ตอนที่ 183 รักษาเซินหง
ขณะที่ลู่ฉวินกับหวังชงกำลังคิดว่าจะขอยืมเงินสามล้านมาจ่ายเป็นค่าเข้าพบปรมาจารย์หยางได้อย่างไร จางเซวียนผู้เป็นบุคคลต้นเรื่องก็กำลังหน้านิ่วคิ้วขมวด
ลู่ฉวินมาขอเข้าพบ ก็เห็นๆกันอยู่ ไม่สำคัญเลยว่าจางเซวียนจะพบอีกฝ่ายหรือไม่ และเขาก็ไม่ได้สั่งซุนฉางให้ทำอะไรๆให้ยากขึ้น
ทั้งคู่ก็แค่เข้ามายุ่มย่ามในการทดสอบประเมินอาจารย์ ไม่ได้มีความบาดหมางจริงจังที่จะต้องพูดถึง ดังนั้น จึงไม่มีความจำเป็นที่จางเซวียนจะต้องจงใจทำเรื่องให้มันยากขึ้นสำหรับฝ่ายนั้น อีกอย่าง ตอนนี้เขาไม่มีเวลาจะคิดถึงเรื่องนั้นเพราะ…ชายชุดดำคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขา
ชายผู้นี้เข้ามาทางประตูหลัง สวมดำหัวจรดเท้า แม้แต่ใบหน้าก็ถูกปิดบังไว้ ทำให้ดูไม่ออกว่าเป็นใคร ตอนแรกจางเซวียนคิดว่าคนผู้นี้เข้ามาสร้างปัญหา แต่เมื่อเข้ามาถึงห้องโถง เขาก้มศีรษะคำนับจางเซวียนแล้วดึงผ้าสีดำที่คลุมใบหน้าออก
“ฮ่องเต้เซินจุย ฝ่าบาท…” เมื่อเห็นใบหน้าของอีกฝ่าย จางเซวียนถึงกับผงะ
เขาคิดว่าเป็นนักย่องเบาหรือโจร นึกไม่ถึงว่าจะเป็นฮ่องเต้เซินจุยที่เพิ่งพบกันเมื่อวาน
เป็นถึงประมุขของอาณาจักร แทนที่จะเข้ามาทางประตูหน้าอย่างเปิดเผย กลับสวมชุดดำลอบเข้ามาในคฤหาสน์ ทำลับๆล่อๆเช่นนี้ ฝ่าบาทคิดอะไรอยู่?
เมื่อเห็นสายตาเป็นเชิงตั้งคำถาม ฮ่องเต้เซินจุยรีบอธิบาย “โปรดอย่าถือสาการบุกรุกของเราเลย เรามาที่นี่เพื่อวิงวอนให้ปรมาจารย์หยาง… ช่วยชีวิตเชื้อพระวงศ์อาวุโสด้วยเถิด!”
“ช่วยชีวิตเชื้อพระวงศ์อาวุโส?” จางเซวียนงง
สวมชุดดำลอบเข้ามาในคฤหาสน์ ดูไม่เหมือนอยากจะช่วยชีวิตใครเลย…เหมือนพยายามจะฆ่าใครเสียมากกว่า? “กระหม่อมบอกไปแล้วไม่ใช่หรือว่าจะช่วยฝ่าบาทอยู่แล้ว” จางเซวียนขมวดคิ้ว
เพื่อแลกเปลี่ยนกับการช่วยชีวิตเชื้อพระวงศ์อาวุโส เมื่อวานเขาได้ตั้งเงื่อนไขไป ซึ่งอีกฝ่ายก็ยอมรับ แล้วเหตุใดวันนี้จึงพรวดพราดเข้ามาอีก?
หรือฮ่องเต้ทรงคิดว่าการรวบรวมหนังสือวรยุทธขั้นทงฉวนเป็นภารกิจที่ยากเย็น เลยเลือกที่จะใช้กำลังบังคับแทน?
เมื่อความคิดนี้วาบเข้ามาในสมอง จางเซวียนก็ระแวงระวังขึ้นทันที
การขึ้นเป็นประมุขของอาณาจักรได้นั้น พละกำลังในการต่อสู้ของฮ่องเต้เซินจุยจะต้องไม่ธรรมดา อย่างน้อยเขาก็น่าจะสำเร็จขั้นทงฉวนระดับสูงสุด แม้วรยุทธของตัวจางเซวียนเองจะพัฒนาขึ้นมาก แต่ก็ไม่อาจเทียบกับผู้เชี่ยวชาญระดับนั้นได้
แต่จางเซวียนก็ปัดความคิดนั้นไปทันที
เพราะอีกฝ่ายรู้ว่าเขาเป็นปรมาจารย์ ไม่มีทางกล้าทำเช่นนั้นแน่ จึงได้มาอ้อนวอนให้เขาช่วยชีวิตเชื้อพระวงศ์อาวุโสแทน
ถ้าเขาแสดงความขุ่นเคือง หรือปฏิเสธที่จะช่วย หรือทำผิดพลาดระหว่างการรักษา เชื้อพระวงศ์อาวุโสจะต้องไปสวรรค์เร็วกว่าที่คาดไว้หรือไม่?
“เรารู้ว่าการเข้ามาพบท่านอย่างกะทันหันในวันนี้เป็นเรื่องไม่เหมาะสม เราควรจะรวบรวมหนังสือวรยุทธขั้นทงฉวนให้ได้เสียก่อนที่จะเชิญปรมาจารย์หยางไป แต่…เมื่อวานนี้ อาการของเชื้อพระวงศ์อาวุโสเลวร้ายลงอย่างฉับพลัน…เขาอาจมีชีวิตอยู่ไม่พ้นวันนี้ก็เป็นได้…”
ฮ่องเต้เซินจุยรู้สึกได้ถึงความไม่พอใจของอีกฝ่าย ทรงรีบก้มศีรษะคำนับและอธิบายอย่างนอบน้อม “ด้วยเหตุนี้ เราจึงถือวิสาสะพรวดพราดเข้ามาในคฤหาสน์ของปรมาจารย์หยาง เราหวังว่าท่านจะยอมไปรักษาผู้อาวุโสของเราด้วย”
“อาจมีชีวิตอยู่ไม่พ้นวันนี้หรือ? ถึงฝ่าบาทจะอยากให้กระหม่อมไปรักษา…ก็ไม่เห็นต้องทรงแต่งกายเช่นนี้เลย…” จางเซวียนใบ้กิน
ฝ่าบาทเป็นประมุขผู้ทรงเกียรติ เป็นนักรบทงฉวนขั้นสูงสุด ต่อให้เชื้อพระวงศ์อาวุโสกำลังจะตาย ก็ไม่เห็นต้องสวมชุดดำและทำแบบนี้เลย
นี่ดูเหมือนทรงอยากจะฆ่าใครเสียมากกว่า โชคดีที่องครักษ์พวกนั้นไม่ได้มีทักษะสูงส่งเท่าไร มิเช่นนั้นพระองค์อาจจะต้องตายไปเสียเปล่าๆปลี้ๆ
“สุขภาพของเชื้อพระวงศ์อาวุโสนั้นเป็นความลับที่สำคัญที่สุดของอาณาจักร และมันก็จำเป็นต่อการรักษาความมั่นคง…” ฮ่องเต้ทรงอธิบาย
เพราะการดำรงอยู่ของเชื้อพระวงศ์อาวุโสท่านนั้นทำให้อาณาจักรเทียนเซวียนมั่นคงสงบสุขมาเป็นเวลาหลายปี มีคนจำนวนเพียงน้อยนิดที่รู้ว่าสุขภาพของผู้อาวุโสนั้นเสื่อมถอยแล้ว ดังนั้น หากฮ่องเต้เซินจุยขอเข้าพบปรมาจารย์หยางอย่างเปิดเผยและเกิดมีศัตรูรู้เข้า พวกเขาก็จะเดาเหตุผลที่แท้จริงได้ และหากปรมาจารย์หยางรักษาไม่สำเร็จ ความมุ่งหวังของฝ่ายนั้นก็จะเป็นผล พวกเขาจะถือโอกาสนี้แข็งข้อทันที
และในกรณีเดียวกัน หากฮ่องเต้ส่งผู้อื่นมาแทน ก็จะเป็นการไม่เคารพปรมาจารย์หยาง ดังนั้นจึงทรงไม่มีทางเลือกนอกจากอำพรางตัวและลอบเข้ามา
ในฐานะนักรบทงฉวนขั้นสูงสุด การแอบคลานเข้ามาโดยไม่ให้ใครเห็นไม่ใช่เรื่องยากเลย
“อือ!” เมื่อได้ฟังคำอธิบายของอีกฝ่าย จางเซวียนก็เข้าใจสถานการณ์ “ได้ กระหม่อมจะไปกับฝ่าบาท”
อันที่จริง จะเลือกทางไหนก็ไม่ใช่ปัญหาของจางเซวียน หากเขายอมช่วยชีวิตเชื้อพระวงศ์อาวุโส ฮ่องเต้จะไม่ทรงกล้าทำให้การรวบรวมหนังสือวรยุทธขั้นทงฉวนเนิ่นช้าไปอย่างแน่นอน
เมื่อใดที่เขารวบรวมหนังสือวรยุทธขั้นทงฉวนได้ครบหนี่งพันเล่ม และประมวลเป็นหนังสือเล่มใหม่ของตัวเองขึ้นมาได้ พละกำลังของเขาจะต้องพุ่งพรวด
“ข้างนอกมีคนอยู่มากเกินไป เราคงต้องรบกวนปรมาจารย์หยางให้ออกทางประตูหลังไปพร้อมกัน…” ได้ยินเขาตอบตกลง นัยน์ตาของฮ่องเต้เซินจุยเป็นประกายด้วยความยินดี แต่ก็ยังทรงใช้น้ำเสียงขอโทษขอโพยต่อไป
“ไม่มีปัญหา!” จางเซวียนพยักหน้า
เมื่อเรียกซุนฉางมาสั่งงานอย่างรวบรัดแล้ว ภายใต้การนำของฮ่องเต้เซินจุย ทั้งคู่ก็ลอบออกจากคฤหาสน์ไป
ฟิ้ว!
สองร่างกระโจนข้ามขอบฟ้าของเมืองหลวงแห่งอาณาจักรเทียนเซวียนไปราวกับนกบิน หากผู้ที่มีวรยุทธต่ำกว่าขั้นติ่งลี่มองไป แม้จะตั้งใจเพ่ง ก็จะเห็นเป็นเพียงเงาสองเงาพาดผ่านไปเท่านั้น
นั่นคือจางเซวียนและเซินจุยที่กำลังรุดไปยังพระราชวัง
ในฐานะนักรบทงฉวนขั้นสูงสุดผู้ครอบครองกระบวนท่าโดดเด่นจำนวนนับไม่ถ้วน การเคลื่อนไหวของเซินจุยนั้นรวดเร็วอย่างไม่ธรรมดา แต่เมื่อทรงชำเลืองมองปรมาจารย์หยางที่กำลังตามมา ความมั่นใจของพระองค์ก็แหลกสลายไปทันใด
ตลอดเส้นทาง ทรงใช้ไปมากกว่า 12 กระบวนท่าและเหนื่อยจนแทบจะทรุด ในขณะที่ปรมาจารย์หยางยังเดินทางอย่างสบายใจโดยปราศจากความเร่งรีบแม้แต่น้อย ฝ่ายนั้นยังคงหายใจเนิบช้าราวกับการบินไล่ตามหลังเขาเป็นภารกิจที่ง่ายแสนง่ายดาย
แม้ไม่อาจรับรู้พละกำลังที่แท้จริงของอีกฝ่ายได้ แต่จากสิ่งนี้ ก็เห็นได้ชัดแล้วว่าพลังปราณของปรมาจารย์หยางนั้นเข้มข้นกว่าพระองค์มาก อีกทั้งเทคนิคการเคลื่อนไหวก็เหนือชั้นกว่าอย่างเห็นๆ
ไม่อาจเทียบกันได้เลย
ด้วยพลังปราณอันแข็งแกร่งและท่วงท่าการเคลื่อนไหวอันน่าทึ่ง ไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะเป็นคนอ่อนแอไปได้
ไม่สงสัยแล้วว่าหตุใดทั้งสามปรมาจารย์จึงประทับใจในตัวเขานัก พละกำลังของเขาต้องอยู่เหนือกว่าทงฉวนขั้นสูงสุดแล้วเป็นแน่ จะว่าไป…อันที่จริงก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสำเร็จถึงขั้นจงซรือ!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ฮ่องเต้เซินจุยยิ่งทวีความเคารพในตัวปรมาจารย์หยางขึ้นอีก
ขณะที่เซินจุยเพิ่มความยำเกรงในตัวอีกฝ่าย ในความเป็นจริง จางเซวียนที่อยู่ด้านหลังก็ให้รู้สึกหดหู่นัก
คุณ… จะรีบไปไหนกัน?!
จริงอยู่เขารู้ว่าฮ่องเต้องค์นี้มั่นใจในความสามารถของเขามาตั้งแต่ต้น เขาจึงจำเป็นต้องรักษามาดไว้สุดชีวิต ถ้าตัวตนของเขาถูกเปิดเผยตอนนี้คงแย่แน่ ดังนั้น จางเซวียนจึงทำได้แค่ขบกรามและพยายามไล่ตามไปให้เร็วที่สุด
เขาเป็นนักรบพี่เชวี่ยขั้นสูงสุดเท่านั้น และถึงแม้ว่าเขาจะเปิดจุดชีพจรไปหมดทั้ง 108 จุดแล้วแต่เขาก็ยังห่างไกลนักจากผู้เชี่ยวชาญระดับต้นๆของอาณาจักร
โชคดีที่เมื่อสองสามวันก่อนเขาได้เรียนรู้ ‘ศิลปะการเคลื่อนไหวเทียบฟ้า’ ทำให้เดินทางได้เร็วกว่าเดิมมาก มิเช่นนั้น อีกฝ่ายจะต้องลับสายตาเขาไปแล้วตั้งแต่เริ่มออกตัว
แต่ถึงอย่างนั้น ก็มีอยู่สองสามครั้งที่จางเซวียนเกือบจะหลุดออกจากเส้นทาง เขาจึงใช้หอสมุดเทียบฟ้าเพื่อตรวจสอบข้อบกพร่องในเทคนิคการเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย รวมถึงนิสัยของฮ่องเต้เซินจุย เพื่อทำนายการเคลื่อนไหวของพระองค์ไว้ล่วงหน้าและหาเส้นทางที่ลัดกว่า ตัวเองจะได้ไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
“โชคดีที่การเคลื่อนไหวของฮ่องเต้มีข้อบกพร่องอยู่มากมาย ไม่อย่างนั้น หากพระองค์ตั้งใจจะทิ้งห่างเราจริงๆแล้วล่ะก็ เห็นทีเราคงปลอมตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญต่อไปไม่ไหว…”
มีเหตุผลอยู่สองข้อที่ฮ่องเต้ทรงเดินทางด้วยความเร็วเช่นนั้น ข้อแรกคือ เชื้อพระวงศ์อาวุโสกำลังอาการหนัก ข้อที่สองคือ ทรงต้องการทดสอบความสามารถของปรมาจารย์หยาง ถ้าฝ่ายนั้นเป็นปรมาจารย์ผู้ไร้เทียมทานจริงๆ ความเร็วของเขาจะต้องไม่มีใครเทียบได้ แต่หากเขาตามพระองค์ไม่ทัน ก็น่าสงสัยในตัวตนอยู่หรอก
ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้จางเซวียนหดหู่
นี่มันอะไรกัน? การเดินทางเข้าวังเพื่อไปช่วยชีวิตคนกลับกลายเป็นการแข่งขันไปในทันที เขาต้องใช้พละกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อรักษาความเร็วเอาไว้ ถ้าไม่ใช่เพราะการรักษาภาพ ‘ผู้เชี่ยวชาญ’ ล่ะก็ เขาคงจะเตะยอดหน้าอีกฝ่ายไปนานแล้ว
ฝ่าบาท… นี่แกมาขอความช่วยเหลือหรือจะมาแข่งกับฉันกันแน่?
อีกอย่าง เขาต้องรักษาความเร็วไว้โดยไม่อาจแสดงความเหน็ดเหนื่อยออกมาทางสีหน้าด้วย อันนี้ยากที่สุด ถ้าไม่ใช่เพราะเขาเพิ่งฝ่าด่านวรยุทธมาจนพลังปราณในร่างก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก เขาคงจะถอยแล้ว
บ้า บ้า บ้า! การเป็นผู้เชี่ยวชาญช่างยากเย็นอะไรอย่างนี้ มันไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะทำได้เลย
ถ้าซุนฉางได้ยินความคิดของจางเซวียนก็คงจะเห็นด้วยแบบสุดตัว ก็เพราะเขาพยายามจะทำอย่างเดียวกันนี่แหละจึงเกือบจะต้องตาย จนกระทั่งทุกวันนี้ก็ยังเจ็บแสบกับเหตุการณ์เหล่านั้นอยู่
“ในเมื่อเราได้ของที่จ้าวหย่ากับคนอื่นๆต้องการมาแล้ว เมื่อไรก็ตามที่เรารวบรวมหนังสือเกี่ยวกับวรยุทธขั้นทงฉวนได้สำเร็จ เจ้า ‘หยางชวน’ คนนี้ก็ควรจะต้องหายไปเสียที…” จางเซวียนตัดสินใจ
แม้ว่าการปลอมตัวเป็นปรมาจารย์จะทำให้เขาได้รับความเคารพนับถืออย่างมาก แต่มันก็มาพร้อมกับปัญหาที่มากพอๆกัน หากเขาถูกเปิดโปงก็อาจถึงตายได้
ตอนนี้ ดูจะเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาด หากจะทำให้ ‘ปรมาจารย์หยางชวน’ หายตัวไปในทันทีที่เขาได้รับหนังสือวรยุทธขั้นทงฉวนมา
โดยไม่มีการหยุดพัก ประมาณสิบนาทีพวกเขาก็มาถึงพระราชวัง
ดูเหมือนว่าจะมีคำสั่งตกมาถึงแล้ว จึงไม่มีการขัดขวางใดๆ ไม่นานพวกเขาก็เข้ามาถึงห้องโถงใหญ่
“เข้ามาในนี้เถอะ…” ฮ่องเต้เซินจุยผลักประตูและเดินเข้าไป
ในห้องโถงนั้น ปรมาจารย์หลิว ปรมาจารย์จวง และปรมาจารย์เจิงอยู่กันครบ พวกเขาขมวดคิ้วจนยับย่นขณะที่มองอย่างสิ้นหวังไปที่เชื้อพระวงศ์อาวุโสซึ่งนอนอยู่ใกล้ๆ
เสาหลักแห่งความมั่นคงของอาณาจักรเทียนเซวียน… เซินหง
เมื่อสองสามวันก่อน ผู้อาวุโสผมขาวท่านนี้ยังเดินได้ด้วยตัวเอง แต่ตอนนี้ทำได้แค่นอนหายใจพะงาบๆอยู่บนเตียง ดูเหมือนพร้อมจะเสียชีวิตได้ทุกขณะ
“ปรมาจารย์หยาง!”
เมื่อพวกเขาเข้าไป หลิวหลิงกับคนอื่นๆก็ออกมาต้อนรับ
หลังจากการพบกันครั้งก่อน ทั้งสามก็เข้าใจแล้วว่าปรมาจารย์หยางผู้นี้น่าจะเป็นปรมาจารย์ขั้นสูงกว่าพวกตนดังนั้นจึงไม่กล้าแสดงอาการเย่อหยิ่งต่อหน้าเขา
“เราวิงวอนปรมาจารย์หยางให้มาช่วยชีวิตผู้อาวุโส…” ฮ่องเต้เซินจุยหันไปมองจางเซวียนอย่างกังวล
“ถ้ากระหม่อมทำได้ ก็จะทำสุดความสามารถ” จางเซวียนตอบ ก่อนจะเดินไปหาผู้อาวุโส
รังสีมรณะที่ครอบงำเซินหงอยู่นั้นหนักหน่วงรุนแรงกว่ากรณีของนักปรุงยาเฉินเสี่ยวก่อนหน้านี้มาก เขาทำได้แค่นอนแซ่วอยู่บนเตียง หากไม่เห็นลูกตาที่ยังเคลื่อนไหว ก็จะต้องคิดว่าเขาเสียชีวิตไปแล้ว
ไม่แปลกเลยที่ฮ่องเต้เซินจุยจะรีบตามปรมาจารย์หยางชวน ด้วยสภาพที่เห็นอยู่ตอนนี้ของเซินหง บอกได้ยากว่าเขาจะมีชีวิตรอดพ้นวันนี้หรือไม่
จางเซวียนเดินวนรอบเซินหงรอบหนึ่งแล้ว แต่ก็ยังระบุปัญหาไม่ได้ เขาทำได้แค่แตะนิ้วมือลงไปเพื่อสัมผัสชีพจรของอีกฝ่ายเท่านั้น
“ฮึ?”
หอสมุดเทียบฟ้าไม่มีปฏิกิริยาใดๆ
คงไม่ใช่เพราะเขาจับผิดมือหรอก แต่เพราะเซินหงไม่ได้อยู่ในขั้นโคม่า ลูกตาของเขายังเคลื่อนไหวได้ และเขาก็ยังรู้สึกตัวไม่ได้หมดสติสักนิด
“จะให้ออกหมัดพื้นฐานตอนนี้ก็ทำไม่ได้อีก…” ผู้ป่วยรู้สึกต้วเพียงแต่ยืนไม่ได้
ใบหน้าของจางเซวียนหมองคล้ำ
จากสภาพของเซินหงตอนนี้ แค่ลืมตาได้ก็ถือว่าบุญแล้ว ถ้าจะผลักดันให้เขาออกหมัดพื้นฐานล่ะก็ เขาคงจะตายเสียก่อนที่จางเซวียนจะทันได้ทำอะไร
“ปรมาจารย์หยาง…มีหนทางรักษาเขาหรือไม่?” เห็นเขาขมวดคิ้ว ฮ่องเต้เซินจุยเอ่ยถามอย่างกังวล
นี่คือฟางเส้นสุดท้ายของความหวังที่พระองค์มี ถ้าแม้แต่ปรมาจารย์หยางหาวิธีแก้ไขไม่ได้ พระองค์ก็คงทำได้แค่เฝ้าดูลมหายใจสุดท้ายของผู้อาวุโส
“เอ่อ…” จางเซวียนเกาศีรษะ
เขาไม่สามารถบอกไปโต้งๆได้ว่า ‘ฉันไม่รู้อะไรเลย’
ใช้การออกหมัดพื้นฐานสำหรับผู้ที่รู้สึกตัว และใช้การสัมผัสกับผู้ที่ไม่รู้สึกตัว เขาทดลองมาแล้วทั้ง 2 วิธี ซึ่งหอสมุดเทียบฟ้าก็จัดหนังสือมาให้ แต่…จะใช้วิธีใดรับมือกับผู้ที่อยู่ในสภาวะกึ่งรู้สึกตัวเล่า?
จะให้ออกหมัดพื้นฐานก็ไม่ได้ สัมผัสตัวก็ไม่เป็นผล
ทำไมคุณไม่สลบไปสักพักเล่า? ปัญหาอยู่ที่การรู้สึกตัวของคุณนี่แหละ
ทำไมถึงไม่สลบ มัวทำอะไรอยู่!
“แค่ก แค่ก…”
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จางเซวียนเงยหน้าขึ้นและถาม “ที่นี่… มีอะไรสักอย่างไหมที่สามารถทำให้เขาสลบได้โดยที่…ไม่ฆ่าเขา… มีไหม?”