ตอนที่ 175 รวยไม่รู้เรื่อง
ในฐานะองครักษ์ของปรมาจารย์ เขารู้ตำแหน่งหน้าที่และความมีเกียรติของทั้งสามปรมาจารย์ในอาณาจักรแห่งนี้เป็นอย่างดี ดังนั้น เมื่อเห็นทั้งสามปรากฏตัวหน้าคฤหาสน์โดยมีเพียงพ่อบ้านเดินมาส่งที่ประตู…และเจ้า ‘คนหลอกลวง’ นั้นไม่แม้แต่จะโผล่หน้าออกมา!
เอาจริงดิ?
ท่านมาเพื่อเปิดโปงคนจอมปลอมผู้นั้นมิใช่หรือ?
แต่นี่กลับพะเน้าพะนอพ่อบ้าน ยัดเยียดของขวัญใส่มือเขา…ถึงกับเรียกเจ้านั่นว่า ‘พี่ซุน’ ด้วย มันเกิดอะไรขึ้น?
อาหยินรู้สึกว่าเขาทำพลาด พลาดอย่างรุนแรง
เป็นไปได้ไหมว่าหยางชวนคือปรมาจารย์ตัวจริง?
เมื่อครู่นี้เอง เขาเพิ่งประกาศอย่างมั่นใจว่าทั้งสามปรมาจารย์เข้าไปในคฤหาสน์เพื่อเปิดโปงความจอมปลอมของหยางชวน แต่เมื่อเห็นสถานการณ์ตรงหน้าก็ถึงกับเซ่อไป
ก็ท่านบอกเองว่าเขาเป็น 18 มงกุฎมิใช่หรือ? แล้วเหตุใดจึงปฏิบัติต่อพ่อบ้านของเขาด้วยความเคารพเช่นนั้น?
ถึงกับเรียกว่าพี่ซุนนี่นะ?
ท่านหลิว ท่านก็อายุหกสิบกว่าแล้ว เจ้าซุนฉางนั่นยังไม่สี่สิบเสียด้วยซ้ำ แต่ท่านเรียกเขาว่าพี่ซุน…
หืย…น่าขนลุกอ่ะ
“โชคดีนะที่เราไม่ได้ฟังคำพูดของเขา มิเช่นนั้นจะต้องเสียใจไปชั่วชีวิต!”
“ที่จริงเขาไม่รู้อะไรเลย แต่พยายามแสร้งทำเป็นรู้…”
“เปิดโปง 18 มงกุฎหรือ? ใครเคยเห็นการเปิดโปง 18 มงกุฎแบบนี้บ้าง? ปฏิบัติตัวต่อพ่อบ้านด้วยความเคารพทั้งๆที่เจ้านายของเขาก็ไม่อยู่นี่นะ?”
ทันทีที่ฝูงชนหายจากอาการตกตะลึง ก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์อาหยินอย่างรุนแรง
บรรดาผู้คนที่มาเข้าแถวรอหน้าประตูคฤหาสน์ของปรมาจารย์หยางนั้นต่างเป็นผู้ทรงเกียรติและมีชื่อเสียงของอาณาจักรเทียนเซวียน พวกเขาอาจกลัวเกรงปรมาจารย์หลิว แต่ไม่ใช่กับอาหยิน
ตอนที่อาหยินยืนยันด้วยความมั่นใจก่อนหน้านี้ ทุกคนเชื่อเขาในทันที แต่ตอนนี้ต่างรู้ตัวแล้วว่าช่างโง่เขลานักที่หลงเชื่อเขาอย่างง่ายดาย
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น อาหยินเดือดดาลจนร่างสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้ เจ็บช้ำยิ่งนัก
พวกคุณถามผม ผมก็ตอบตามตรง…กลับมาทำกับผมเช่นนี้…ถ้ารู้อย่างนี้ล่ะก็ ผมจะไม่พูดอะไรเลย…
“ฝ่าบาทต้องการให้กระหม่อมช่วยเชื้อพระวงศ์อาวุโสฝ่าด่านวรยุทธหรือ?”
จางเซวียนสอบถามฮ่องเต้เซินจุยซึ่งยังมีสีหน้าหวาดระแวง
หลังจากช่วยจวงเชียนฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จแล้ว หลิวหลิงกับเจิงเฟยก็หมดความเคลือบแคลงในตัวเขาอย่างสิ้นเชิง ทั้งยังถามอีกสองสามคำถามเรื่องการฝึกวรยุทธ ด้วยการอ่านหนังสือในหอสมุดพระราชวัง ทำให้จางเซวียนมีความรู้มหาศาลอย่างเหลือเชื่อ เมื่อประกอบกับความสามารถในการชี้ข้อบกพร่องของหอสมุดเทียบฟ้า เขาก็สามารถตอบคำถามด้วยคำเพียงสองสามคำที่ทำให้ทั้งคู่ถึงกับอึ้ง
หลังจากให้คำปรึกษาเป็นระยะเวลาสั้นๆ ทั้งสามก็ยืนขึ้นและลากลับ ในระหว่างนั้นฮ่องเต้เซินจุยยังประทับอยู่
ฮ่องเต้เสด็จมาด้วยเหตุของเชื้อพระวงศ์อาวุโส เมื่อสามปรมาจารย์ออกไปแล้วจึงได้โอกาสพูด
“ใช่” ฮ่องเต้เซินจุยมองจางเซวียนด้วยความคาดหวังเต็มเปี่ยม ถ้าอาณาจักรเทียนเซวียนไม่มีเชื้อพระวงศ์อาวุโสท่านนั้นคอยปกป้อง ไม่นานจะต้องล่มสลายแน่
หลักการที่ว่าผู้อยู่รอดคือผู้ที่เก่งที่สุดนั้นมิได้เป็นวลีที่จำกัดอยู่แต่โลกของนักรบ บรรดาอาณาจักรและประเทศต่างๆก็เป็นไปตามกฎนี้เช่นกัน
“กระหม่อมแวะมาพักผ่อนที่อาณาจักรเทียนเซวียนเท่านั้น ไม่ปรารถนาจะเข้าไปพัวพันกับเรื่องยุ่งยากเช่นนี้…” จางเซวียนส่ายหน้า
ใช่ว่าเขาไม่อยากช่วย แต่เรื่องของเรื่องก็คือ…เชื้อพระวงศ์อาวุโสนั้นสำเร็จวรยุทธขั้นกึ่งจงซรือแล้ว ถ้าเขาฝ่าด่านวรยุทธไปได้ก็จะสำเร็จจงซรือเต็มขั้น ในเมื่อตัวจางเซวียนเองยังไปไม่ถึงแม้วรยุทธขั้นทงฉวน การที่เขาช่วยให้จวงเชียนฝ่าด่านวรยุทธไปถึงขั้นกึ่งจงซรือได้ก็ถือว่าโชคช่วยอย่างหนักแล้ว เขาไม่อยากทำอะไรที่เสี่ยงต่อการถูกเปิดโปงอีก
“เราขออ้อนวอนปรมาจารย์หยาง อาณาจักรเทียนเซวียนพร้อมจะตอบแทนทุกสิ่งที่ท่านต้องการ หากท่านยอมช่วย…” ฮ่องเต้เซินจุยรีบทรุดตัวลงคุกเข่าเมื่อได้ยินคำปฏิเสธ
พระองค์ได้ใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อเชิญทั้งสามปรมาจารย์มา เพียงเพื่อจะพบว่าพวกเขาช่วยอะไรไม่ได้ บัดนี้ปรมาจารย์หยางคือความหวังเพียงหนึ่งเดียว หากอีกฝ่ายไม่ยื่นมือเข้าช่วย เชื้อพระวงศ์อาวุโสจะต้องมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานอย่างแน่นอน
“ทรงคิดว่ากระหม่อมขาดแคลนสิ่งใดหรือ?” จางเซวียนหรี่ตา
“เราไม่กล้าคิดเช่นนั้น…” ฮ่องเต้เซินจุยถึงกับอึ้ง
ทรงรู้สึกได้ทันใดว่าคำพูดของพระองค์ช่างน่าหัวเราะ อีกฝ่ายเป็นถึงปรมาจารย์ที่มีความสามารถมากกว่าปรมาจารย์หลิวและคนอื่นๆ หากเขาต้องการสิ่งใด เพียงเอ่ยคำเดียวผู้คนนับไม่ถ้วนก็จะกรูกันเข้ามาสนองความต้องการให้ แล้วอาณาจักรกระจ้อยร่อยอย่างเทียนเซวียนจะมีสิ่งใดให้เขาสนใจกันเล่า?
“ถ้าเช่นนั้น ขอฝ่าบาทโปรดรวบรวมหนังสือเกี่ยวกับวรยุทธขั้น 7 – ทงฉวนมา ไม่สำคัญว่าจะเป็นหนังสือมีค่าหรือไม่ เมื่อทรงรวบรวมได้หนึ่งพันเล่มแล้ว กระหม่อมจะหาทางชี้แนะเชื้อพระวงศ์อาวุโสให้” จางเซวียนพูดอย่างไม่ยินดียินร้าย
“ฮะ?” ฮ่องเต้เซินจุยผงะ
ก็ไหนบอกว่าไม่ขาดแคลนสิ่งใด? หนังสือเกี่ยวกับวรยุทธขั้นทงฉวนหรือ…ท่านหมายความว่าอย่างไรกัน?
หนึ่งพันเล่มอีกต่างหาก?
ริมฝีปากของฮ่องเต้กระตุก
วรยุทธขั้นทงฉวนเป็นวรยุทธระดับบนของอาณาจักรเทียนเซวียน มีหนังสือเกี่ยวกับมันอยู่ในพระราชวังเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่นี่ต้องการถึงหนึ่งพันเล่ม? ปรมาจารย์หยางคิดอะไรอยู่?
“ถ้าฝ่าบาททรงเห็นว่ายุ่งยาก ก็ลืมเสียเถิด…” จางเซวียนโบกมือ
“ไม่ยากเลย ปรมาจารย์หยาง ท่านวางใจเถอะ เราจะจัดการให้สำเร็จตามนั้นภายในห้าวัน…” ฮ่องเต้เซินจุยขบกรามและตอบตกลง
นี่เป็นเพียงทางเลือกเดียว ถ้าทรงพลาดไปคงจะต้องเสียใจไปชั่วชีวิต
“ดี!” จางเซวียนหลับตา และไม่พูดอะไรอีก
เมื่อเข้าใจกันแล้ว ฮ่องเต้เซินจุยก็เสด็จออกมา
เมื่อฮ่องเต้ลับตาไป จางเซวียนก็ลืมตา
เขาไม่คิดว่าปัญหาในการรวบรวมหนังสือวรยุทธขั้นทงฉวนซึ่งทำให้เขาปวดหัวมานาน จะคลี่คลายได้ง่ายเช่นนี้
ด้วยความสามารถของเขา การเสาะหาหนังสือวรยุทธขั้นทงฉวนเพียงหนึ่งหรือสองเล่มไม่ใช่ปัญหา แต่จะให้ได้ถึงหนึ่งพันเล่มนั้นคงแทบเป็นไปไม่ได้ แต่เรื่องนี้อาจไม่ใช่ปัญหาของฮ่องเต้เซินจุย ในฐานะประมุขแห่งอาณาจักร การรวบรวมหนังสือเกี่ยวกับวรยุทธขั้นทงฉวนจำนวนมากขนาดนั้นย่อมเป็นเรื่องง่าย
ที่สำคัญกว่านั้นคือเขาไม่ได้ระบุคุณภาพด้วย ต้องการแต่ปริมาณเท่านั้น
เพราะเขาไม่ต้องการวิชาลับที่เป็นมรดกตกทอดกันในครอบครัว ต้องการเพียงแค่จำนวนหนังสือธรรมดาๆที่มากพอ
“นายท่าน…” ซุนฉางเดินเข้ามา
“สองสามวันมานี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง? ผู้คนข้างนอกทำอะไรกันอยู่?”
เขาต้องใคร่ครวญเรื่องของสามปรมาจารย์และฮ่องเต้เซินจุยตั้งแต่วินาทีแรกที่เดินเข้ามาในคฤหาสน์ ดังนั้น จนกระทั่งถึงบัดนี้เขาก็ยังไม่มีโอกาสพิจารณาสถานการณ์
“เรียนนายท่าน สองสามวันที่ท่านไม่อยู่ ชื่อของท่านได้แพร่สะพัดไปไกลทั่วทั้งอาณาจักรเทียนเซวียน…”
ซุนฉางเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสองสามวันที่ผ่านมาอย่างรวบรัด จางเซวียนเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น และอดประทับใจกับพลังของคำว่าปรมาจารย์ไม่ได้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดทุกคนจึงใฝ่ฝันอยากจะเป็นปรมาจารย์
“นายท่าน นี่คือของที่ปรมาจารย์สามคนนั้นมอบให้…” ซุนฉางหยิบแหวนเก็บสมบัติออกมา
“อือ!” จางเซวียนพยักหน้า
อย่างที่คาดไว้ ก็รู้ว่าทั้งสามปรมาจารย์นั่นมั่งคั่งเพียงใด มีหรือที่จะไม่มอบสิ่งใดเป็นการตอบแทน ในเมื่อเขาได้ใช้ความพยายามในการให้คำชี้แนะไปขนาดนั้น?
หลังจากหยดเลือดลงไปบนแหวนเก็บสมบัติเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ จางเซวียนก็มองเข้าไปในแหวนและต้องตาโตในทันใด
แหวนวงนี้มีคุณภาพดีกว่าวงที่เขาครอบครองอยู่มาก
แม้ว่าทั้งสองวงจะเป็นแหวนเก็บสมบัติระดับล่าง แต่ความจุภายในแหวนเก็บสมบัติวงที่ปรมาจารย์หลิวมอบให้นั้นคือ 30 ลูกบาศก์เมตร มีความจุมากกว่าวงที่เขาสวมอยู่ถึงสิบเท่า
ถึงอย่างไรก็มีมูลค่าหลายล้าน
ทรัพย์สมบัติจำนวนมหาศาลบรรจุอยู่ในนั้น ทั้งสมุนไพรล้ำค่าและเหรียญทองกองเป็นภูเขา เมื่อกะด้วยสายตาอย่างคร่าวๆ เขาคิดว่าน่าจะมีมูลค่ามากกว่าสิบล้าน
“น่าทึ่งอะไรเช่นนี้…” มองแค่ปราดเดียว จางเซวียนก็อดถอนหายใจไม่ได้
เหล่าปรมาจารย์ช่างใจกว้างนัก เพียงแค่ของขวัญเล็กน้อยจากพวกเขาก็มีค่ามากกว่าสิบล้านแล้ว
แต่เขาก็รู้ว่านั่นคือการทอดไมตรีจากปรมาจารย์หลิวและคนอื่นๆ ถ้ามิใช่เช่นนั้น ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องตอบแทนการที่เขาชี้แนะวรยุทธให้ด้วยทรัพย์สินมากมายขนาดนี้
“เมื่อสองสามวันที่นายท่านไม่อยู่ ท่านหลิงเทียนหยู่ก็แวะมาหลายหน เขานำเงินห้าล้านมาให้ด้วย…” ซุนฉางนำเงินออกมามอบ
แม้จะรู้ว่าตัวเองมีสถานภาพสูงขึ้นแล้ว แต่เขาก็ไม่กล้ายักยอกเงินที่ผู้อื่นนำมาให้ปรมาจารย์อย่างบริสุทธิ์ใจโดยผ่านมือเขา
“นี่คือค่าผ่านประตูที่เก็บจากผู้มาขอเข้าพบเมื่อสองสามวันที่ผ่านมา ผมประมวลรายชื่อไว้แล้ว…”
ซุนฉางหยิบสมุดเล่มเล็กออกมา จางเซวียนพลิกดูผ่านๆอย่างประหลาดใจ “คนมาเยอะเหมือนกันนี่?”
“เรียนนายท่าน มีทั้งหมดยี่สิบเจ็ดคนที่มาขอเข้าพบและจ่ายค่าผ่านประตูแล้ว นี่คือเงินทั้งหมดแปดสิบเอ็ดล้าน…”
จากนั้นซุนฉางก็ส่งสัญญาณให้องครักษ์สองคนยกหีบใบหนึ่งเข้ามา ในนั้นอัดแน่นไปด้วยเงิน
“บ้าไปแล้ว…” เห็นเงินกองเท่าภูเขาอยู่ในหีบ จางเซวียนรู้สึกเหมือนจะเป็นบ้า
ตอนแรกเขาคิดว่าการหาเงินยี่สิบล้านเป็นภารกิจที่ไม่มีวันเป็นไปได้ แต่เมื่อเห็นเงินที่อยู่ตรงหน้า ก็รู้ได้ว่าเขาประเมินเกียรติภูมิของปรมาจารย์ต่ำไป
แค่เอ่ยชื่อ ยังไม่ทันต้องเห็นตัวเลย ผู้คนก็เต็มใจจะจ่ายเงินก้อนใหญ่ให้…ไม่มีอาชีพใดทำได้เช่นนี้อีกแล้ว
“ช่วยแจ้งผู้ที่จ่ายค่าผ่านประตูแล้วว่าให้มาวันพรุ่งนี้ ฉันจะแก้ปัญหาให้ทีละคน ส่วนผู้ที่ยังไม่ได้จ่าย บอกพวกเขาให้กลับไปเสีย นับจากวันนี้ฉันจะไม่รับคำขอร้องจากผู้ใดอีกแล้ว…” จางเซวียนหลับตาและนวดหว่างคิ้ว
เมื่อรับเงินของผู้อื่นมาแล้วก็ไม่อาจคืนคำได้ อีกอย่าง การต้องรับมือกับปัญหาของคนยี่สิบเจ็ดคน ก็คงเพียงพอที่จะทำให้เขามีกิจธุระยุ่งเหยิงไปอีกระยะหนึ่ง
“ได้!” ซุนฉางพยักหน้า
เมื่อนำเงินทั้งหมดที่อยู่ในหีบใส่ลงไปในแหวนเก็บสมบัติแล้ว จางเซวียนก็หยิบเงินจำนวนหนึ่งออกมาส่งให้ซุนฉาง “นี่คือรางวัลของเธอ ฉันเคยพูดไว้แล้วว่า มารับใช้ฉันแล้วฉันจะตบรางวัลให้อย่างงาม!”
หากต้องการให้ม้าพันธุ์ดีควบได้เร็ว ก็ต้องให้อาหารมันอย่างเต็มที่เสียก่อน เช่นเดียวกัน หากไม่ได้ความอุตสาหะของซุนฉางในการรับมือกับผู้มาขอพบตลอดสองสามวันที่ผ่านมา เขาคงไม่มีทางได้เงินมากขนาดนี้
อีกอย่าง ชายผู้นี้คงต้องทุกข์ทรมานกับความหวาดกลัวตลอดทั้งสองสามวันที่ผ่านมา นี่ก็เป็นเงินจำนวนเพียงเล็กน้อย ด้วยสถานภาพปรมาจารย์ เขาสามารถหาเงินได้มากเท่าที่ต้องการ
“หนึ่งล้าน…” เมื่อรู้จำนวนเงินในมือ ซุนฉางตกตะลึงและทรุดตัวลงคุกเข่าทันที
ทั้งชีวิตของเขาก็คงไม่อาจหาเงินจำนวนนี้ได้
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ไม่ว่านายท่านจะสั่งให้ทำอะไร เราจะไม่บ่นแม้แต่คำเดียว…” ซุนฉางปฏิญาณในใจ
นับตั้งแต่ติดตามรับใช้ปรมาจารย์ เขาไม่เพียงแต่จะได้ทั้งความภาคภูมิใจ ได้ทั้งเงิน แต่ยังฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จอีกด้วย ความใส่ใจและความเมตตากรุณาเช่นนี้จากปรมาจารย์เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยได้รับมาชั่วชีวิต
พูดได้ว่านายท่านได้เปิดโลกใหม่ให้กับเขา มอบชีวิตใหม่ให้เขาก็ว่าได้
“เอาล่ะ ฉันจะออกไปข้างนอกแล้ว ไปช่วยฉันรับมือกับผู้คนที่หน้าประตู!”
จางเซวียนโบกมือ
สำหรับเขา สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการหายามาปลุกสภาวะพิเศษของ
หยวนเทากับจ้าวหย่า และหลังจากนั้นคือ…นอน!
เขาเหนื่อยปางตายหลังจากไม่ได้นอนมาตลอด 5 วัน ถ้ามิได้สำเร็จวรยุทธขั้นสูงขึ้นแล้วล่ะก็ คงสลบแน่
“ขอรับ!” ซุนฉางพยักหน้า
รู้ว่าที่ประตูหน้ายังคลาคล่ำไปด้วยผู้คน จางเซวียนจึงออกจากคฤหาสน์ทางประตูหลัง เมื่อมาถึงตรอกที่อยู่ห่างออกไป เขาก็ถอดคราบ เปลี่ยนเสื้อผ้าและกลับไปสู่ตัวตนดั้งเดิม
จางเซวียนสาวเท้าไปยังสมาคมนักปรุงยาทันที
“อาจารย์!”
ในชั้นเรียนของลู่ฉวิน นักเรียนจำนวนมากยืนเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบ
ในกลุ่มนั้นมีจูหง ผู้ไปส่งจดหมายท้าดวลที่ชั้นเรียนของจางเซวียน, โม่วเซียว เพื่อนรักของเจิ้งหยาง และคนอื่นๆ
ถ้าหยวนเทา หลิวหยาง กับพรรคพวกมาอยู่ตรงนี้ ก็จะบอกได้ว่านี่คือทั้งห้าคนซึ่งปรากฏอยู่ในรายชื่อที่พวกเขาต้องประลองด้วย
เมื่อสองสามวันก่อน เด็กกลุ่มนี้ยังเป็นนักรบขั้น 1 – จวีซี แต่ตอนนี้รังสีที่พวกเขาแผ่ออกมานั้นล้ำลึกและแข็งแกร่งกว่าเดิม ทุกคนกลายเป็นนักรบขั้น 2 แล้ว
“ไม่เลว!” เมื่อเห็นพัฒนาการของลูกศิษย์ ลู่ฉวินพยักหน้าอย่างพอใจ เห็นได้ชัดว่าทรัพยากรมหาศาลและการลงทุนลงแรงฟูมฟักลูกศิษย์ของเขานั้นมิได้สูญเปล่า
เมื่อเป็นนักรบขั้น 2 แล้ว ทุกคนจะต้องเอาชนะลูกศิษย์ของจางเซวียนได้อย่างง่ายดายเป็นแน่
“อาจารย์ลู่ ปรมาจารย์หยางชวน…ปรากฎตัวแล้ว!”
เขากำลังจะสั่งงานนักเรียน ก็พอดีกับที่อาจารย์หว่างเชาพรวดพราดเข้ามา ความตื่นเต้นปรากฏชัดอยู่ในแววตาของเขา