ได้เลย…”
เซินหงได้รับความช่วยเหลือจากทั่วอาณาจักร เพื่อต่อลมหายใจของเขา เขากินยามาแล้วทุกชนิด และร่างกายของเขาก็ดื้อยาเหล่านั้นแล้ว ถึงกินเข้าไปอีกก็ไม่น่าจะได้ผล
ได้ฟังเช่นนั้น จางเซวียนยิ่งท้อแท้หนัก
ตอนแรก เขาคิดว่าหากผู้อาวุโสได้กินยาบางชนิดก็จะมีพลังชีวิตมากพอที่จะแสดงวรยุทธได้ แต่ชายผู้นี้กลับกลายเป็นคนดื้อยาไปเสียอีก ยาไม่ส่งผลอะไรต่อเขาแล้ว…
บัดซบ นี่เราจะต้องยอมแพ้จริงๆหรือ?
“ผมรู้จักสิ่งหนึ่งที่จะช่วยเพิ่มพลังชีวิตให้พุ่งพรวดได้ในช่วงเวลาสั้นๆ มันให้ผลแบบเดียวกับยาที่ฮ่องเต้ทรงกล่าวถึง เมื่อกินเข้าไปแล้วผู้นั้นจะมีพละกำลังและพลังชีวิตเพิ่มขึ้นชั่วคราว ผลข้างเคียงก็น้อยมาก แต่ว่า…” หลิวหลิงใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมา แต่เมื่อเข้าประเด็นแล้ว เขาก็หยุดพูดไปเสียดื้อๆ
“แต่อะไร?” จางเซวียนหันไปมอง
“แต่…มันไม่ใช่ยาบำรุง มันคือ…ยาพิษ!” หลิวหลิงตอบ
“ยาพิษรึ?” จางเซวียนงง
ยาพิษนั้นให้ผลร้ายไม่ใช่หรือ? การกินยาพิษจะช่วยเพิ่มพลังชีวิตได้อย่างไร แถมยังมีผลข้างเคียงน้อยมากอีกต่างหาก?
ไม่ใช่แค่เขา แม้ฮ่องเต้เซินจุยก็งงงัน ทรงหันขวับไปมองหลิวหลิงด้วยสีหน้าประหลาด
“เป็นที่รู้กันว่าผู้เชี่ยวชาญด้านยาพิษนั้นอยู่ในเก้าสถานภาพระดับล่าง พวกเขามักผสมยาพิษเพื่อทำร้ายผู้อื่นอย่างลับๆ วิถีทางอันชั่วร้ายทำให้พวกเขาถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม แต่เมื่อดูจากการที่ความรู้เหล่านั้นถูกถ่ายทอดกันมารุ่นสู่รุ่น ก็แสดงให้เห็นแล้วว่ามันมีประโยชน์” เจิงเฟยพูด
ทุกเคล็ดวิชาที่ตกทอดกันมานั้นย่อมมีประโยชน์ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
แม้ผู้เชี่ยวชาญด้านยาพิษจะมีชื่อเสียงไม่ค่อยดี แต่พวกเขาก็ไม่ได้สร้างความหายนะให้กับสังคมไปเสียทั้งหมด พูดได้ว่ายังมีประโยชน์ในแบบของตัวเอง ตัวอย่างเช่น หากใครสักคนต้องการกำจัดแมลงที่มารบกวน หรือต้องการหลีกเลี่ยงสารพิษ พวกเขาก็จะต้องขอความช่วยเหลือจากคนกลุ่มนี้
“ผมเคยได้ยินเรื่องราวของสิ่งนี้มาเช่นกัน ที่ผมรู้ มันเป็นส่วนผสมของสารพิษมากกว่า 12 ชนิดในอัตราส่วนเฉพาะ เช่นเดียวกับการปรุงยา การผสมมันเป็นเรื่องยากเย็นอย่างเหลือเชื่อ ส่วนผสมมากมายเหล่านั้นจะต้องถูกผสมด้วยวิธีการเฉพาะ ในอัตราส่วนเฉพาะ เพื่อให้ทั้งหมดเติมเต็มซึ่งกันและกัน และออกมาเป็นส่วนผสมที่ลงตัวที่สุด ด้วยเหตุนี้ จึงไม่เพียงแต่จะไม่ทำลายสุขภาพ แต่ยังสามารถดึงเอาศักยภาพที่ซ่อนอยู่ภายในและฟื้นฟูพลังชีวิตของผู้นั้นให้กลับคืนมาได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ” จวงเชียนดูจะคิดเรื่องนี้ไว้แล้วเช่นกัน เขาพยักหน้าอย่างเห็นพ้อง จากนั้นเขาหันไปมองปรมาจารย์หยางด้วยสีหน้างุนงง “แม้อาชีพผู้เชี่ยวชาญด้านยาพิษจะมีอยู่น้อยมาก แต่สิ่งนี้เป็นที่รู้จักกันทั่วไปในอาณาจักร ปรมาจารย์หยาง คุณไม่รู้จักมันหรือ?”
ไม่เพียงแค่เขา หลิวหลิงกับเจิงเฟยก็งง
ปรมาจารย์จะต้องรอบรู้ในเรื่องของทุกอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นเก้าสถานภาพระดับบน กลาง หรือล่าง เช่นเดียวกับทักษะต่างๆ… ในการทดสอบเพื่อเป็นปรมาจารย์ระดับ 1 ดาว ทุกคนจะต้องตอบคำถามเหล่านี้อย่างละเอียด ดังนั้น จึงไม่มีปรมาจารย์คนใดที่ไม่รู้เรื่องนี้
บุคคลตรงหน้าสามารถชี้ข้อบกพร่องของพวกเขาได้ ก็บ่งบอกว่าเขาเป็นปรมาจารย์ที่อยู่ในขั้นสูงกว่าอย่างแน่นอน แต่เหตุใดจึงไม่รู้เรื่องผู้เชี่ยวชาญด้านยาพิษและยาที่พวกเขาผสม
อันที่จริง ดูเหมือนเป็นครั้งแรกที่เขาเคยได้ยินเรื่องนี้?
“ผม…ไม่ค่อยชอบอาชีพผู้เชี่ยวชาญด้านยาพิษ จึงไม่ได้เรียนรู้มันมากนัก…” เห็นสายตาสงสัยของทุกคนที่จับจ้องมา จางเซวียนรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
ด้วยการครอบครองหอสมุดเทียบฟ้า การชี้ข้อบกพร่องของผู้อื่นไม่ใช่ปัญหา แต่เมื่อเป็นเรื่องความรู้ทั่วไป จางเซวียนก็ตกม้าตายเอาง่ายๆ
ปรมาจารย์จะต้องมีทักษะการหยั่งรู้อันน่าทึ่งเพื่อใช้ระบุต้นตอของปัญหา และในการที่จะมีสายตาอันรอบรู้เช่นนั้นก็จะต้องมีความรู้อย่างกว้างขวางในทุกด้าน
หากไม่มีความรอบรู้เป็นพื้นฐาน ปรมาจารย์จะมองทะลุแก่นของปัญหาได้ในครั้งเดียว และให้คำชี้แนะได้อย่างไร?
สิ่งที่จางเซวียนไม่มีก็คือการสั่งสมความรู้นี่เอง
เขาอาจตบตาทุกคนได้ด้วยการใช้หอสมุดเทียบฟ้า แต่การมีความรู้ไม่เพียงพอก็แสดงออกมาเด่นชัดเมื่อเขาต้องเจอกับคำถามทั่วไปง่ายๆ
“คุณไม่ชอบมัน? ไม่ได้เรียนรู้มากนัก?” คิ้วของหลิวหลิงกับคนอื่นๆ ขมวดย่นลึกขึ้นอีก
ผู้ใดก็ตามที่เคยอยู่ในอาณาจักรขั้นที่ 1 ต่อให้หูหนวกตาบอดก็ยังต้องใส่ใจ นับประสาอะไรกับปรมาจารย์ขั้นสูง
ปรมาจารย์ควรเปิดกว้างกับทุกสิ่ง พวกเขาไม่เคยได้ยินว่ามีปรมาจารย์คนไหนปฏิเสธจะเรียนบางวิชาเพียงเพราะไม่ชอบอาชีพนั้น
นี่เป็นคำพูดที่ฟังดูประหลาดนัก
หากไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายเคยชี้ข้อบกพร่องให้พวกเขา ทั้งยังเคยแสดงความรู้อันไร้เทียมทานในเชิงวรยุทธแล้วล่ะก็ พวกเขาจะต้องสงสัยว่าฝ่ายนั้นเป็นตัวปลอมแน่
“แล้วพวกคุณมียานั้นบ้างไหม?” เห็นสีหน้าทุกคน จางเซวียนก็รู้ตัวว่าเขาต้องพูดบางอย่างที่ไม่เหมาะสมออกไปแน่ แต่โชคดีที่เขาเกิดมาหน้าด้านหน้าทน ทำให้ยังคงวางท่าได้ เขารีบเปลี่ยนเรื่องทันที
“ยานี้ต้องผสมโดยผู้เชี่ยวชาญด้านยาพิษ และต้องผสมเดี๋ยวนั้น เก็บไว้ไม่ได้ เพราะยาจะเกิดการเปลี่ยนแปลง ทำให้ส่งผลต่อความสมดุลระหว่างสารพิษหลากหลายชนิดที่เป็นส่วนผสม ทำให้กลายเป็นยาพิษที่ฆ่าคนตายได้…แล้วเราจะมีของแบบนั้นอยู่ได้อย่างไร?” หลิวหลิงพยักหน้า ความสงสัยในแววตายิ่งหนักข้อกว่าเดิม
ปรมาจารย์หยางผู้นี้ช่างอ่อนหัดนัก!
ไม่น่าเชื่อว่าคนเป็นปรมาจารย์จะตั้งคำถามเช่นนี้
จวงเชียนกับเจิงเฟยก็คิดเช่นเดียวกัน ต่างสงสัยในสถานภาพของปรมาจารย์
หยางอีกครั้งหนึ่ง
“ถ้าเช่นนั้น…” รู้ว่าอีกฝ่ายสงสัยตนไปแล้วเรียบร้อย จางเซวียนจึงไม่ยื้อประเด็นนี้อีก เขาหันไปทางฮ่องเต้เซินจุยและพูดว่า “ถ้าเช่นนั้น กระหม่อมคงต้องขอให้ฝ่าบาทจัดหาผู้เชี่ยวชาญด้านยาพิษมาผสมมัน!”
จากนั้น เขานิ่งไปครู่หนึ่งและไม่สนใจสายตาใคร จางเซวียนหันไปพูดกับทั้งสามปรมาจารย์อย่างมั่นใจ “ผมต้องการยานี้มาใช้ช่วยชีวิตผู้อาวุโส!”
“เอ่อ…”
ครั้งนี้ ไม่ใช่แค่สามปรมาจารย์เท่านั้น แม้ฮ่องเต้เซินจุยก็ทรงจังงังกับความต้องการของจางเซวียน “อาณาจักรเทียนเซวียนของเราเป็นอาณาจักรอันที่ไกลความเจริญ ยังไม่ถูกจัดเป็นอาณาจักรขั้นที่ 1-2-3 เสียด้วยซ้ำ…ดังนั้นเราจึงไม่มีผู้เชี่ยวชาญด้านยาพิษอยู่ที่นี่…ปรมาจารย์หยาง คงไม่ใช่ว่าคุณไม่รู้เรื่องนี้หรอกนะ?”
“ไม่มีผู้เชี่ยวชาญด้านยาพิษอยู่ที่นี่หรือ?”
ตึ้ง!
จางเซวียนหัวใจหล่นวูบ