ตอนที่ 142 คุกเข่าอยู่ข้างนอก
“ฮะ?”
ได้ยินคำนั้น ซุนฉางกับคนอื่นๆในห้องยืนตัวแข็ง
โดยเฉพาะตู้หยวน เขาหน้าเสียไปทันที
ต่อให้การออกหมัดพื้นฐานของบิดาเขามีปัญหาจริงๆ แต่เหตุใดปรมาจารย์จึงต้องดูหมิ่นและว่าบิดาเขาเป็นสัตว์?
นั่นเป็นการเหยียดหยามกันซึ่งหน้า!
“ปรมาจารย์หยาง ถึงท่านพ่อผมจะแสดงกิริยาไม่เหมาะสมต่อท่าน แต่ท่านก็ไม่น่าจะถึงกับหยามหมิ่นเขาเยี่ยงนั้น…” ตู้หยวนกัดฟันท้วง
“หยามหมิ่นรึ?” จางเซวียนสั่นศีรษะ “ถามบิดาของคุณสิว่าผมหยามหมิ่นเขาหรือเปล่า”
“ท่านพ่อ…”
ตู้หยวนหันไปมองตู้เหมี่ยวชวน เพียงปราดเดียวที่เห็นก็ต้องงงงัน บิดาของเขาสั่นสะท้านไปทั้งร่าง ความสุขุมเยือกเย็นที่เคยมีมลายไปสิ้น
“ขอให้ท่านปรมาจารย์ช่วยชีวิตผมด้วย…”
อะไรกันนี่!
กำลังสงสัย ก็พอดีเห็นบิดาร้องตะโกนและคุกเข่าลงกับพื้น
ตู้หยวนผงะ
ซุนฉางก็สับสน
ตู้เหมี่ยวชวนเป็นโรคจิตหรือ? หรือเป็นมาโซคิสต์?[1]
เพิ่งจะวางท่าอยู่หยกๆ แต่พอออกวรยุทธได้ไม่สวยนัก แถมโดนปรมาจารย์ดูหมิ่นซ้ำ ก็คุกเข่าเลยเนี่ยนะ?
“เสี่ยวฉาง ส่งแขก!”
จางเซวียนโบกมือให้พวกเขาออกไป ไม่ใส่ใจตู้เหมี่ยวชวนที่คุกเข่าอยู่บนพื้น
ตลกเป็นบ้า เห็นเราเป็นตัวอะไร?
มาสงสัยเรา ถึงกับพยายามทดสอบเราด้วย แล้วตอนนี้จะมาหวังให้เราช่วยชีวิตอย่างนั้นหรือ?
“ท่าน” ซุนฉางเข้ามาใกล้ “ได้โปรดออกไปเถิด!”
“ได้โปรดยกโทษให้กับความหูหนวกตาบอดของผมด้วย ผมขอโอกาสอีกครั้ง…”
เมื่อได้ยินจางเซวียนออกปากไล่ ตู้เหมี่ยวชวนให้พรั่นพรึงนัก เขาคุกเข่าลงทันทีด้วยความเสียใจอย่างสุดซึ้งกับการกระทำของตัวเอง
ถ้าเขาฟังลูกชายสักนิดก็คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้
การระแวงสงสัยในตัวปรมาจารย์ก็เท่ากับลบหลู่อำนาจและศักดิ์ศรีของเขา ไม่แปลกเลยที่ปรมาจารย์จะไม่พอใจ
เห็นผู้อาวุโสคุกเข่าอยู่เช่นนั้น ซุนฉางรู้สึกปั่นป่วน เขารีบสบตาเจ้านาย
“อะไรกัน? คำพูดของฉันไม่มีความสำคัญแล้วหรือ?”
จางเซวียนขมวดคิ้ว แม้น้ำเสียงจะไม่เกรี้ยวกราด แต่ก็ช่างทรงพลังนัก
“เอ่อ…”
ซุนฉางตัวสั่น เขามององครักษ์อย่างเร่งเร้า “พวกคุณ พาผู้อาวุโสตู้ออกไป”
ได้ยินคำสั่ง องครักษ์สองสามคนรีบเดินมา
“ผู้อาวุโสตู้ เชิญ!”
“ท่านพ่อ…”
ตู้หยวนยังคงจับต้นชนปลายไม่ถูก ปรมาจารย์หยางว่าท่านพ่อว่าสัตว์ เหตุใดท่านพ่อจึงไม่โกรธ แถมยังคุกเข่าและขอร้องให้ปรมาจารย์ช่วยชีวิต?
“ผมหยาบคาย ผมยอมรับผิด ผมจะรออยู่หน้าประตูเพื่อวิงวอนให้ปรมาจารย์ยกโทษ”
ตู้เหมี่ยวชวนคุกเข่าลงอีกครั้ง จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไป ตู้หยวนรีบตามไปติดๆ
เมื่อพ้นประตูคฤหาสน์ เขาคุกเข่าลงอีกครั้ง กลางถนนหน้าคฤหาสน์นั่นเลย
“ท่านพ่อ…” ตู้หยวนแทบบ้า
จะอย่างไรก็ตาม บิดาของเขาก็เคยเป็นผู้ทรงอำนาจที่จ่อรอขึ้นเป็นหัวหน้าตระกูลตู้ แม้ตอนนี้จะเป็นแค่ผู้อาวุโสธรรมดาสามัญ แต่ก็ยังมีอำนาจเหนือกว่าคนวัยเดียวกันทั่วไป แล้วมาคุกเข่ากลางถนนแบบนี้ เพื่ออะไรกัน?
นี่เป็นเพราะการที่ปรมาจารย์เรียกท่านพ่อว่าสัตว์หรือ?
หรือว่า…ท่านพ่อเป็นมาโซคิสต์จริงๆ?
“แกน่ะ คุกเข่าด้วย!”
ก่อนที่จะเข้าใจเรื่องราว เสียงเฉียบขาดของตู้เหมี่ยวชวนก็ดังขึ้นข้างๆ
“ท่านพ่อ…” ตู้หยวนกัดฟัน “ผมไม่เข้าใจ…”
“ปรมาจารย์หยางน่ะเป็นปรมาจารย์ตัวจริง พ่อใช้คำพูดไม่เหมาะสมและลบหลู่ท่าน…พ่อจึงต้องขอโทษ! ปรมาจารย์ไม่ใช่คนที่ใครจะมาลบหลู่ได้แม้แต่นิดเดียว!”
“คุกเข่าลงสิ! เราก็ได้แต่หวังว่าท่านจะยกโทษให้เท่านั้น มีแต่ปรมาจารย์หยางคนเดียวที่จะรักษาท่านพ่อได้”
“รักษาได้?” ตู้หยวนงงงัน
ไม่เห็นปรมาจารย์จะพูดถึงเรื่องนี้สักหน่อย!
ทั้งหมดทั้งมวลคือเขาดูหมิ่นท่านพ่อว่า ‘สัตว์’ เหตุนี้น่ะหรือที่ทำให้ท่านพ่อมั่นอกมั่นใจนัก?
ยิ่งคิดก็ยิ่งสับสน
“นายท่าน ผู้อาวุโสตู้กับลูกชายคุกเข่าอยู่หน้าประตู!”
ได้ยินลูกน้องรายงาน ซุนฉางมองเจ้านายของเขาด้วยสีหน้าปั้นยาก
เจ้านายมีเวทมนตร์หรืออย่างไร?
ในตอนแรก ตู้เหมี่ยวชวนไม่ให้ความเคารพเจ้านายของเขาเลย น้ำเสียงก็ไม่สุภาพ แต่เพียงแค่โดนว่าไปคำเดียว ฝ่ายนั้นก็ตกตะลึงพรึงเพริด รีบคุกเข่าทันใด ถึงกับจะไม่ยอมออกไปเสียด้วยซ้ำ…
ถ้าเขาไม่เห็นกับตา จะต้องคิดว่าเป็นเรื่องเลอะเทอะ แต่ทุกอย่างชัดเจนอยู่ตรงหน้าถึงขนาดนี้ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ!
“ครอบครัวของคุณสบายดีไหม?… ผมจะกดภรรยาของคุณ… สัตว์…ดูเหมือนปรมาจารย์จะชื่นชอบการพูดแบบนี้…” ซุนฉางสรุปจากประสบการณ์
ถ้าไม่นับเรื่องตู้เหมี่ยวชวน กรณีหลิงเทียนหยู่ก็เป็นแบบเดียวกัน หลังจากที่เขาทำลายราชสีห์หยก มหาเศรษฐีผู้นั้นเดือดดาลเป็นอย่างยิ่ง ลงท้ายเจ้านายของเขาก็ตั้งคำถาม “ครอบครัวของคุณสบายดีไหม?” ก่อนจะไปไกลถึงขั้นขอสัมผัสภรรยาของฝ่ายนั้น…
ดูเหมือนปรมาจารย์จะไม่ชอบทำอะไรเหมือนมนุษย์มนาทั่วไป จะต้องอ้อมค้อมไปไหนต่อไหนและทำให้เรื่องราววุ่นวายเกินจริง
แต่มันก็ได้ผล
“ดูเหมือนคนพวกนี้จะชอบพระเดชแทนที่จะเป็นพระคุณเสียแล้ว เอ…บางทีต่อไปเราน่าจะลองบ้าง” ซุนฉาง นึกเคลิ้ม
เขาคิดว่าเหตุที่ตู้เหมี่ยวชวนเปลี่ยนท่าทีกระทันหันนั้นเป็นเพราะปรมาจารย์เกิดขุ่นเคืองขึ้นมา ดูเหมือนว่า ถ้าต่อไปเขาพบใคร ก็ไม่ควรแสดงทีท่ายอมเป็นเบี้ยล่างอีก ควรจะพูดจาและวางท่าให้มีอำนาจกว่านี้
วิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้ใครต่อใครเกรงใจเขา
“ต่อไป ถ้านายไม่อยู่ เราจะลองดู…ถ้ามันได้ผลล่ะก็ นายจะต้องชอบใจเรามากกว่าเดิมแน่…” ซุนฉางคิดอย่างตื่นเต้น
“ปล่อยให้คุกเข่าไป!” จางเซวียนพูดเรื่อยๆ ไม่รู้สักนิดว่าพ่อบ้านกำลังคิดอะไร
“ผู้อาวุโส แล้วเราจะทำอย่างไรต่อ?” ซุนฉางถาม
จางเซวียนขมวดคิ้ว นั่นคือเรื่องที่เขากำลังคิดอยู่
จะรอคอยแต่เงินที่อีกฝ่ายมอบให้ด้วยความสำนึกบุญคุณนั้นไม่ได้แล้ว!
อย่างหลิงเทียนหยู่ แม้เขาจะมอบให้ทีเดียวหนึ่งล้าน แต่ก็ยังห่างไกลจากยี่สิบล้านมากมายนัก ถ้าเขาเอ่ยปากอยากได้เงิน ก็จะเป็นการไม่เหมาะสมกับสถานภาพปรมาจารย์อีก ทุกคนจะต้องตราหน้าว่าเขาเป็นคนหลอกลวง
แต่ถ้าเขาปฏิเสธเงิน และรอคอยให้คนพวกนั้นมาแสดงความขอบคุณ จะได้เงินสักกี่แดงกัน?
ถ้าทุกคนพากันคิดว่าเขาคือปรมาจารย์ผู้ไม่ใยดีกับทรัพย์สมบัตินอกกาย แต่ให้คุณค่ากับความรักและความสัมพันธ์อันดีมากกว่า เขามิต้องฆ่าตัวตายหรือ?
หลังจากคิดวกวนอยู่พักหนึ่ง จางเซวียนพูดขึ้น “ฉันจะออกไปข้างนอกสักครู่ แต่เธอไม่ต้องตามไปหรอก ไปจัดการธุระให้ฉันหน่อย” จางเซวียนอธิบายธุระของเขาอย่างละเอียด
“นี่…นี่มัน…”
ได้ฟังแล้ว นัยน์ตาของพ่อบ้านเบิกโพลงด้วยความตกใจ
เอาแบบนี้เลยหรือ?
“ไปได้!” จางเซวียนจบคำอธิบายและเร่งให้เขาไป
“ขอรับนายท่าน”
จากสองสามเหตุการณ์ที่ผ่านมา ซุนฉางเข้าใจแล้วว่าเจ้านายมีเหตุผลในการทำทุกสิ่งเสมอ เขาจึงออกไปจัดการโดยไม่ซักไซ้ให้มากความ เพียงไม่นานก็กลับมา
เขาได้ทำทุกสิ่งที่จางเซวียนมอบหมายให้อย่างครบถ้วน
“ถ้ามีใครมาก็ให้รอหน้าประตูนะ” จางเซวียนสั่ง แล้วเดินออกจากคฤหาสน์
ที่หน้าประตู เขาไม่ชายตามองตู้เหมี่ยวชวนที่คุกเข่าอยู่แม้สักนิด
“ท่านพ่อ…”
เห็นปรมาจารย์หยางไม่เหลียวแล ตู้หยวนเรียกบิดาอย่างร้อนใจ
ก็ในเมื่ออีกฝ่ายหนึ่งไปลิบแล้ว เขาจะมัวคุกเข่ารออะไร?
“ท่านพ่อไม่ได้ทำเช่นนี้เพียงเพื่อให้ปรมาจารย์หยางเห็นเท่านั้น แต่เพื่อแสดงความรับผิดชอบและชดใช้ความผิดพลาดที่ทำลงไปด้วย ถ้าท่านพ่อลุกขึ้นตอนนี้ ก็จะต้องจมอยู่กับปัญหาไปตลอดชีวิต” ตู้เหมี่ยวชวนอธิบาย เพราะรู้ว่าลูกชายกำลังคิดอะไร
“ผมเข้าใจแล้ว…” ตู้หยวนก้มหน้าอย่างท้อแท้
ผู้อาวุโสแห่งตระกูลตู้ อดีตผู้ชิงตำแหน่งหัวหน้าตระกูล ต้องมาคุกเข่าอยู่กลางถนน…มันเกิดอะไรขึ้น…