ตอนที่ 156 กระฉ่อนไปทั่วทั้งเมือง
“คุณบอกว่าขนาดประธานหลัวชงยังยกย่องเลยเหรอ?”
“ตู้เหมี่ยวชวนน่ะยอมคุกเข่าทั้งวันเลยนะ แล้วตอนกลับออกมานี่ ไม่ใช่แค่ผิวพรรณผ่องใสเท่านั้น วรยุทธยังพุ่งพรวดด้วย”
“ดูเหมือนพวกเราจะเดาผิดมาตลอด หยางชวนคนนี้เป็นปรมาจารย์ตัวจริง!”
“ปรมาจารย์ตัวจริงเท่านั้นแหละที่จะทำให้คนอย่างตู้เหมี่ยวชวนยอมคุกเข่า แถมประธานหลัวชงก็ยกย่อง…”
“เร็วเข้าเถอะ เตรียมนามบัตรให้ฉันเร็ว ฉันอยากไปพบเขาจะแย่แล้ว!”
“โอ๊ย คฤหาสน์หยางน่ะไม่รับแขก ผู้ที่อยากพบปรมาจารย์จะต้องจ่ายล่วงหน้าสามล้าน ไม่มีการคืนด้วย”
“ก็สมเหตุสมผลอยู่นะ ใครๆก็อยากพบปรมาจารย์ทั้งนั้น ถ้าเขายอมพบทุกคนก็คงไม่ได้หลับได้นอนแน่ ด้วยมาตรฐานแบบนี้ ก็จะเหลือแต่ผู้ที่ตั้งใจจริงเท่านั้น…”
สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับแทบทุกตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง
ทุกคนต่างตกตะลึง
ผู้ที่เคยกล่าวหาว่าเขาเป็นสิบแปดมงกุฏพากันเงียบกริบ
หลังจากสลบไปนานแค่ไหนก็ไม่ทราบได้ จางเซวียนลืมตาขึ้นอีกครั้ง
“นี่…”
เมื่อตื่นขึ้น สิ่งแรกที่เขารู้สึกคือความรู้จำนวนมหาศาลได้บรรจุอยู่ในสมองของเขาแล้ว หนังสือทุกเล่มที่ถูกอาบด้วยรังสีของหนังสือสีทองได้ถูกบันทึกลงในสมองเรียบร้อย
“หนังสือสีทองเล่มนี้สามารถดูดเอาความรู้ในหอสมุดมาอยู่ในหัวเราอย่างนั้นหรือ?”
จางเซวียนไม่อยากจะเชื่อ
ที่ผ่านมา เขาต้องพลิกดูหน้าหนังสือที่อยู่ในหอสมุดเทียบฟ้า ความรู้เหล่านั้นมิได้เป็นของเขาอย่างแท้จริง แต่ตอนนี้ ทุกอย่างถูกบันทึกลงในสมอง เป็นความทรงจำส่วนหนึ่งของเขา
พูดได้ว่า ตัวเขาในเวลานี้ แม้ปราศจากหอสมุดเทียบฟ้า ก็เป็นนักปรุงยาตัวจริง ผู้รู้จริงเรื่องการปรุงยาไปแล้ว
“หนังสือสีทองเล่มนั้นอยู่ที่ไหน?”
จางเซวียนรวบรวมสมาธิเข้าไปในหอสมุดเทียบฟ้าและเห็นหนังสือสีทองตั้งอยู่ที่นั่น แต่หน้ากระดาษที่ว่างเปล่าได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย
“อะไรกัน…” จางเซวียนกะพริบตาปริบๆ
การหายไปของหน้ากระดาษสีทอง และการถ่ายทอดความรู้เข้าสู่สมองของเขาอย่างฉับพลันนั้นเกิดขึ้นพร้อมๆกัน ดูเหมือนหน้ากระดาษสีทองจะมีความสามารถบางอย่าง
“สงสัยจริงๆว่าหนังสือสีทองนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ดูเหมือนมันจะสามารถถ่ายโอนเนื้อหาของหนังสือเล่มไหนก็ได้ให้กลายมาเป็นความรู้ของเรา…”
ก่อนหน้านี้ แม้จะใช้ระดับความเร็วของหอสมุดเทียบฟ้า การจะอ่านหนังสือหลายแสนเล่มให้จบก็ยังต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสองปี แต่ตอนนี้ ด้วยรังสีของหน้ากระดาษสีทองเพียงวาบเดียว ทุกอย่างก็แปรเปลี่ยนเป็นความรู้ของเขา การร่ำเรียนกลายเป็นกระบวนการที่ง่ายขึ้นอย่างเทียบกันไม่ได้
“ฮึ? นี่เราสลบไปทั้งคืนเลยหรือ?” กำลังตื่นเต้นดีใจกับสิ่งที่ได้มาอย่างไม่คาดฝัน จางเซวียนมองออกไปข้างนอก แล้วก็ต้องตกใจที่ได้รู้ว่าตัวเองสลบไปทั้งคืน เขายืดเส้นยืดสายและกำลังคิดจะหาอะไรกิน
ก็พอดีเห็นซุนฉางพ่อบ้านของเขา เดินเข้ามา
“เจ้านาย โอวหยางเฉิง ประธานสมาคมนักปรุงยา กับนักปรุงยาเฉินเสี่ยวมาขอเข้าพบท่าน”
“โอวหยางเฉิง? นักปรุงยาเฉินเสี่ยว?” จางเซวียนผงะ
ตอนนี้เขาคือปรมาจารย์หยางชวน ไม่ใช่นักปรุงยาจางเซวียน เพราะฉะนั้นเขาไม่รู้จักทั้งคู่ แล้วเหตุใดจู่ๆสองคนนั้นจึงมาขอพบ?
“ใช่แล้วท่าน อ้อ พวกเขารออยู่ข้างนอกมาสี่ชั่วโมงแล้วนะ!” ซุนฉางไม่รู้จะพูดอย่างไร
แน่นอนว่าท่านปรมาจารย์หลับ เมื่อวานเขากลับมาถึงตอนตะวันตกดิน และหลับมาจนถึงตอนนี้ที่ตะวันโด่ง…แค่คิดก็น่าสงสัยแล้วว่าไปทำอะไรมา
เขาไม่กล้าขัดจังหวะการนอนของเจ้านาย จึงได้แต่บอกอีกฝ่ายว่าปรมาจารย์กำลังพักผ่อน ใครจะไปรู้ว่าสองคนนั้นจะยังรอ สี่ชั่วโมงแล้ว ช่างมีน้ำอดน้ำทนดีแท้…
“เจ้านาย นักปรุงยาเฉินเสี่ยวจ่ายสามล้านมาแล้วนะ ท่านดูสิ…”
“ให้เข้ามา!” จางเซวียนบอกซุนฉางให้เชิญอีกฝ่ายเข้ามา
ซุนฉางออกจากห้องไป ครู่เดียวประธานโอวหยางกับนักปรุงยาเฉินเสี่ยวก็เข้ามา “คารวะปรมาจารย์หยาง!”
ไม่มีใครกล้าวางท่าต่อหน้าปรมาจารย์ ทั้งคู่รีบก้มศีรษะคำนับ
ตอนแรก นักปรุงยาเฉินเสี่ยวตั้งใจจะมาคนเดียว แต่คิดว่าเพียงแค่เกียรติยศของตัวเองคงไม่เพียงพอ เลยหนีบโอวหยางเฉิงมาด้วย
“ไม่ต้องมีพิธี ถ้าผมพูดไม่ผิด สาเหตุที่คุณสองคนมาหาผมถึงนี่ก็เพราะ…
นักปรุงยาเฉินเสี่ยวคนนี้จะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน และคุณหวังว่าจะมีหนทางแก้ไขใช่ไหม?”
แม้ท้องไส้เขาจะยังปั่นป่วนที่เห็นทั้งคู่ แต่จางเซวียนก็นึกถึงเรื่องราวในการประลองวิวาทะยาขึ้นมาได้
เฉินเสี่ยวคนนี้ถูกใครคนหนึ่งสาป รังสีมรณะจึงครอบงำกัดกร่อนอายุของเขาให้สั้นลง ระหว่างการประลองวิวาทะยานั้น จางเซวียนรู้ว่าเฉินเสี่ยวเคยผิดสัญญาที่ให้ไว้กับคนอื่น และเห็นว่าเขาไม่มีค่าพอแก่การช่วยชีวิต จึงไม่ใส่ใจเรื่องนี้เท่าไรนัก นี่แปลว่าเฉินเสี่ยวก็หาทางแก้ปัญหาไม่ได้และเมื่อได้ยินว่ามีปรมาจารย์ปรากฏตัว จึงตัดสินใจมาหาเพื่อเสี่ยงดวง
ซึ่งจุดนี้จางเซวียนก็พอใจ ฝ่ายนั้นยอมจ่ายเงินมหาศาลเพื่อปลดเปลื้องความโกรธแค้นของบุคคลที่ไว้ใจฝากความหวังสุดท้ายไว้กับเขา… ออกไป
ได้ยินคำตอบของจางเซวียน โอวหยางเฉิงกับนักปรุงยาเฉินเสี่ยวแทบเข่าอ่อนด้วยความตกใจ
โดยปกติปรมาจารย์จะต้องขอดูวรยุทธ ดูวิธีการปรุงยา หรืออย่างน้อยที่สุดก็ต้องตรวจร่างกายก่อนจะวิเคราะห์ปัญหาหรือวินิจฉัยอาการป่วยไม่ใช่หรือ
แต่เขามองปราดเดียวแล้วบอกเลยได้อย่างไร…
นี่คือความสามารถในการหยั่งรู้หรือ? พ่อมดยังไม่น่าทึ่งขนาดนี้เลย!
ตกตะลึงไปกับความเปรื่องปราดของปรมาจารย์ นักปรุงยาเฉินเสี่ยวหน้าซีดหนักกว่าเดิม เขากังวลนัก
ปรมาจารย์มองทะลุได้ขนาดนี้ แปลว่าอาการป่วยของเขาคงจะหนักมาก
เขาจะมีชีวิตรอดถึงวันพรุ่งนี้หรือเปล่า?
“หม้อปรุงยาอยู่ที่ไหน? คุณกำจัดมันไปแล้วหรือยัง? ไอ้การผิดสัญญาเพียงเพราะว่าอีกฝ่ายหนึ่งตายไปแล้วนี่ไม่ใช่การกระทำที่เหมาะสมกับอาชีพนักปรุงยาเลยนะครับ!”
เห็นทั้งคู่ใบ้กิน จางเซวียนทบทวนข้อความในหนังสือแล้วพูดต่อ ใบหน้าของโอวหยางเฉิงกับนักปรุงยาเฉินเสี่ยวจึงซีดเผือดเหมือนผี
โดยเฉพาะฝ่ายหลัง ร่างของเขากระตุกอย่างแรงราวกับเส้นเลือดในสมองจะแตก เขาอดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป ทรุดร่างลงคุกเข่ากับพื้น “ปรมาจารย์หยาง…ช่วยชีวิตผมด้วย…ผมขอร้องท่าน ได้โปรดช่วยชีวิตผมด้วย…”
นักปรุงยาเฉินเสี่ยวกลัวจนแทบบ้า
ไม่มีใครรู้ว่าเขาได้หม้อปรุงยามาจากเพื่อนที่ตายไปแล้ว แม้จางเซวียนก็ยังพูดแค่ว่าเขารับสิ่งของมีค่ามาจากคนตาย แต่ก็ไม่รู้ชัดว่ามันคืออะไร แต่ปรมาจารย์คนนี้แทบไม่ได้มองอะไรเลยแต่ก็พูดออกมาได้ทันที
ท่านเป็นเทพเจ้าหรือเปล่า?
ถ้าไม่ใช่…แล้วท่านรู้ได้อย่างไร…
“ที่ปรมาจารย์หยางพูดเป็นความจริงหรือไม่?” แม้โอวหยางเฉิงจะไม่รู้ว่านักปรุงยาเฉินเสี่ยวถูกรังสีมรณะคุกคาม แต่ดูทีท่าของเขาตอนนี้แล้ว สิ่งที่ปรมาจารย์พูดก็น่าจะเป็นความจริง
เขาทั้งงงงันและยำเกรงในตัวอีกฝ่าย
แค่มองปราดเดียว ไม่พูดไม่ถามอะไรเลย แต่สามารถบอกได้ทั้งอาการป่วยและสาเหตุ…เหลือเชื่ออะไรเช่นนั้น!
“เอ่อ…”
เห็นสีหน้าอับจนหนทางของประธานโอวหยางกับนักปรุงยาเฉินเสี่ยว
จางเซวียนพลันนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้เขาคือปรมาจารย์หยางชวน และเขาไม่รู้จักทั้งคู่ จึงกระแอมให้คอโล่งก่อนจะทำลายบรรยากาศอิหลักอิเหลื่อตรงหน้า “รักษาชีวิตคุณน่ะไม่ยากหรอก
อย่างแรก นำหม้อใบนั้นไปฝังรวมกับศพเพื่อนของคุณเสีย แล้วไปทำตามสัญญาที่เขาฝากฝังกับคุณไว้ก่อนตายด้วย…สุดท้ายคือ ต้องกินยาที่ให้พลังงานสูงเพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกายของคุณไปอีกครึ่งปี”
อันที่จริงปัญหาของเขาไม่ได้ยากเย็นอะไร เขาถูกสาปโดยเพื่อนเก่า แต่หากเขาทำตามสัญญาและอยู่ให้ห่างจากหม้อใบนั้น แรงสาปแช่งก็จะค่อยๆอ่อนกำลังลง และเมื่อเวลาผ่านไป เขาก็จะค่อยๆฟื้นตัวได้เหมือนเดิม
“ปรมาจารย์หยาง ขอบคุณสำหรับคำชี้แนะ!”
เมื่อรู้ว่ายังมีหวัง นักปรุงยาเฉินเสี่ยวรีบคำนับ วินาทีนี้ เขาไม่หลงเหลือความคลางแคลงในตัวอีกฝ่ายอีกต่อไป ทั้งคู่เอ่ยคำลา แม้จะเดินออกจากประตูใหญ่มาแล้ว นักปรุงยาเฉินเสี่ยวก็ยังรู้สึกเหมือนอยู่ในความฝัน
ปัญหาที่ทำให้เขาเกรี้ยวกราดและสิ้นหวังมาหลายวัน ถึงกับสั่งลูกหลานให้ขายทรัพย์สมบัติและย้ายไปนอกเมือง…ได้รับการคลี่คลายในช่วงเวลาสั้นนิดเดียว
“ไม่มีอะไรต้องคิดมาก คำพูดของปรมาจารย์คือทองคำ แม้เขาจะพูดง่ายๆ แต่ความสามารถในการแก้ปัญหานั้นไร้เทียมทาน!”
เห็นสายตางงงันของอีกฝ่าย โอวหยางเฉิงต้องเหลียวหลังไปมองด้วยความชื่นชมก่อนจะออกปากยกย่องเช่นกัน
เรื่องที่นักปรุงยาเฉินเสี่ยวกับประธานโอวหยางเฉิงเข้าไปในคฤหาสน์แล้วกลับออกมากลายเป็นประเด็นร้อนที่คนใหญ่คนโตในเมืองพากันสนใจ
“สองคนนั้นเข้าไปแค่ห้านาทีก็กลับออกมาแล้ว หรือว่าปัญหาของพวกเขาจะไม่มีทางแก้? ช่วยกันดูหน่อยเถอะ ฉันอยากรู้ว่าปัญหาชนิดไหนกันที่นักปรุงยาอู้ฟู่พวกนั้นถึงกับจะต้องนำมาปรึกษาปรมาจารย์?”
“เธอบอกว่า…นักปรุงยาเฉินเสี่ยวน่ะถึงกับตระเตรียมงานศพ ขายทรัพย์สมบัติ ถึงกับทำพินัยกรรมแล้วด้วย…แต่หลังจากได้พบปรมาจารย์หยาง เขาก็เปลี่ยนเสื้อผ้าจากสีขาวเป็นสีแดง แถมเฉลิมฉลองอีกต่างหาก ทำราวกับว่าเหตุวิกฤติได้ผ่านพ้นไปแล้วอย่างนั้นแหละ!”
“เขาป่วยหนัก พร้อมจะตายได้ทุกขณะ แต่เพียงแค่ห้านาทีที่ได้พบปรมาจารย์
หยาง อาการป่วยก็หาย…”
“ดูเหมือนเราจะผิดกันหมด ปรมาจารย์หยางมีความสามารถขนาดนี้ เขาจะเป็นแค่ปรมาจารย์ระดับ 1 ดาวแน่หรือ?”
“หรือจะเป็นปรมาจารย์ขั้นสูงกว่านั้น?”
ทั้งเมืองต่างตกตะลึงเมื่อข่าวแพร่สะพัดออกไป
วันนี้ ชื่อของหยางชวนลือกระฉ่อนไปทั่วทั้งเมืองราวกับนามกรสมมุติเทพ!