ตอนที่ 157 งานประชันภาพวาด
เมื่อชื่อเสียงขจรขจายออกไป จางเซวียนในคราบของ ‘ปรมาจารย์หยางชวน’ กลับมีเวลาพักผ่อนมากกว่าเดิม
แม้ในเมืองหลวงจะมีคนร่ำรวยอยู่มาก แต่ก็มีไม่กี่คนที่สามารถโปรยเงินสามล้านได้โดยไม่คิดอะไร เมื่อพิจารณาแล้ว หากไม่ได้มีปัญหาร้ายแรงจนเกินกำลังตัวเอง พวกเขาก็ไม่กล้ามารบกวนการพักผ่อนของปรมาจารย์
เมื่อประธานโอวหยางกับนักปรุงยาเฉินเสี่ยวกลับไป ลานบ้านก็เงียบสงบอีกครั้ง
หลังจากได้พักผ่อนตลอดทั้งบ่ายและเห็นว่าไม่มีใครมา จางเซวียนก็ถอดคราบและกลับไปที่โรงเรียน
“อาจารย์ คุณหวงหวี่มาขอพบ เธอรออยู่ในห้องเรียน…”
ยังไม่ทันถึงห้องเรียน หยวนเทาก็ออกมารับหน้า
“เธอมีเรื่องอะไรกับผม?”
จางเซวียนงุนงง แต่ก็รู้ว่าไม่มีทางที่หยวนเทาจะไขข้อข้องใจให้ได้ เขาเดินเข้าห้องเรียนโดยไม่ถามอะไรมาก ตามคาด เขาเห็นหวงหวี่อยู่ในห้อง ยืนรออย่างนิ่งสงบราวกับภาพวาด
เหตุผลที่เธอได้มาเป็นผู้ช่วยอาจารย์นั้นไม่ใช่เพราะเป็นลูกสาวของประธานสมาคมอาจารย์ แต่เป็นเพราะเธอมีบุคลิกอ่อนโยนนุ่มนวลในแบบที่ทำให้ใครต่อใครประทับใจ
แน่นอนว่าหนุ่มๆในห้องต่างก็เหลือบมองเธอบ่อยๆโดยไม่รู้ตัว เล่นเอาจ้าวหย่าโมโหจนแทบจะฆ่าใครสักคน
หวังหยิ่งกับฉันคงไม่ดีพอสินะ ทำไมตอนเรียนฉันไม่เคยเห็นพวกนายมองเราแบบนี้เลย?
บ้าชะมัด!
“อาจารย์จาง!”
ไม่รู้เรื่องรู้ราวกับความคิดของสาวน้อย หวงหวี่รีบเดินเข้าไปหาจางเซวียน
“คุณหนูหวงมาหาผม มีเรื่องด่วนหรือเปล่า?” จางเซวียนถาม
“ปรมาจารย์ลู่ขอเชิญคุณ” หวงหวี่ประสานมือคารวะ
“เป็นไปได้หรือไม่… ว่าเขาจะพาผมไปหอสมุดพระราชวัง?” จางเซวียนนัยน์ตาเป็นประกาย
ก่อนหน้านี้ลู่เฉินได้ให้สัญญาว่าจะพาเขาไปหอสมุดพระราชวังเพื่อค้นหาเคล็ดวิชาของวรยุทธขั้นพี่เชวี่ย แต่ในเวลานั้นฮ่องเต้เซินจุยไม่อยู่ เรื่องนี้จึงต้องถูกเลื่อนไปก่อน แต่นี่เขาถึงกับส่งหวงหวี่มาพบ ก็น่าจะมีอะไรพิเศษ
“เอ่อ…ไม่ใช่หรอก” หวงหวี่ดูจะลำบากใจเล็กน้อย “ปรมาจารย์ลู่จะจัดงานประชันภาพวาดระหว่างฉันกับไป๋ซวิน เขาจึงอยากเชิญคุณไปเป็นกรรมการ”
“กรรมการ?” จางเซวียนอึ้ง
ทั้งหวงหวี่และไป๋ซวินอยากได้ภาพวาดดอกลิลลี่ของปรมาจารย์ลู่เฉิน เขาจึงประกาศว่าผู้ใดที่พิสูจน์ได้ว่าตนเองมีความรู้เรื่องศิลปะการวาดภาพมากกว่าจะได้รับภาพวาดนั้นไป ด้วยเหตุนี้ ทั้งคู่จึงมาขอพบจางเซวียนตั้งแต่สองสามวันที่แล้วเพื่อขอคำชี้แนะ
ซึ่งก็นั่นแหละ จางเซวียนจะไปรู้อะไรเกี่ยวกับการวาดภาพ
เขาก็ให้แค่คำแนะนำทั่วๆไปเท่านั้น ไม่นึกว่าทั้งคู่จะถือเอาคำพูดของเขาเป็นจริงเป็นจังและศึกษาค้นคว้ากันอย่างหนัก และครั้งนี้ก็เป็นการประชันรอบสุดท้าย
“ใช่ ปรมาจารย์ลู่เฉินทราบดีว่าคุณมีความรู้เรื่องภาพวาดอย่างลึกซึ้ง จึงคิดว่าคุณสามารถให้คำตัดสินที่เที่ยงธรรมที่สุดได้ เขาให้ฉันแจ้งคุณว่าค่าใช้จ่ายเท่าไรก็ไม่เกี่ยง…” หวงหวี่พูด
จางเซวียนหน้านิ่ว
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพู่กันมีกี่ชนิด ป่วยการจะพูดถึงคำตัดสินอันเที่ยงธรรม…ปรมาจารย์ลู่เฉินนี่อวยเขามากไปเสียแล้ว
แต่ฝ่ายนั้นก็ช่วยเหลือเขาหลายอย่าง และเขาก็ยังมีความหวังว่าจะได้เข้าหอสมุดพระราชวัง เพราะฉะนั้น การปฏิเสธคำเชิญครั้งนี้น่าจะไม่งาม
อีกอย่าง หวงหวี่ก็ได้ช่วยเหลือเขาไว้มากในการแก้ปัญหาเรื่องแบบทดสอบความประสงค์
“ก็ถ้าคุณไม่ถือเรื่องที่ผมอาจพล่ามอะไรไม่เข้าท่า ผมก็ยินดี แล้วจะเริ่มเมื่อไร?” จางเซวียนพยักหน้ารับคำเชิญ
“ตอนแรก เราตั้งใจจะเริ่มกันตอนเที่ยงวัน แต่คุณไม่อยู่…แต่ถ้าเรากันไปเดี๋ยวนี้ ก็ยังเริ่มทันนะ” หวงหวี่ตอบ
“เที่ยงเหรอ?” จางเซวียนชะงัก
เขาตื่นมาก็สายตะวันโด่งแล้ว แถมยังอืดอาดยืดยาดอีกนานกว่าจะออกจากคฤหาสน์ ก็น่าจะเลยเที่ยง…มันเรื่องอะไรถึงรีบจัดงานขนาดนี้?
“ใช่” หวงหวี่พยักหน้า
“ก็ตามนั้น!” ในเมื่อเห็นชัดว่าอีกฝ่ายตั้งใจมาพาตัวเขาไปด้วย จะปฏิเสธก็คงไม่มีประโยชน์ จึงสั่งงานลูกศิษย์ก่อนจะออกจากโรงเรียนไปพร้อมกับเธอ
“ผมรู้ว่าศิลปะการวาดภาพนั้นร่ำเรียนกันยาก และคงไม่ง่ายนักที่จะประเมินมาตรฐานของคุณ”
ระหว่างทาง จางเซวียนออกความเห็นอย่างใคร่รู้
เขาไม่เคยได้ยินเรื่องการประชันภาพวาด เรื่องกฎระเบียบของมันยิ่งไม่ต้องพูดถึง
แต่ปรมาจารย์ลู่เฉินคงไม่นำภาพวาดของเธอกับไป๋ซวินมาให้คะแนนพร้อมกันหรอก
หวงหวี่เกิดในครอบครัวอาจารย์และตัวเธอก็เป็นผู้ช่วยปรมาจารย์ แม้จะไม่เคยเรียนศิลปะการวาดภาพอย่างจริงจังมาก่อน แต่เธอก็น่าจะมีทักษะระดับหนึ่ง ส่วนไป๋ซวิน…มันก็น่าจะยากสำหรับชายหนุ่มที่รู้แต่เรื่องศิลปะการต่อสู้ ที่จะมาทำความเข้าใจการวาดภาพ
“การประชันครั้งนี้จัดโดยปรมาจารย์ลู่เฉินกับปรมาจารย์หยวนหยู่ ไป๋ซวินกับฉันก็เพิ่งรู้จากท่านนี่แหละ เราก็เลยไม่รู้รายละเอียดว่างานจะเป็นอย่างไร” หวงหวี่ส่ายหน้า
“ปรมาจารย์หยวนหยู่?” จางเซวียนงง
เขาเป็นนายแพทย์ผู้โด่งดังในเมืองหลวงมิใช่หรือ? แล้วมาเกี่ยวอะไรกับงานนี้?
“ปรมาจารย์หยวนหยู่มิได้เป็นแค่นายแพทย์นะ เขายังเก่งกาจในการวาดภาพด้วย ขนาดปรมาจารย์ลู่เฉินก็ยังยกย่อง เขาวาดภาพแม่น้ำคานารี แม่น้ำนั้นก็มีชีวิต ดูราวกับน้ำไหลจริงๆ ตอนที่เขาวาดภาพในเรือ ภาพนั้นก็ดึงดูดให้นกมาร้องจุ๊กจิ๊กเซ็งแซ่กันไปหมด กลายเป็นตำนานของเมืองนี้เลยล่ะ” นัยน์ตาของหวงหวี่เป็นประกายด้วยความชื่นชม
เขาน่าทึ่งขนาดนั้นเลยหรือ? จางเซวียนครุ่นคิด
เขาได้ยินชื่อของปรมาจารย์หยวนหยู่จากหวังหยิ่งในวันที่เขารับเธอเป็นลูกศิษย์ ซึ่งก็คิดตลอดมาว่าฝ่ายนั้นเป็นแค่นายแพทย์ ไม่คิดว่านายแพทย์ผู้โด่งดังจะเป็นจิตรกรด้วย
ขนาดวาดภาพแล้วดึงดูดนกจริงๆมาได้ ทักษะการวาดภาพของเขาจะต้องสูสีกับปรมาจารย์ลู่เฉินแน่
“อันที่จริงปรมาจารย์ลู่เฉินเชิญเขามา ท่านบอกว่าถ้ามีผู้ตัดสินสามคน น่าจะประเมินได้ยุติธรรมกว่า”
จางเซวียนพยักหน้า
ก็ในเมื่อมีปรมาจารย์ด้านการวาดภาพตัวจริงตั้งสองคน เขาเป็นตัวเสริมเท่านั้น ถึงเวลาก็แค่ตามน้ำไป เมื่อคิดได้ ความกังวลก็ลดลง
เหตุผลเดียวที่เขาอยากทำให้ปรมาจารย์ลู่ประทับใจก็เพื่อหอสมุดเท่านั้น ด้วยความที่เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับภาพวาดเลย จึงต้องระมัดระวังให้ดีที่จะไม่พูดอะไรอย่างคนเซ่อซ่าออกไป
ไม่นานทั้งคู่ก็มาถึงบ้านของปรมาจารย์ลู่เฉิน
ยังไม่ทันเข้าบ้าน ลุงเฉิงพ่อบ้านก็เดินมาเร่ง “ปรมาจารย์จาง หวงหวี่ เหตุใดจึงมาถึงเอาป่านนี้? ปรมาจารย์หยวนหยู่บอกว่าเขาต้องไปเยี่ยมไข้ต่อตอนบ่าย เขารอแทบไม่ไหวแล้ว”
“ผมออกไปข้างนอก ทำให้หวงหวี่ต้องรอนาน” จางเซวียนเอ่ยอย่างรู้สึกผิดเล็กน้อย
ฝ่ายนั้นตั้งใจจะจัดงานตอนเที่ยง แต่สองสามวันนี้จางเซวียนไม่ค่อยได้อยู่ที่โรงเรียน จึงยากที่จะตามตัวเขา ด้วยเหตุนี้ทั้งคู่จึงมาช้า
“เชิญข้างในเถิด!” เมื่อได้ยินเขาอธิบาย ลุงเฉิงก็ไม่พูดต่อให้มากความ เขาเชิญทั้งคู่เข้าไปข้างในทันที
หลังจากมีคฤหาสน์เป็นของตัวเอง ความรู้สึกของจางเซวียนเมื่อได้กลับมาที่นี่อีกครั้งก็ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
แม้การออกแบบจะเรียบง่าย แต่รายละเอียดนั้นวิจิตรงดงามนัก ห่างไกลจากคฤหาสน์ของเขาอย่างไม่อาจเทียบกันได้
ซึ่งก็แน่นอนว่า ถ้าปรมาจารย์ตัวจริงเป็นผู้ปรับปรุงตกแต่งคฤหาสน์ของเขา มันจะไม่มีทางออกมาอย่างที่เป็นอยู่ สุนทรียะแบบพ่อค้านั้นไม่อาจเทียบได้กับรสนิยมของจิตรกรระดับปรมาจารย์อย่างแน่นอน
ทั้งคู่เดินตามลุงเฉิงไป ไม่นานก็ถึงห้องนั่งเล่น จางเซวียนกวาดสายตาไปทั่วห้อง เห็นปรมาจารย์ลู่เฉินกับอีกคนหนึ่งซึ่งอาวุโสกว่านั่งจิบชาอยู่ตรงข้ามกัน ไป๋ซวินผู้โอหังซุกตัวอยู่อีกมุมหนึ่ง มองไปรอบๆอย่างกระวนกระวาย เมื่อเห็นจางเซวียนกับหวงหวี่ เขามีสีหน้ายินดีปรากฏชัดและกระวีกระวาดมาต้อนรับ
“ปรมาจารย์จาง คุณมาถึงนี่…”
จางเซวียนพยักหน้ารับและหันไปสนใจปรมาจารย์หยวนหยู่ผู้โด่งดัง
เขาน่าจะมีอายุราวหกสิบถึงเจ็ดสิบปี มีเคราขาวราวหิมะ แม้จะไม่ใช่คนหนุ่มแต่นัยน์ตาของเขายังคงสุกใสเป็นประกาย ให้ความรู้สึกว่ามีรังสีของพลังแผ่ออกมา นอกจากจะยังแข็งแรงกระฉับกระเฉงแม้วัยล่วงเลย อีกทั้งเขาก็ยังมีชื่อเสียงในฐานะนายแพทย์ผู้โด่งดังอีกด้วย
“น้องชาย มาถึงแล้วหรือ” ปรมาจารย์ลู่เฉินยืนขึ้นพร้อมรอยยิ้ม
“ปรมาจารย์ลู่เฉิน!” จางเซวียนคารวะ
“มาเถิด ให้ผมแนะนำปรมาจารย์หยวนหยู่ เขาเป็นเพื่อนรักของผม เหมือนกับที่เป็นจิตรกรตัวฉกาจ!” ลู่เฉินแนะนำแต่ละคนอย่างสดชื่น “หยวนหยู่ นี่คือน้องจางเซวียน ที่ผมเคยเล่าให้คุณฟังนั่นแหละ ถึงจะยังหนุ่ม แต่เรื่องวาดภาพน่ะไม่เป็นรองคุณกับผมแน่”
“ปรมาจารย์ใจกว้างเกินไปแล้ว ผมแค่…พูด…เอ่อ…แค่เรียนมานิดหน่อยเท่านั้น” จางเซวียนรีบพูด
แม้เขาจะมองเห็นข้อบกพร่องในภาพวาดของปรมาจารย์ลู่ แต่ก็เป็นเพราะเจ้าเครื่องมือขี้โกงที่เขาครอบครองอยู่ ถ้าพยายามจะใช้สมองตัวเองล่ะก็ ต่อให้สามปีผ่านไปก็คงยังจับต้นชนปลายไม่ได้อยู่ดี
“ความรู้และทักษะนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุ ผู้ที่เชี่ยวชาญอย่างแท้จริงเท่านั้นจึงจะได้ชื่อว่าเป็นปรมาจารย์ ในเมื่อคุณสามารถวิพากษ์ภาพวาดฤดูร้อน-ฤดูใบไม้ร่วง และภาพวาดพยัคฆ์แดงคำรามถึงสวรรค์ของลู่เฉินได้ แถมยังระบุสิ่งผิดปกติได้อีกด้วย ทุกวันนี้เราขาดแคลนคนรุ่นใหม่อย่างคุณยิ่งนัก” ปรมาจารย์หยวนหยู่พูด
เสียงของเขาสุขุมและแจ่มชัด ให้ความรู้สึกอบอุ่นกับผู้ได้ฟัง
ดูเหมือนว่าเขาได้ฟังเรื่องราวของจางเซวียนจากปากลู่เฉินมาแล้ว นัยน์ตาดำสนิทของเขาประเมินจางเซวียนอย่างใคร่รู้
“ผมไม่คู่ควรกับคำชมของคุณเลย…” จางเซวียนคารวะอีกครั้ง
เขาเพิ่งจะรู้ชื่อของภาพวาดทั้งสองภาพก็ตอนนี้เอง
ถ้าลู่เฉินกับหยวนหยู่ล่วงรู้ความคิดของเขาล่ะก็ มีหวังกระอักเลือดแน่
จิตรกรมักทิ้งชื่อ ทำเครื่องหมาย หรือเขียนถ้อยคำไว้บนภาพวาด เพื่อให้ชื่อของตัวเองถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์
เขาเคยเห็นชื่อพวกนั้นแล้ว แต่มันถูกเขียนด้วยอักษรรูปแบบเฉพาะตัวของจิตรกร ซึ่งคงจะไม่ต้องพูดว่าหวัดขนาดไหน ทำให้จางเซวียนไม่อาจรู้ได้ว่าใครเป็นใคร
เขาอ่านคำพวกนั้นไม่ออก แถมยังไม่รู้แม้แต่ชื่อของภาพเขียน…การเรียกเขาว่าปรมาจารย์ด้วยมาตรฐานที่เขามีเพียงเท่านี้…ดูออกจะหน้าหนาไปสักหน่อยที่จะยอมรับ…
แต่แน่นอนว่าเมื่อเขาสัมผัสภาพวาด หอสมุดเทียบฟ้าก็บันทึกชื่อของภาพวาดเหล่านั้นลงในหนังสือ ดังนั้น แม้จะไม่รู้ชื่อ แต่เขาก็ไม่ใส่ใจ
พวกเขาพูดคุยหยอกล้อกัน
ปรมาจารย์หยวนหยู่นั้นเข้ากับคนได้ง่าย คนทั่วไปมักดูถูกจางเซวียนเพราะความอ่อนวัยของเขา แต่นอกจากปรมาจารย์หยวนหยู่จะไม่ทำเช่นนั้นแล้ว เขายังชื่นชมยกย่องอีกด้วย
“เอาล่ะ ในเมื่อทุกคนอยู่พร้อมหน้าแล้ว เริ่มกันเลย!” ปรมาจารย์ลู่เฉินลูบเครา
“ได้!” หวงหวี่และไป๋ซวินพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน
“มีภาพวาดดอกลิลลี่ซึ่งวาดด้วยหมึกบนผ้าใบอยู่ภาพเดียว และผมก็ให้พวกคุณได้เพียงคนเดียว ดังนั้นผมจึงจัดการประชันนี้ขึ้นมา อย่างแรก ผมไม่ต้องการให้ภาพนี้ตกไปอยู่ในมือของผู้ที่ไม่สนใจการวาดภาพ อย่างที่สอง ผมหวังว่าคุณสองคนจะขจัดความหุนหันพลันแล่นและความหลงตัวเองออกไปก่อน โดยเฉพาะไป๋ซวิน” ปรมาจารย์เฉินพูดกับทั้งคู่อย่างสุขุม
แม้เขาจะรักภาพวาดดอกลิลลี่นี้มาก แต่ก็ตั้งใจจะมอบมันให้คนรุ่นหลัง เหตุผลที่เขาจัดการประชันครั้งนี้ขึ้นมาก็เพื่อให้ทั้งคู่ได้เรียนรู้และเข้าใจภาพวาดอย่างใกล้ชิดขึ้น
เขาอุทิศตัวให้กับการวาดภาพมาทั้งชีวิตตั้งแต่ยังเยาว์วัย เมื่อเห็นว่าไม่มีใครที่มีคุณสมบัติพอจะเป็นผู้สืบทอดก็ออกจะไม่สบายใจ พอหวงหวี่กับไป๋ซวินมาขอภาพวาด เขาจึงใช้โอกาสนี้ตั้งกฏเกณฑ์ให้ทั้งคู่เรียนรู้มัน ด้วยการกระทำเช่นนี้ ศิลปะการวาดภาพก็จะงอกงามไปทั่วทั้งอาณาจักรเทียนเซวียนได้
แต่สิ่งนี้ก็ส่งผลกระทบต่อนิสัยของไป๋ซวิน เขาเป็นคนอารมณ์ร้อนและชอบแก้ปัญหาด้วยการใช้กำลัง การเรียนศิลปะการวาดภาพจะช่วยให้เขาใจเย็นลงและควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น หากยังหุนหันพลันแล่นอยู่เช่นนี้ เขาจะสืบทอดตำแหน่งของบิดาและปกป้องชายแดนทิศเหนือในนามของราชวงศ์ได้อย่างไร?