ตอนที่ 158 ตาคุณแล้ว
“แต่เอาเถอะ เนื่องจากคุณสองคนก็เพิ่งเข้ามาทำความรู้จักกับการวาดภาพได้ไม่นาน หากให้คุณวาดภาพประชันกัน นอกจากจะไม่ได้อะไรแล้ว ยังเป็นการดูถูกงานศิลปะด้วย ผมคุยกับหยวนหยู่แล้ว เราตกลงกันว่าจะจัดการประชันรูปแบบใหม่”
หวงหวี่กับไป๋ซวินเพิ่งเริ่มทำความรู้จักกับการวาดภาพได้เพียงหนึ่งเดือน ถ้าปรมาจารย์ลู่เฉินให้พวกเขาวาดภาพ ภาพที่ออกมาจะเป็นแบบไหนกัน?
คงจะขายหน้ากันไม่ใช่น้อย ดังนั้นปรมาจารย์ลู่เฉินจึงเลือกใช้วิธีอื่นในการทดสอบ
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เขาหัวเราะหึๆ
“รูปแบบใหม่ก็คือ ผม หยวนหยู่ และน้องจางเซวียนจะวาดภาพก่อน จากนั้นคุณสองคนก็ประเมินและให้คะแนนภาพวาด คนที่อธิบายได้ถูกต้องตรงประเด็นที่สุดจะได้ภาพดอกลิลลี่ไป!”
“วาดภาพรึ? อะไรนะ?” จางเซวียนกำลังจิบชา เมื่อได้ยินปรมาจารย์ลู่เฉินพูดเช่นนั้น เขาชะงักและเกือบพ่นน้ำชาใส่หน้าผู้อาวุโส
ตลกแล้ว! ผมมาที่นี่เพื่อเป็นตัวเสริมให้พวกคุณเท่านั้น นี่คุณจะให้ผมวาดภาพ…คุณจะทดสอบพวกเขาหรือทดสอบผมกันแน่?
ผมจับพู่กันยังไม่เป็นด้วยซ้ำ จะไปวาดภาพอะไรได้?
“ผมว่าผมไม่วาดจะดีกว่า…” จางเซวียนพูดอย่างประหม่า
“อย่าปฏิเสธเลย เราจะผูกเข้ากับวรรณคดี มีวรรณคดีอยู่มากมายที่ต้องการใครสักคนมาเสริมบทกวีหรือภาพวาดเข้าไป ไม่ง่ายเลยที่จะมีทั้งคุณและหยวนหยู่มาอยู่ที่นี่พร้อมๆกัน เพราะฉะนั้น มาสร้างปฏิสัมพันธ์ผ่านภาพวาดกันเถิด เด็กพวกนี้จะได้เข้าใจเสน่ห์ที่แท้จริงของการวาดภาพ พวกเขาอาจจะหลงรักงานศิลปะและกลายเป็นปรมาจารย์ในอนาคตก็ได้” ปรมาจารย์ลู่เฉินลูบเคราและหัวเราะหึๆ
จางเซวียนแทบจะปล่อยโฮ
นี่คุณได้ฟังผมพูดหรือเปล่า?
ที่ผมตั้งใจจะบอกคือผมวาดภาพไม่เป็น และไม่อยากวาดด้วย คุณก็เอาแต่พูดเรื่อยเจื้อยเรื่องการสร้างปฏิสัมพันธ์ผ่านภาพวาด
จะมาสร้างปฏิสัมพันธ์อะไรกับผมล่ะคุณ!
“แค่ก แค่ก ไม่จำเป็นหรอก แค่คุณสองคนวาดก็พอแล้ว ผมไม่ได้เตรียมตัวมาเพื่อการนี้…” จางเซวียนทำได้แค่ขยายความคำพูดของเขาให้ชัดเจนขึ้น
“ผมเตรียมพู่กัน กระดาษ และแท่นหมึกไว้แล้ว น้องจางเซวียนอย่าได้บ่ายเบี่ยงเลย ทำตัวเหมือนอยู่บ้านแล้ววาดตามสบายเถิด พวกเขาจะได้เข้าใจว่าการวาดภาพที่แท้จริงเป็นอย่างไร!” ปรมาจารย์ลู่เฉินตอบ
บ่ายเบี่ยง? เข้าใจว่าการวาดภาพที่แท้จริงเป็นอย่างไร?
นั่นไม่ใช่ที่ผมพยายามจะพูด!
“เอาล่ะ อาเฉิง ไปเตรียมอุปกรณ์การวาดภาพมา หวงหวี่กับไป๋ซวิน จับตาดูพวกเราวาดให้ดีนะ และเรียนรู้จากมันด้วย!”
ลู่เฉินคิดว่าจางเซวียนคงเขิน เขาปัดความกังวลนั้นออกไปด้วยรอยยิ้ม
“ขอรับ!” ลุงเฉิงพ่อบ้านโบกมือ แล้วแม่บ้านสามคนก็นำชุดอุปกรณ์การวาดภาพสามชุดมาตั้งบนโต๊ะตรงหน้าพวกเขา
จางเซวียนขมวดคิ้วอย่างร้อนใจ
เขาวาดด้วยดินสอยังไม่เป็นเลยด้วยซ้ำ แล้วตอนนี้ต้องใช้พู่กัน…
ถ้ารู้ว่าการประชันเป็นเช่นนี้ จะไม่มีทางมาเด็ดขาด
“เนื่องจากพวกเราทุกคนมาอยู่ที่นี่เพื่อทำความรู้จักกันผ่านภาพวาด เพราะฉะนั้น อย่าจำกัดตัวเราไว้กับหัวข้อใดๆเลย!” เมื่อทุกอย่างถูกตระเตรียมเรียบร้อย ปรมาจารย์ลู่เฉินมองปรมาจารย์หยวนหยู่และยิ้มกว้าง “พี่หยวนหยู่ พี่เป็นแขก เชิญพี่ก่อน!”
“ตกลง ผมจะแสดงทักษะอันอ่อนด้อยของผมล่ะนะ”
ปรมาจารย์หยวนหยู่ยิ้มพร้อมกับลูบเครา เขาเดินไปที่โต๊ะ หยิบพู่กันขึ้นมาแล้วตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่งก่อนลงมือวาดภาพ
พู่กันของเขาสะบัดไปทั่วกระดาษด้วยพลังอันสง่างามและน่าตื่นตา ใบหน้าและบุคลิกของเขาแสดงถึงความมีเมตตา เขามีรังสีของจิตรกรผู้ช่ำชองโดยไม่จำเป็นต้องได้รับการยกย่องจากผู้ที่เฝ้าดู
“การวาดภาพแบ่งออกเป็นสี่ระดับใหญ่ๆ มีชื่อเรียกแต่ละระดับว่า ‘หนึ่ง…การพรรณนาเสมือนจริง’, ‘สอง… ผืนผ้าใบแห่งจิตวิญญาณ’ ‘สาม…การถ่ายทอดเจตนารมณ์’ และลำดับที่ ‘สี่…ประหนึ่งหยุดลมหายใจ’ การพรรณนาเสมือนจริงหมายถึงการบันทึกในสิ่งที่ตาเห็นให้ตรงตามความเป็นจริงที่สุด แม้การวาดภาพแบบนี้จะสมจริงจนแทบจะเหมือนมีชีวิต แต่ก็จัดเป็นการวาดภาพระดับต่ำสุด” เมื่อปรมาจารย์หยวนหยู่เริ่มวาด ปรมาจารย์ลู่เฉินก็อธิบายลำดับขั้นของการวาดภาพให้คนที่เหลือฟัง
“ผืนผ้าใบแห่งจิตวิญญาณคือขั้นที่วัตถุกับทิวทัศน์ในภาพวาดมีชีวิตขึ้นมาโดยจิตวิญญาณของผู้วาด ทั้งภาพจะดูเหมือนทิวทัศน์ที่มีชีวิต อย่างเช่น ถ้าจิตรกรวาดปลา ผู้มองดูภาพจะรู้สึกว่าปลามีชีวิตและพร้อมจะกระโดดออกจากผืนผ้าใบได้ทุกขณะ”
“ขั้นที่สามคือการถ่ายทอดเจตนารมณ์ คือขั้นที่จิตรกรสามารถถ่ายทอดเจตนารมณ์ของตัวเองเข้าสู่ภาพวาด ผู้วาดต้องทำใจให้สงบก่อนที่จะลงมือ เพื่อให้ได้ภาพวาดที่สามารถเคลื่อนไหวและจับใจผู้พบเห็น
ภาพวาดฤดูร้อน-ฤดูใบไม้ร่วง และภาพวาดพยัคฆ์แดงคำรามถึงสวรรค์ของผมนั้นอยู่ในขั้นนี้ นั่นคือเหตุผลที่ทำไมหลายคนจึงรู้สึกว่าภาพวาดนั้นค่อยๆเผยตัวออกมา ราวกับว่าเขาถูกดึงเข้าไปสู่โลกของภาพนั้น”
“พี่หยวนหยู่กับผมอยู่ในขั้นนี้ ถ้าเราโชคดีพอ ก็อาจจะมีความเป็นไปได้อยู่บ้างที่เราจะสร้างสรรค์ผลงานในขั้นที่สี่ได้ ‘ประหนึ่งหยุดลมหายใจ’นั้นคือภาพวาดที่มีนิสัยใจคอและอารมณ์ของตัวเอง ถึงขนาดที่พวกสัตว์ต่างๆในธรรมชาติจะแยกไม่ออกว่าไหนภาพไหนของจริง ภาพวาดดอกลิลลี่บนผืนผ้าใบที่หวงหวี่อยากได้ และภาพแม่น้ำคานารีของพี่หยวนหยู่ต่างก็อยู่ในขั้นนี้”
“โห!” จางเซวียนพยักหน้า
เขาคิดว่าจิตรกรที่วาดภาพได้เหมือนมีชีวิตมากกว่าก็คือเก่งกว่า เมื่อได้ฟังคำอธิบายจึงเข้าใจว่าการวาดภาพสมจริงนั้น ที่แท้อยู่ในขั้นต่ำสุด
เมื่อภาพวาดได้รับการถ่ายทอดจิตวิญญาณและแนวคิดทางศิลปะที่เป็นเอกลักษณ์ลงไปเท่านั้น จึงจะเรียกได้ว่าเป็นผลงานชิ้นเอกที่แท้จริง
ระหว่างการอธิบาย ภาพวาดของปรมาจารย์หยวนหยู่ค่อยๆเป็นรูปเป็นร่าง
มันคือภาพนกกระจอกไพรแห่งขุนเขา ภายในป่าอันเงียบสงบนั้น นกกระจอกสองตัวกำลังเริงระบำ แม้พวกมันจะไม่ได้เคลื่อนไหว แต่ก็แทบจะได้ยินเสียงร้องจุ๊กจิ๊กของฝูงนกในอากาศ ราวกับได้เข้าไปในป่าที่ล้อมรอบด้วยขุนเขา อบอวลไปด้วยกลิ่นดอกไม้และเสียงเจื้อยแจ้วราวกับดนตรีของฝูงนก
“ปรมาจารย์ลู่ นี่คือภาพวาดในขั้นการถ่ายทอดเจตนารมณ์ใช่หรือไม่?”
หวงหวี่อดถามไม่ได้
ภาพนี้ให้ความรู้สึกถึงแนวคิดทางศิลปะอันล้ำลึก เมื่อได้เห็นเพียงแวบเดียวก็ไม่อาจอดใจที่จะซึมซาบไปกับมันได้
“ใช่” ปรมาจารย์ลู่เฉินพยักหน้า “ภาพนี้อยู่ในขั้นการถ่ายทอดเจตนารมณ์ แต่ก็แค่แตะๆเท่านั้นล่ะ ภารกิจของพวกคุณคือวิเคราะห์และประเมินภาพ ใครมีคำตอบที่ถูกต้องตรงประเด็นที่สุดก็จะเป็นผู้ชนะ”
หวงหวี่และไป๋ซวินต่างจับจ้องภาพวาด
ในตอนนั้น ปรมาจารย์หยวนหยู่ก็วางพู่กัน เขาวาดภาพนกกระจอกไพรแห่งขุนเขาเสร็จสมบูรณ์แล้ว
“ฮ่าฮ่า ดูเหมือนว่า หลังจากที่ห่างเหินไปนาน ฝีแปรงของผมจะขึ้นสนิมเสียแล้ว ภาพวาดนี้ไม่ดีเท่าไรนัก!” ปรมาจารย์หยวนหยู่ยิ้ม “ลู่เฉิน ตาคุณแล้ว!”
“ได้!” ปรมาจารย์ลู่เฉินเดินไปที่โต๊ะ หยิบพู่กันแล้วเริ่มวาดลวดลาย
แม้ทั้งคู่จะเป็นจิตรกรขั้นสามเหมือนกัน แต่ก็เห็นได้จากลีลาอันลื่นไหลของลู่เฉินว่าเขางานดีกว่า
ในภาพวาดของเขา เรือลำหนึ่งลอยโดดเดี่ยวอยู่บนพื้นผิวแม่น้ำ ปราศจากคลื่นและพายุอันน่าหวั่นเกรง แต่ให้ความรู้สึกว่ากำลังมุ่งหน้าไปหาสิ่งที่แปลกประหลาด ราวกับว่าโลกทั้งใบกำลังขัดขวางมิให้เรือแล่นไป แม้คนบนเรือจะถูกวาดขึ้นด้วยการสะบัดฝีแปรงเพียงสองครั้ง แต่ความห้าวหาญในการมุ่งหน้าไปแม้ว่ามีอันตรายรออยู่นั้นทำให้ผู้เห็นภาพรู้สึกฮึกเหิมยิ่งนัก
“ดูเหมือนน้องลู่จะมีเทคนิคดีกว่านะ!”
ภาพวาดยังไม่เสร็จ แต่ปรมาจารย์หยวนหยู่ก็อดออกความเห็นไม่ได้
เขามีทักษะด้านการวาดภาพ และเป็นที่รู้จักดีในแวดวงจิตรกร แต่หากเทียบกับลู่เฉินก็ยังจัดว่าห่างชั้น
แม้แนวคิดด้านศิลปะในภาพนกกระจอกไพรแห่งขุนเขาจะไม่เลว แต่ถ้าวิเคราะห์สองภาพนี้อย่างละเอียด แนวคิดด้านศิลปะของลู่เฉินอยู่ในระดับที่เหนือกว่าเขา
เขาแค่นำความเงียบงันของป่าเขามาตัดกับความมีชีวิตชีวาของเหล่านก แต่อีกฝ่ายดึงเอาแรงบันดาลใจในการต่อสู้ของมนุษย์ออกมา ก็ชัดเจนแล้วว่าฝ่ายนั้นมีทักษะเหนือกว่า
“เป็นอย่างไร? พวกคุณบอกอะไรจากภาพนี้ได้บ้าง?”
ปรมาจารย์หยวนหยู่หันไปยิ้มและตั้งคำถามกับไป๋ซวินและหวงหวี่
“ฉันบอกได้ว่าปรมาจารย์ลู่ใช้เทคนิคการวาดสามแบบและเทคนิคการสะบัดฝีแปรงอีกสิบสองแบบในภาพแม่น้ำไหล ทั้งยังมีกลิ่นอายของเฉินเจี่ยว จิตรกรชื่อดังเมื่อแปดสิบปีก่อนอยู่ในภาพนี้ด้วย” หวงหวี่ตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบ
เฉินเจี่ยวเป็นจิตรกรหญิงผู้โด่งดังในอาณาจักรเทียนเซวียน มีฝีแปรงละเอียดอ่อน เชี่ยวชาญการวาดภาพภูเขาและแม่น้ำเป็นพิเศษ ได้ชื่อว่าเป็นมือหนึ่งของการวาดภาพแม่น้ำ เฉินเจี่ยวได้รับการยกย่องให้เป็นจิตรกรมือหนึ่งของอาณาจักรเทียนเซวียนในรอบสามร้อยปี
“ผมเห็นอย่างนั้นเหมือนกัน…” ไป๋ซวินรีบพูด
“อืม พวกคุณนี่สายตาดีกันนะ!” ปรมาจารย์หยวนหยู่หัวเราะหึๆ
เทคนิคการวาดสามแบบ? เทคนิคการสะบัดฝีแปรงสิบสองแบบอย่างนั้นหรือ?
จางเซวียนใบ้กิน
ในสายตาของเขา ทั้งหมดที่เขาเห็นก็คือชายแก่ที่หยิบพู่กันขึ้นมา สะบัดซ้ายป่ายขวามั่วๆ แบบที่ ระบุอะไรไม่ได้เลย
แม้เขาจะได้รับการถ่ายทอดความรู้จากหน้ากระดาษสีทองในหนังสือสีทอง แต่ก็ล้วนเกี่ยวข้องกับการฝึกวรยุทธ ศิลปะการต่อสู้ และการปรุงยาทั้งสิ้น คงจะมีหนังสือที่เกี่ยวข้องกับการวาดภาพอยู่บ้างในหอสมุดอาจารย์ แต่เขาก็แทบจะไม่ได้ใส่ใจ
“ฮ่าฮ่า พี่หยวนหยู่ ถ่อมตัวเกินไปแล้ว!”
ในเวลานั้น ปรมาจารย์ลู่เฉินก็เขียนภาพแม่น้ำไหลเสร็จสมบูรณ์ เขาหัวเราะหึๆและพูดต่อ “ไม่นานมานี้ผมไปเที่ยวชมแม่น้ำเบนมา และใช้เวลาอีกระยะหนึ่งประมวลอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดก่อนจะปลดปล่อยออกมาเป็นภาพนี้ นั่นคือเหตุผลที่ผมต้องยกให้ เพราะพี่หยวนหยู่มีธุระปะปัง ต้องไปรักษาคนไข้ตามที่ต่างๆอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้ว่างเหมือนผม ถ้าว่างและมีเวลาหมกมุ่นกับการวาดภาพเหมือนผมล่ะก็ ผมคงเทียบพี่ไม่ได้!”
“การวาดภาพน่ะขึ้นอยู่กับพรสววรค์ ผมรู้ตัวว่าไม่มีพรสวรรค์ เลยเลือกเป็นหมออย่างไรเล่า” ปรมาจารย์หยวนหยู่ส่ายหน้า
“เอาล่ะ ตาเฒ่าอย่างเราสองคนไม่ควรมัวยกยอกันเองเช่นนี้ ถ้าพูดถึงพรสววรค์ล่ะก็ น้องจางเซวียนต่างหากที่เป็นอัจฉริยะตัวจริง แม้ยังหนุ่ม แต่ก็มีมุมมองและความเข้าใจที่เป็นเอกลักษณ์ ผมเชื่อว่าความสามารถในการวาดภาพของเขาไม่มีทางด้อยกว่าเราแน่”
ปรมาจารย์ลู่เฉินส่ายหน้าเปื้อนยิ้มและมองจางเซวียน “พวกเราวาดภาพเสร็จแล้ว น้องจาง ตาคุณแล้ว!”
แย่แล้ว…
เมื่อเขาพูดคำนั้น ทุกสายตาหันมาจับจ้องจางเซวียน
ปรมาจารย์หยวนหยู่พยักหน้าเป็นเชิงยอมรับ นัยน์ตาของเขามีแววใคร่รู้ เขาอยากเห็นว่าจางเซวียนจะวาดภาพชนิดใด
เขาเคยฟังลู่เฉินพูดถึงจางเซวียนมาก่อน แม้จะไม่นึกเคลือบแคลงในคำพูดของเพื่อน แต่ก็ออกจะไม่อยากเชื่อว่าจางเซวียนจะมีความเชี่ยวชาญถึงระดับนั้นด้วยวัยเพียงเท่านี้
การวาดภาพนั้นต่างจากศิลปะการต่อสู้ มันไม่ใช่อะไรที่จะประสบความสำเร็จกันได้ด้วยพรสววรค์เพียงอย่างเดียว ผู้ฝึกฝนจะต้องสั่งสมประสบการณ์และอารมณ์ความรู้สึกเพื่อทำความเข้าใจชีวิต เพื่อให้ผลิตภาพวาดชั้นดีได้ แม้แต่ตัวเขา การรักษาคนไข้จำนวนนับไม่ถ้วนคือสิ่งที่ทำให้เขาได้รับแรงบันดาลใจที่จำเป็นต่อการรังสรรค์ภาพวาด ให้เขาเข้าถึงระดับที่เป็นอยู่
แต่จางเซวียนอายุยังไม่เต็มยี่สิบเสียด้วยซ้ำ ต่อให้มีความสามารถในการวาดภาพมาตั้งแต่เกิด อย่างมากที่สุดเขาก็คงจะมีพื้นฐานแน่นพอที่จะเข้าถึงขั้นการพรรณนาเสมือนจริง แต่ถ้าเขาอยากวาดภาพที่เข้าขั้นผืนผ้าใบแห่งจิตวิญญาณและการถ่ายทอดเจตนารมณ์ล่ะก็…น่าจะต้องฝึกฝนหนักกว่านี้อีกมาก
แต่แน่นอนว่าเขาไม่พูดความคิดนี้ออกมา เพราะจะเป็นการไม่สุภาพ
เมื่อปรมาจารย์ลู่เฉินเชื้อเชิญให้เขาวาดภาพ จางเซวียนก็ไม่รู้จะทำอย่างไรนอกจากสำรวจภาพวาดที่อีกฝ่ายวาดไว้แล้ว
แม้แต่ไป๋ซวินกับหวงหวี่ก็ดูตื่นเต้น
ครั้งที่แล้วที่จางเซวียนมาที่นี่ เขาได้สำแดงบทบาทน่าประทับใจไว้ โดยชี้ข้อบกพร่องและเปิดเผยความลับที่อยู่เบื้องหลังภาพวาดของปรมาจารย์ลู่เฉิน แถมยังให้คำชี้แนะด้วย พวกเขาชื่นชมจางเซวียนมาก มาถึงวันนี้ก็ยิ่งอยากรู้ว่า ปรมาจารย์จางที่อายุมากกว่าพวกเขาแค่ไม่กี่ปีจะอยู่ในขั้นไหน
“ผมรึ?”
เห็นสายตากระตือรือร้นหลายคู่ จางเซวียนรู้สึกไปไม่เป็น
เขาคิดว่าอีกฝ่ายแค่พูดเล่น
ผมจะวาดได้ไงพี่… ในเมื่อผมไม่รู้อะไรเลยแม้แต่น้อย?
เขาไม่อาจวาดลูกเจี๊ยบ เติมแสงเรืองรองเข้าไป แล้วเรียกมันว่านกฟีนิกซ์ศักดิ์สิทธิ์ได้
ถ้าทำแบบนั้น อย่าฝันเลยว่าจะได้ออกจากที่นี่แบบตัวเป็นๆ คงต้องถูกตีขาหักแล้วคลานออกไป
“เอ่อ…เอ่อ…ขอผมพลิกดูหนังสือสักหน่อยได้ไหม?”
จางเซวียนเกาศีรษะ ข่มความอายและเอ่ยถาม