Skip to content

Library Of Heaven’s Path 174

ตอนที่ 174 อาหยินผู้มาดมั่น

เขารู้สึกได้ถึงพละกำลังที่ไหลเวียนไปทั่วร่าง ตอนนี้เขาแข็งแกร่งกว่าเมื่อครู่ที่ผ่านมาหลายเท่า แน่นอนว่าเขาฝ่าด่านวรยุทธทงฉวนขั้นสูงสุดไปได้แล้ว

“กึ่ง…จงซรือ?” จวงเชียนอ้าปากหวอ

ผู้ที่สำเร็จวรยุทธขั้น 8 – จงซรือจะสามารถตั้งสำนักของตัวเองและก้าวขึ้นเป็นเจ้าสำนักได้ แม้จะมีเส้นแบ่งเพียงบางๆระหว่างขั้น 8 กับขั้น 7 – ทงฉวน ขั้นสูงสุด แต่การฝ่าด่านไปได้ก็เทียบเท่ากับผีเสื้อที่โบยบินออกจากดักแด้ของมันเลยทีเดียว

นี่คือด่านแรกที่ผู้มุ่งหวังจะเป็นนักรบขั้น 9 จะต้องฝ่าด่านไปให้ได้ อัจฉริยะจำนวนมากมายต้องมาชะงักอยู่ที่จุดนี้

ขั้นกึ่งจงซรือนั้นอยู่กึ่งกลางระหว่างขั้นเจ็ดและแปด การจะสำเร็จขั้นจงซรือได้จะต้องผ่านขั้นนี้ไปก่อน

เชื้อพระวงศ์อาวุโสแห่งอาณาจักรเทียนเซวียนซึ่งเป็นผู้ปกปักรักษาอาณาจักรให้เป็นระเบียบเรียบร้อยด้วยอำนาจและความแข็งแกร่งมหาศาลนั้น ก็มีวรยุทธอยู่ในระดับกึ่งจงซรือ

จวงเชียนเป็นปรมาจารย์คนหนึ่ง เพื่อจะให้สำเร็จถึงขั้นนั้น เขาทุ่มเททรัพยากรนับไม่ถ้วนและความอุตสาหะมากมายลงไปเพียงเพื่อจะล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วเหตุใด…แค่ถูกคลุมด้วยกระสอบป่านและหวดด้วยไม้กระบอง…ก็ฝ่าด่านนี้ไปได้ทันที

มันช่าง…ช่างเหลือเชื่อนัก

หลิวหลิงกับเจิงเฟยสบตากันอย่างสับสน

พวกเขาเคยสังเกตอาการของจวงเชียนและได้พยายามทุกวิถีทางที่จะช่วยสหายแก้ปัญหามาโดยตลอด

ในตอนแรกพวกเขาคิดว่าส่วนหนึ่งของปัญหามาจากอายุที่เพิ่มขึ้นและพละกำลังที่ถดถอย ทำให้การฝ่าด่านวรยุทธไม่อาจเป็นไปได้ แต่นี่ แค่ถูกตีก็ฝ่าด่านวรยุทธได้ทันที…

บ้าบอกว่านี้มีอีกไหม?

การถูกฟาดถูกตีช่วยให้ฝ่าด่านวรยุทธได้อย่างนั้นหรือ? ถ้าอย่างนั้น เพื่อจะสำเร็จวรยุทธขั้นจงซรือ พวกเขาจะต้องหาคนกลุ่มหนึ่งมาตีเขาด้วยหรือเปล่า?

ให้งุนงงนัก ทุกสายตาจับจ้องไปที่บุรุษผู้ยังคงง่วนกับการจิบชา พยายามจะค้นหาความหมายในสีหน้าราบเรียบนั่นแต่ก็ไร้ประโยชน์ เขายังดูไม่ยินดียินร้ายอยู่เช่นเดิม ทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น…และแน่นอน นัยน์ตาของเขายังคงแดงก่ำ พลังยังคงดูเหือดหาย และถุงใต้ตาก็เด่นชัดอยู่อย่างนั้น

ถ้าไม่ใช่เพราะเขาเพิ่งสร้างปาฏิหาริย์ล่ะก็ ผู้มาเยือนคงจะสงสัยว่าชายผู้นี้ไปเพลิดเพลินอยู่ที่ไหนมาตลอดทั้งคืน

“ปรมาจารย์…หยาง เกิดอะไรขึ้น?” เมื่ออีกฝ่ายดูไม่มีทีท่าว่าจะพูดอะไร

จวงเชียนจึงเอ่ยถาม

เปลี่ยนคำเรียกอีกฝ่ายจากหยางชวนมาเป็นปรมาจารย์หยางอีกครั้งหนึ่ง

“ยังอยากฆ่าผมอยู่หรือไม่?” จางเซวียนมองหน้าเขา

ปรมาจารย์จวงหน้าแดงก่ำ เหงื่อเย็นๆไหลท่วมร่าง

อีกฝ่ายตั้งใจช่วยเหลือเขาฝ่าด่านวรยุทธ แต่นอกจากเขาจะไม่เข้าใจเจตนาอันดีนั้น ยังถึงกับหยามเขาต่อหน้าธารกำนัลอีกด้วย…ช่างเป็นคนอกตัญญูโดยแท้

อับอายขายหน้านัก จวงเชียนทำได้แค่ก้มศีรษะและเอ่ยปากขอโทษ “ได้โปรดให้อภัยในความโง่เขลาของผมด้วย…”

“เอาเถอะ ผมก็ไม่ได้คิดจะต่อว่าเรื่องนั้น” จางเซวียนตอบ “กระบวนท่าที่คุณแสดงก่อนหน้านี้ธรรมดานัก ไม่มีส่วนใดที่น่าทึ่งเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่มีข้อผิดพลาดเช่นกัน นั่นแสดงว่าคุณได้ร่ำเรียนกับอาจารย์ที่ดีมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย ทั้งยังฝึกซ้อมอย่างหนัก”

“ปรมาจารย์หยางพูดถูกต้องแล้ว บิดาของผมเป็นปรมาจารย์ระดับ 1 ดาว” จวงเชียนพยักหน้า

“การมีพื้นฐานแน่นเป็นทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนของคุณ ในฐานะที่มีบิดาเป็นปรมาจารย์ ตั้งแต่ยังเล็กคุณจึงคิดมาตลอดว่าสิ่งที่เขาสอนล้วนแต่ถูกต้อง คุณไม่กล้าฝ่าฝืน จึงเกิดเป็นนิสัยยึดติดกับวิถีทางเดิมๆโดยไม่รู้ตัว เส้นทางของนักรบคือการพุ่งเข้าปะทะสวรรค์ ไม่ใช่การกอดภูมิปัญญาโบร่ำโบราณเอาไว้ ดังนั้นวรยุทธของคุณจึงพุ่งพรวดในช่วงแรก แต่ก็มาหยุดชะงักเมื่อคุณสำเร็จวรยุทธทงฉวนขั้นสูงสุด”

จางเซวียนเงยหน้าขึ้นสบตาเขาราวกับกำลังสอนนักเรียน “วรยุทธขั้นจงซรือ ก็ตามชื่อนั่นแหละ หมายความว่าผู้นั้นสามารถสร้างสำนักของตัวเองได้ แต่หากเขาไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง ไม่อาจทำความเข้าใจวรยุทธได้ด้วยตัวเอง แต่กลับเลือกที่จะเดินตามเส้นทางของบรรพบุรุษ เมื่อเป็นเช่นนั้นจะสำเร็จได้อย่างไร? แม้จะสำเร็จขั้นกึ่งจงซรือก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นจงซรือที่แท้จริง”

“หลังจากสั่งสมวรยุทธมาหลายปี พลังปราณของคุณนั้นแข็งแกร่งพอที่จะสำเร็จขั้นกึ่งจงซรือแล้ว แต่คุณยังไม่เชื่อมั่นในตัวเอง ไม่เชื่อว่าจะคุณจะสำเร็จขั้นนั้นได้ ถ้าผมพูดไม่ผิด บิดาของคุณคงไม่อาจเข้าถึงขั้นกึ่งจงซรือได้ตลอดช่วงชีวิตของเขาเหมือนกัน อันที่จริง อาจจะมีบางอย่างเกิดขึ้นยามที่เขาพยายามจะฝ่าด่านไปยัง

วรยุทธขั้นสูงนั่น!”

“ท่าน…ท่าน…” จวงเชียนถอยกรูด

ฝ่ายนั้นพูดได้ตรงเผง

แม้บิดาของเขาจะเป็นปรมาจารย์ระดับ 1 ดาว แต่ตลอดทั้งชีวิตก็ไม่อาจสำเร็จขั้นกึ่งจงซรือได้ เมื่อบิดาพยายามจะฝ่าด่านไปให้ถึงขั้นนั้น ก็ถูกธาตุไฟเข้าแทรกและกลายเป็นคนทุพพลภาพไป จากนั้นอีกไม่ถึงปีก็ถึงแก่กรรม แม้จะนอนรอความตายแล้วเขาก็ยังคงเศร้าโศกวนเวียนอยู่กับเรื่องนั้น

เรื่องนี้กลายเป็นบาดแผลในใจของจวงเชียน ไม่ว่าครั้งใดก็ตามที่เขาพยายามจะฝ่าด่านทงฉวนขั้นสูงสุดไปยังกึ่งจงซรือ เขาก็ไม่อาจสำแดงพละกำลังอย่างเต็มที่ได้เลย

แต่มันเป็นความลับที่เขาปกปิดไว้ในใจมาเนิ่นนาน ไม่เคยแม้จะบอกใคร แล้วอีกฝ่ายรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?

รู้ได้จากการดูเขาแสดงกระบวนท่านี่น่ะหรือ?

“ด้วยความหวาดกลัวนี้ ไม่ว่าคุณจะกินยาอะไรหรือพยายามฝึกวรยุทธแค่ไหน ก็ไม่อาจฝ่าด่านไปได้” จางเซวียนยืนขึ้นและเดินไปยังกลางห้องโถง “คุณมาขอคำชี้แนะจากผม ผมก็บอกได้ว่า หากคุณต้องการประสบความสำเร็จ คุณจะต้องก้าวข้ามความกลัวในอดีตให้ได้เสียก่อน มิเช่นนั้นก็ไร้ประโยชน์”

“ทีนี้ ในเมื่อคุณฝังความกลัวนั้นไว้ในใจมาเนิ่นนาน จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะก้าวข้ามมันได้ในทันที? มีวิธีเดียวก็คือบ่มเพาะความโกรธให้มากขึ้นจนทำลายความกลัวภายในใจของคุณได้ ดังนั้นผมจึงให้คนเอากระสอบคลุมศีรษะของคุณและฟาดคุณด้วยไม้กระบอง ในเมื่อคุณไม่รู้เจตนาที่แท้จริงของผม คุณย่อมคิดว่าผมกำลังหยามเกียรติคุณอยู่ คุณจะต้องจงเกลียดจงชังผม ด้วยวิธีนี้ ความโกรธเกรี้ยวจะเอาชนะความกลัวของคุณได้ ด้วยพลังงานที่สะสมมานานปีบวกกับความเดือดดาลในใจคุณ การฝ่าด่านวรยุทธจึงเกิดขึ้น”

จางเซวียนยืนสงบนิ่งอยู่กลางห้องโถง เอามือไพล่หลัง แสงแดดที่สาดมาจากด้านนอกตกกระทบและเกิดเป็นเงาขนาดมหึมาเบื้องหลังเขา

“นี่…” จวงเชียนพินิจพิเคราะห์คำพูดของอีกฝ่ายแล้วก็ต้องอัศจรรย์ใจ

ทฤษฎีนั้นฟังดูเรียบง่ายแต่ล้ำลึกอย่างน่าทึ่ง ในความเป็นจริง การอนุมานทุกสิ่งได้เพียงแค่สังเกตการแสดงวรยุทธ ทั้งยังหาวิธีแก้ไขปัญหาได้โดยปราศจากข้อบกพร่อง ก็ไม่ได้ง่ายไปกว่าการฝึกวรยุทธอันไม่จบไม่สิ้นเพื่อจะสำเร็จขั้นจงซรือเลย ถ้าไม่เห็นกับตา พวกเขาจะไม่มีทางเชื่ออย่างเด็ดขาด

“ปรมาจารย์หยาง ขอบคุณที่มอบชีวิตใหม่ให้ ผม–จวงเชียน จะไม่มีวันลืมบุญคุณของท่านจนชั่วชีวิต” เมื่อหายตะลึงแล้ว จวงเชียนรีบทรุดตัวลงคุกเข่า

เขาประทับใจในตัวอีกฝ่ายยิ่งนัก และไม่ลังเลแม้แต่น้อยที่จะแสดงกิริยาเช่นนี้

“คุณไม่สงสัยว่าผมปลอมตัวมาแล้วหรือ?” จางเซวียนยิ้ม แต่ไม่มีทีท่าขบขันแม้แต่น้อย

“เอ่อ…” จวงเชียนถูมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกันอย่างกระวนกระวาย

ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ตัวว่าเขาสงสัย แต่ก็มิได้มีทีท่าถือสา ยิ่งเป็นเช่นนี้ เขายิ่งทวีความเคารพนับถือมากขึ้นไปอีก

แม้จะรู้ทัน แต่นอกจากจะไม่ถือโทษโกรธเคืองแล้ว ยังช่วยเขาฝ่าด่านวรยุทธอีกด้วย นี่คือพฤติกรรมของปรมาจารย์ตัวจริง คุณลักษณะแบบผู้ทรงภูมิอย่างแท้จริง…

เห็นปัญหาของเพื่อนรักถูกคลี่คลายไปอย่างง่ายดายเช่นนั้น

ถึงหลิวหลิงกับเจิงเฟยจะโง่เง่าอย่างไร ก็ชัดเจนแล้วว่าบุคคลตรงหน้าพวกเขานั้น แม้จะยังดูหนุ่มแต่ก็เป็นปรมาจารย์ตัวจริง

ถึงวิธีการของเขาออกจะ…แหกคอกไปสักหน่อย แต่ถ้าเขาไม่ใช่ปรมาจารย์ตัวจริง จะมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในวรยุทธได้อย่างไร แถมยังอ่านขาดและแก้ปัญหาของจวงเชียนที่เคยทำให้เหล่าสหายงุนงงมาตลอดได้ด้วย

แต่เอาเถอะ จะแหกคอกหรือไม่แหกคอก การที่จวงเชียนฝ่าด่านวรยุทธได้ก็แปลว่าความสามารถของบุคคลตรงหน้านั้นห่างชั้นจากพวกเขามากมายนัก

ไม่กล้าประเมินอีกฝ่ายต่ำไปได้อีก พวกเขาสบตากันและเจิงเฟยก็ยืนขึ้น “ปรมาจารย์หยาง ผมมีปัญหาในการฝึกวรยุทธเช่นกัน ปัญหานี้ทำให้ผมงุนงงมาแสนนาน…”

ด้านนอกคฤหาสน์

“เธอคิดว่าข่าวลือนั่นเป็นเรื่องจริงไหม ที่ว่าทั้งสามปรมาจารย์ขอเข้าพบปรมาจารย์หยางผู้นี้ เนื่องจากเขาเป็นปรมาจารย์ระดับ 2 ดาว?”

เมื่อเห็นฮ่องเต้เซินจุยและทั้งสามปรมาจารย์เข้าไปข้างในคฤหาสน์ ฝูงชนด้านนอกก็อดซุบซิบกันไม่ได้

ไม่มีผู้ใดแน่ใจในความสามารถของปรมาจารย์หยาง แต่การที่มีปรมาจารย์ระดับ 1 ดาวมาขอพบ ก็น่าจะเชื่อได้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนธรรมดาสามัญ อย่างน้อยที่สุดเขาก็น่าจะเป็นปรมาจารย์ระดับ 2 ดาว

“ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน เมื่อสองสามวันที่แล้วผมแวะไปเยี่ยมหลิงเทียนหยู่ เขาชื่นชมปรมาจารย์หยางมาก ก่อนหน้านี้ภรรยาของเขาป่วย พวกเราก็เห็นกันหมด แต่ตอนที่ผมแวะไปเยี่ยมนั้นเธอหายดีแล้ว ราวกับว่าสิ่งที่ผมเคยเห็นมาก่อนนั้นเป็นภาพลวงตา”

“ฉันก็แวะไปเยี่ยมตู้เหมี่ยวชวนมา ไม่เพียงแต่โรคร้ายที่กัดกินเขามาหลายปีจะหายไปเท่านั้น แต่วรยุทธของเขาก็อย่างที่ข่าวลือว่านั่นล่ะ อยู่ในขั้นทงฉวนเลยทีเดียว!”

“ปรมาจารย์หยางท่านนี้ช่างน่าทึ่งจริงๆ…”

สองสามคนซุบซิบกันอย่างทึ่งในความสามารถของอีกฝ่าย

“อันที่จริง ถ้าทุกคนอยากรู้เรื่องของปรมาจารย์หยางขนาดนี้ เราควรไปหาคำตอบจากพวกเขา” ใครคนหนึ่งชี้ไปที่หน้าประตู

เมื่อมองตามนิ้วที่ชี้ไป พวกเขาเห็นเหล่าองครักษ์ของสามปรมาจารย์ยืนสงบนิ่งอยู่ไม่ห่าง ในฐานะหัวหน้า อาหยินถือดาบไว้มั่นและแผ่รังสีอำมหิตคุกคามออกมา

ฮ่องเต้เซินจุยกับทั้งสามปรมาจารย์ได้เข้าไปในคฤหาสน์ แต่องครักษ์อย่างพวกเขาไม่อาจเข้าไปข้างในได้ ทำได้เพียงรักษาการณ์อยู่ด้านนอก

“ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นองครักษ์ของสามปรมาจารย์ น่าจะรู้สถานการณ์บ้าง…”

คนอื่นๆพยักหน้าอย่างเห็นพ้อง

ในบรรดาผู้คนทั้งหมด ทั้งสามปรมาจารย์น่าจะรู้ถึงความสามารถของหยางชวนผู้นี้ได้ดีที่สุด และในอีกแง่หนึ่ง ผู้ที่ใกล้ชิดกับทั้งสามปรมาจารย์มากที่สุดก็คือองครักษ์เหล่านี้ หากลองถามดู ก็น่าจะได้เรื่องราวที่เป็นประโยชน์บ้าง

“พี่หยิน…” ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินเข้าไปประสานมือคารวะ

แน่นอนว่าเขารู้จักอาหยิน

หลิวหลิงเป็นปรมาจารย์ระดับ 1 ดาวผู้โด่งดังในอาณาจักรโดยรอบ ในฐานะองครักษ์ อาหยินก็มีส่วนในความรุ่งโรจน์นี้ด้วย ผู้คนนับไม่ถ้วนพากันเข้ามาเลียแข้งเลียขาประจบประแจงเขา

“น้องเลี่ยวนี่เอง” อาหยินจำอีกฝ่ายหนึ่งได้ เขาเป็นนักดาบผู้รักสันโดษแห่งอาณาจักรเทียนเซวียน ชื่อของเขาคือเลี่ยวหย่งจิน เมื่อ 5 ปีที่แล้วเขาขอเข้าพบปรมาจารย์หลิวเพื่อปรึกษาปัญหาที่ประสบในการฝึกวรยุทธ

“แค่จำชื่อผมได้ก็เกินพอแล้ว เป็นเกียรติมากที่คุณเรียกผมว่าน้องเลี่ยว!” เห็นอีกฝ่ายจำเขาได้ เลี่ยวหย่งจินให้ชื่นมื่นนัก หลังจากทักทายกันอีกสองสามประโยค เขาก็ตรงเข้าประเด็นที่ทุกคนอยากรู้ “ในเมื่อปรมาจารย์หลิวกับปรมาจารย์ท่านอื่นๆมาขอพบปรมาจารย์หยางถึงที่นี่…ก็แปลว่าพวกเขารู้ตัวตนที่แท้จริงของปรมาจารย์หยางแล้วใช่หรือไม่?”

“มาขอพบรึ?”

อาหยินเยาะหยัน “ยิ่งกว่าขอพบเสียอีก ควรจะเรียกว่ามาฉีกหน้ากากจะเหมาะสมกว่า”

“พี่หยินหมายความว่าอย่างไร?” เลี่ยวหย่งจินชะงักกับคำพูดของอีกฝ่าย เขารีบเอ่ยถาม

“ง่ายมาก ปรมาจารย์หลิวกับคนอื่นๆน่ะไม่คิดว่าหยางชวนเป็นปรมาจารย์จริงๆหรอก ตรงกันข้าม เขาน่าจะปลอมตัวมา ทั้งสามปรมาจารย์ก็เลยมาถึงที่นี่เพื่อเปิดโปงความหลอกลวงของเขาต่อหน้าทุกคน” ในฐานะองครักษ์ของหลิวหลิง เขาได้ติดตามมาตลอดสองสามวันที่ผ่านมา และได้ยินบทสนทนาระหว่างทั้งสามปรมาจารย์โดยตลอดเช่นกัน

แม้ว่าปรมาจารย์หลิวกับคนอื่นๆจะประหลาดใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับภรรยาของหลิงเทียนหยู่ ตู้เหมี่ยวชวน และคนอื่นๆที่เหลือ แต่พวกเขาก็คิดว่าหยางชวนน่าจะเป็นตัวปลอม และทั้งหมดนั้นเป็นแค่การแสดง

แต่ด้วยความที่เป็นปรมาจารย์ พวกเขาก็ยังไม่เชื่อว่าจะมีใครที่สามารถแก้ปัญหายากเย็นเช่นนั้นได้ ทั้งยังใช้วิธีการที่เข้าใจได้ยากอีกด้วย พวกเขาจึงวางแผนมาขอเข้าพบ

“ปรมาจารย์หยาง…เป็น 18 มงกุฎอย่างนั้นหรือ?”

เมื่ออาหยินพูดจบ ความโกลาหลก็บังเกิด

ถ้านี่เป็นความจริง ก็ไม่ใช่เรื่องเล็กๆแล้ว

พวกเขาทรมานต่อคิวมาเนิ่นนาน เพื่อจะพบว่าฝ่ายนั้นเป็น 18 มงกุฎ….

“เย็นไว้ ปรมาจารย์หลิวกับคนอื่นๆเข้าไปได้สักพักหนึ่งแล้ว เราน่าจะได้คำตอบเร็วๆนี้” อาหยินสะบัดเสื้อคลุมและตอบอย่างไว้ท่า

ถ้าเขาไม่ใช่ 18 มงกุฎ จะมีพ่อบ้านงี่เง่าที่พูดแต่ถ้อยคำงี่เง่าได้อย่างไร?

ปัง!

เมื่อกล่าวจบ ประตูก็พลันเปิดออก สองสามร่างปรากฏขึ้น

“พี่ซุน ส่งเราตรงนี้ก็พอแล้ว ผมได้รับประโยชน์มากมายจากการพบปะในวันนี้ ผมรู้ว่าปรมาจารย์หยางไม่สนใจข้าวของเงินทอง แต่นี่คือของแทนความซาบซึ้งใจของพวกเรา ได้โปรดนำมันไปมอบให้เขาด้วย”

ปรมาจารย์หลิวยืนยิ้มกว้างคุยกับซุนฉางอยู่ที่ประตู เขายื่นของดังกล่าวใส่มืออีกฝ่ายโดยปราศจากความลังเล

“อะไรกัน?” อาหยินตัวแข็งทื่อ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version