ตอนที่ 159 สิบแปดมงกุฏ?
“พลิกดูหนังสือรึ?”
ลู่เฉินกับหยวนหยู่สบตากันอย่างงุนงง
เราเชื้อเชิญให้คุณวาดรูป ซึ่งคุณจะวาดอะไรก็ได้เพื่อแสดงความสามารถของคุณออกมา…
พลิกดูหนังสือรึ?
มันเกี่ยวอะไรกับการวาดภาพ?
ไป๋ซวินและหวงหวี่ซึ่งพร้อมจะทึ่งกับจางเซวียนอีกหน กลับกลายเป็นอึ้งแทน
เกิดอยากจะดูหนังสือขึ้นมาตอนที่กำลังจะวาดอยู่แล้ว…มันไม่สายไปหน่อยหรือ?
ยิ่งไปกว่านั้น…พี่ชาย ด้วยมาตรฐานที่สูงส่งของพี่น่ะ แน่ใจแล้วหรือว่าหนังสือจะช่วยเรื่องการวาดภาพของพี่ให้ดีไปกว่านี้ได้อีก?
“ได้สิ!”
แม้จะรู้สึกได้ว่าทุกสายตามองมาที่ตัวเองอย่างแปลกๆ แต่จางเซวียนก็ทำได้แค่ข่มความเงอะงะเท่านั้น
เขาไม่มีหนทางอื่นแล้วจริงๆ
วาดภาพ?
เขาปรารถนาให้ตัวเองเป็นผู้รู้ ที่สามารถวาดภาพขั้นสามหรือสี่ออกมาได้อย่างง่ายดาย และทำให้ทุกคนที่นี่ประทับใจ แต่เรื่องจริงคือ…เขาไม่รู้แม้กระทั่งวิธีจับพู่กัน…แล้วจะวาดได้อย่างไร?
หอสมุดเทียบฟ้าชี้ให้เห็นข้อบกพร่องต่างๆและนำความรู้ในหนังสือออกมาให้เขาได้ใช้ประโยชน์ แต่มันไม่สามารถทำให้เขากลายเป็นปรมาจารย์ด้านการวาดภาพในทันทีได้ จนกว่า…เขาจะได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับการวาดภาพมากพอที่จะสร้างเคล็ดลับเทียบฟ้าขึ้นมาเอง!
หอสมุดสามารถแยกแยะเอาเนื้อหาที่จำเป็นในหนังสือแต่ละเล่มออกมา ทำให้จางเซวียนกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในทุกศาสตร์ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย…ถ้าครั้งนี้ใช้ได้ผล เขาก็อาจจะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการวาดภาพได้ในพริบตาเช่นกัน
“คุณอยากอ่านหนังสือแบบไหนล่ะ? หรือว่า…คุณรู้สึกว่าตัวเองมาถึงทางตันในการวาดภาพเลยต้องการหาแรงบันดาลใจ?” ปรมาจารย์ลู่เฉินเอ่ยถามหลังจากเงียบกันไปครู่ใหญ่
เช่นเดียวกับการฝึกวรยุทธ จิตรกรอาจเจอทางตันในการวาดภาพได้เช่นกัน มีคนจำนวนหนึ่งที่เข้าถึงฝีมมือการวาดขั้นที่สาม ‘การถ่ายทอดเจตนารมณ์’ ได้ด้วยการฝึกฝนเพียงแค่สองสามปี ในขณะที่อีกจำนวนหนึ่งไม่อาจเข้าถึงขั้นหนึ่งได้แม้จะฝึกฝนมาทั้งชีวิต
เขาไม่อาจหยั่งรู้ได้ว่าเหตุใดจางเซวียนจึงต้องการพลิกดูหนังสือ หลังจากงงงันอยู่ครู่หนึ่ง ก็คิดขึ้นได้ว่าอาจเป็นเพราะเขาเจอทางตัน และอยากจะฝ่าด่านของขั้นที่เป็นอยู่ในปัจจุบันไปให้ได้
ไม่อย่างนั้น จะมีเหตุผลอื่นใดที่ทำให้เขาอยากพลิกดูหนังสือก่อนวาดภาพอีกล่ะ?
การอ่านกับการวาดภาพนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย!
“ไม่ใช่อย่างนั้น…มัน…เอ่อ…ก่อนวาดภาพ ผมชอบอ่านหนังสือหลายๆเล่มเพื่อให้จิตใจสงบ มันทำให้ผมรังสรรค์ภาพวาดที่มีคุณภาพสูงออกมาได้!” หลังจากเค้นทุกหยาดหยดในสมองออกมา จางเซวียนก็ได้ข้ออ้างเพราะเขาไม่อาจบอกได้ว่าตัวเองไม่รู้แม้วิธีจับพู่กัน และที่อยากอ่านหนังสือ…ก็เพื่อจะได้เรียนรู้สักหน่อย…
ถ้าบอกไปตามตรงอย่างนั้น ทุกคนคงคิดว่าเขาเพี้ยน
การวาดภาพนั้นยากกว่าศิลปะการต่อสู้มาก เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีความชำนาญในระดับเดียวกับลู่เฉินและหยวนหยู่หากไม่ได้เพียรพยายามมาหลายทศวรรษ ไม่ได้สิ้นเปลืองกระดาษและทำพู่กันพังไปจำนวนนับไม่ถ้วน ถ้าจะเรียนการวาดภาพแค่จากหนังสือ…
ฝันไปหรือเปล่า?
ต่อให้อยากโกหก ก็ควรจะพูดจาให้น่าเชื่อถือกว่านี้…
“ภาพวาดที่ดีนั้นขึ้นอยู่สภาวะจิตของผู้วาด โชค และโอกาส…ด้วยวัยแแบบคุณ ก็เข้าใจได้ว่า มันยากที่จะรังสรรค์ภาพวาดที่ดีได้โดยไม่ต้องสงบจิตสงบใจเสียก่อน” ปรมาจารย์หยวนหยู่พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
ปรมาจารย์ลู่เฉินไม่ปฏิเสธคำพูดของจางเซวียนเช่นกัน
การวาดภาพเป็นศิลปะ มิใช่เทคนิคทางกายภาพ ต่อให้สภาพร่างกายไม่ดีนัก ก็ใช่ว่าความเข้มแข็งจะถูกกระทบกระเทือนไปด้วย
แต่หากไม่สามารถปรับใจให้อยู่ในสภาวะที่เหมาะสมได้ ไม่ว่าจะวาดภาพได้ดีแค่ไหน ก็เป็นการวาดภาพเฉพาะเปลือกนอกเท่านั้น แต่ปราศจากวิญญาณ ไม่มีทางที่จะเป็นผลงานชิ้นเอกไปได้
“มันเป็นนิสัยของผม” จางเซวียนไม่คาดว่าปรมาจารย์ทั้งสองจะไม่ทักท้วงสิ่งที่เขาพูด เขาหยุดกะทันหันด้วยความประหลาดใจ
แต่ไม่ช้าก็ตระหนักได้
ศิลปะเป็นหนึ่งเดียว ไม่ว่าผู้นั้นจะมาจากโลกไหนก็ตาม
ย้อนกลับไป ตอนที่หวังชีเขียน ‘อารัมภบทแห่งพลับพลากล้วยไม้’ เขาเมาและเขียนไปส่งๆ แต่เมื่อตื่นขึ้นมาและพยายามจะเขียนใหม่ กลับพบว่าไม่อาจเขียนให้ดีกว่างานชิ้นเดิมได้ นี่คือความสำคัญของสภาวะจิต
เฉกเช่นกัน ถ้ายื่นพู่กันกับกระดาษให้ปรมาจารย์หยวนหยู่ แล้วขอให้เขาวาดผลงานชิ้นเอก คือภาพแม่น้ำคานารีอีกครั้ง เขาก็ไม่มีทางวาดให้เหมือนเดิมได้
ทุกคนมีผลงานชิ้นเอกของตัวเอง และบ่อยครั้งที่มีปัจจัยมากมายประกอบกันเป็นงานนั้น มันสมเหตุสมผลอย่างยิ่งที่เขาจะขอพลิกดูหนังสือเพื่อปรับสภาวะจิตของเขาให้สงบ
“ลู่เฉิน ในห้องหนังสือของคุณพอมีเคล็ดลับการวาดภาพอยู่บ้างไม่ใช่รึ? ทำไมไม่ให้เพื่อนตัวน้อยของเราเข้าไปชมเสียหน่อยล่ะ เราจะรออยู่ที่นี่ระหว่างที่เขาดื่มด่ำกับสภาวะล้ำลึกก่อนจะแสดงฝีมือการวาดภาพให้เราชม!” ปรมาจารย์หยวนหยู่พูด
“ห้องหนังสือรึ?” ลู่เฉินอ้าปากค้าง
ครั้งล่าสุดที่พ่อหนุ่มคนนี้เข้าไปฝ่าด่านวรยุทธในนั้นก็ทำเอาห้องหนังสือพังพินาศ เขายังสะพรึงอยู่จนถึงทุกวันนี้ แต่เขาก็อยากรู้ว่าจางเซวียนมีฝีมือการวาดภาพถึงขั้นไหน จึงพยักหน้า “อาเฉิง พาน้องจางเซวียนไปที!”
“ขอบคุณท่านปรมาจารย์!” เมื่อเห็นว่าตัวเองจัดการเรื่องยุ่งยากได้ จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอกและเดินตามลุงเฉิงพ่อบ้านเข้าไปในห้องหนังสือ
ครั้งล่าสุดที่เขามาที่นี่ก็เพื่อมองหาเคล็ดวิชาสำหรับนักรบขั้น 6-พี่เชวี่ย ไม่นึกเลยว่าจะได้กลับมาอีกครั้งเพื่ออ่านเรื่องการวาดภาพ
เมื่อจางเซวียนก้าวเข้าไปในห้องหนังสือ บรรยากาศในห้องนั่งเล่นก็เปลี่ยนไป
“ปรับสภาวะจิต…ปรมาจารย์ลู่ ทำไมฉันไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนล่ะคะ?”
หวงหวี่อดตั้งคำถามไม่ได้ ในฐานะผู้ช่วยอาจารย์ เธอได้รู้ได้เห็นและมีประสบการณ์หลายอย่าง แต่ถ้าจะพูดตามตรง ก็ไม่เคยเห็นอากัปกิริยาแปลกประหลาดเช่นนี้
“ความต้องการปรับสภาวะจิตใจนั้นแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล จึงยากที่จะระบุได้” ลู่เฉินไม่ตอบ ปรมาจารย์หยวนหยู่จึงพูดแทนหลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง “อันที่จริง สิ่งนี้เป็นมากกว่านิสัย ในอดีต มีผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งซึ่งมีอาชีพขายฟืนก่อนที่เขาจะมีชื่อเสียงโด่งดัง…”
“ผมรู้ ปรมาจารย์กำลังพูดถึงผู้อาวุโสลู่ไฉใช่หรือไม่?” ไป๋ซวินถาม
นามเดิมของผู้อาวุโสลู่ไฉคือลู่ชวน ขายฟืนเลี้ยงชีพมาก่อนที่จะมีชื่อเสียงโด่งดัง จากนั้นผู้คนก็พากันเรียกเขาว่าลู่ไฉ
ตอนที่เขาสำเร็จวรยุทธขั้นทงฉวน ระดับสูงสุดนั้น มีเพียงไม่กี่คนในอาณาจักรเทียนเซวียนที่สามารถเทียบชั้นกับเขาได้ ชื่อเสียงของเขาจึงขจรขจายไปในช่วงนั้น
จากคนขายฟืนธรรมดาสามัญ เขากลายเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียงลือกระฉ่อนทั่วอาณาจักร ผู้อาวุโสลู่ไฉมักเล่าเรื่องการฝึกวรยุทธของตัวเองเพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้คนรุ่นหลังเสมอ แต่มีไม่กี่คนที่รู้ภูมิหลังของเขา
“นั่นแหละคือผู้อาวุโสลู่ไฉ เรารู้ว่าเขาฝึกหนักเพียงใดเพื่อจะยกระดับวรยุทธ และรู้ว่าเขามีชื่อเสียงโด่งดังได้อย่างไร แต่แทบไม่มีใครรู้ความจริงที่เขาผ่าฟืนเพื่อปรับสภาวะจิตให้สงบก่อนทำการประลอง เขาจะขังตัวเองอยู่ในห้องและผ่าฟืนตลอดวันเพื่อให้สำแดงวรยุทธได้ยอดเยี่ยมที่สุด”
“พี่หยวนพูดเช่นนี้ ผมนึกถึงผู้เชี่ยวชาญตั้งแต่ศตวรรษที่แล้วได้อีกท่านหนึ่ง นักดาบผู้โดดเดี่ยว อู๋เจียงผิง เขาเป็นที่ร่ำลือในความสามารถ‘สยบทะเลด้วยดาบเดียว’ ผมได้ยินมาว่า
ก่อนจะมีชื่อเสียงนั้น เขาเคยเป็นช่างจักสาน ก่อนการประลองทุกครั้งเขาจะปรับสภาวะจิตใจด้วยการทำงานจักสาน สุดท้ายเขาก็สำเร็จวรยุทธขั้นทงฉวนและกลายเป็นปูชนียบุคคลที่ทุกคนให้ความเคารพ” ปรมาจารย์ลู่เฉินเล่าบ้าง
“อันที่จริงก็มีหลายตัวอย่าง ส่วนเพื่อนเราใช้การอ่านหนังสือเพื่อปรับสภาวะจิตใจ อันที่จริงก็ไม่ได้แปลกอะไร เพียงแต่…” หยวนหยู่หยุดพูดเอาดื้อๆ
“พี่หยวนหยู่ เชิญท่านพูดตามที่คิดเถิด!” ลู่เฉินหัวเราะหึๆ
“ตอนที่คุณกำลังวาดน่ะ ผมลอบสังเกตเขา และจงใจตั้งคำถามกับหวงหวี่และไป๋ซวินเพื่อจะดูว่าเขามีปฏิกิริยาอย่างไร ซึ่ง…เขาดูเหมือนจะสับสนว่าเกิดอะไรขึ้น ดูเหมือนไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการวาดภาพเลย และ…อันที่จริง ผมสงสัยเหลือเกินว่าเขาจะรู้อะไรเกี่ยวกับภาพวาดของคุณบ้าง!”
เมื่อนึกทบทวนสิ่งที่เพิ่งเห็น หยวนหยู่โคลงศีรษะ “น้องลู่ คุณบอกว่าเขาสามารถชี้ข้อบกพร่องและรู้ความลับที่อยู่เบื้องหลังภาพวาดฤดูร้อน-ฤดูใบไม้ร่วง และภาพพยัคฆ์แดงคำรามถึงสวรรค์ของคุณได้ เพราะฉะนั้น เขาไม่น่าจะแสดงอาการเช่นนี้!”
ในฐานนะนายแพทย์ ปรมาจารย์หยวนหยู่มีความสามารถในการเก็บทุกรายละเอียด เขาเห็นชัดเจนว่าจางเซวียนตกตะลึงจนออกนอกหน้าเมื่อเห็นภาพวาดของปรมาจารย์ลู่เฉิน
“ไม่รู้เรื่องการวาดภาพรึ? นั่นไม่น่าเป็นไปได้” ปรมาจารย์ลู่เฉินมิได้เฉียบแหลมและใส่ใจรายละเอียดดังเช่นปรมาจารย์หยวนหยู่ เขาจึงรู้สึกว่ามันยากที่จะเชื่อ
จางเซวียนคนนี้รับรู้ถึงงานศิลปะของเขาได้ทันทีนับตั้งแต่ก้าวเข้ามาในลานบ้าน หลังจากนั้นก็ฉีกภาพวาดฤดูร้อน-ฤดูใบไม้ร่วงเพื่อเผยให้เห็นภาพวาดของจริงที่ซ่อนอยู่ข้างใน แถมยังชี้ข้อบกพร่องในภาพพยัคฆ์แดงคำรามถึงสวรรค์…
ด้วยสายตาเฉียบแหลมเช่นนี้ เขาจะไม่รู้เรื่องการวาดภาพเลยได้อย่างไร?
“มันเป็นแค่ความรู้สึกของผม ผมอาจจะผิดก็ได้…” ปรมาจารย์หยวนหยู่ส่ายหน้า
เขาสงสัยใคร่รู้ในตัวจางเซวียนยิ่งนัก ก่อนที่จะพบหน้ากัน ปรมาจารย์ลู่เฉินได้พรรณนาไว้จนถึงขั้นที่ว่าหากจางเซวียนจะกลายเป็นเทพเจ้าที่ลงมาจุติบนโลกมนุษย์ เขาก็คงไม่แปลกใจ เรื่องนี้ทำให้หยวนหยู่สนใจใคร่รู้เป็นอย่างยิ่ง แต่หลังจากพบกันแล้ว ถ้าจะพูดกันตามตรงก็คือเขาออกจะผิดหวัง
ปรมาจารย์ด้านการวาดภาพควรจะมีบุคลิกที่เป็นเอกลักษณ์ แต่ตัวเขาไม่รู้สึกถึงอะไรทำนองนั้นจากจางเซวียนเลยแม้แต่น้อย ยิ่งกว่านั้น จางเซวียนยังมีแต่ความลังเลเมื่อพูดถึงการวาดภาพ จนเขาอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าฝ่ายนั้นเป็นปรมาจารย์ด้านการวาดภาพจริงหรือไม่ ถ้าไม่เห็นแก่หน้าเพื่อนเก่าล่ะก็ เขาคงจะท้าพิสูจน์ตัวตนกันแล้ว
ถ้าอีกฝ่ายมีความสามารถด้านการวาดภาพชนิดที่ไม่เป็นรองเขากับลู่เฉินจริงๆล่ะก็ คงไม่แสดงอาการเช่นนั้นแน่
“จะเป็นไปได้ไหมว่า…เขาไม่รู้อะไรเลยจริงๆ ที่ผ่านมาเป็นของปลอม?” ปรมาจารย์หยวนหยู่ขมวดคิ้วเมื่อความคิดนั้นผุดขึ้นในหัวอย่างกะทันหัน
ถ้าเป็นเรื่องจริง ทุกอย่างก็ลงล็อกตามนั้น
ที่ลงล็อกก็เพราะ เมื่อจางเซวียนไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับการวาดภาพ เขาจึงพยายามหลีกเลี่ยงหัวข้อนี้และประกาศว่าต้องการอ่านหนังสือเพื่อปรับสภาวะจิตใจ
ที่ลงล็อกก็เพราะ เมื่อจางเซวียนไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับการวาดภาพ ความสับสนจึงสะท้อนออกมาทางสีหน้าของเขาเมื่อเห็นลู่เฉินวาด ไม่อาจเทียบได้แม้กับหวงหวี่และไป๋ซวิน
แต่นั่นก็ฟังขึ้น เพราะเขายังอายุไม่เต็มยี่สิบเสียด้วยซ้ำ ต่อให้เขาคุยโวโอ้อวดไว้มากมาย แต่ความเชี่ยวชาญจริงๆนั้นเขาจะมีสักเท่าไรกัน?
เขาคงจะทำการศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับภาพวาดของลู่เฉินมาล่วงหน้า แล้วก็มาแสดงตัว แสร้งทำเป็นว่ามีความรู้ แต่อันที่จริงแล้วตัวเองเป็นสิบแปดมงกุฏ
ถ้าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริง เขาจะต้องเตือนเพื่อนเก่าไม่ให้ตกหลุมพรางของฝ่ายนั้นอีก
“พี่หยวนหยู่ บ่ายนี้พี่ต้องไปเยี่ยมคนไข้มิใช่หรือ พี่ต้องรอเช่นนี้จะเป็นการไม่สะดวกหรือเปล่า?”
กำลังตรึกตรองว่าจะหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดอย่างไร ก็พอดีได้ยินเสียงปรมาจารย์ลู่เฉิน
“ผมได้ยินมาว่ามีปรมาจารย์ชื่อหยางชวนมาพักอยู่ที่เมืองหลวง เขารักษาอาการป่วยให้ภรรยาของหลิงเทียนหยู่ และแก้ปัญหาของตู้เหมี่ยวชวนได้ด้วยกรรมวิธีพิเศษบางอย่าง ผมอยากไปขอพบเพื่อเรียนรู้จากเขา”
ปรมาจารย์หยวนหยู่พยักหน้า
ภรรยาของหลิงเทียนหยู่และตู้เหมี่ยวชวนเป็นคนไข้ของเขา เขาพยายามหาวิธีรักษาสองคนนั้นมาตลอด แต่ก็ไม่สำเร็จ แต่ปรมาจารย์หยางชวนผู้นั้นแก้ปัญหาได้รวดเร็วนัก ในฐานะนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ก็เป็นธรรมดาที่เขาจะต้องอยากพบฝ่ายนั้น ด้วยความหวังว่าอาจได้คำชี้แนะสักหนึ่งหรือสองข้อ เพื่อให้เขามีความรู้เรื่องการรักษาโรคมากขึ้น
“ปรมาจารย์รึ?” ปรมาจารย์ลู่เฉินพึมพำอย่างไม่อยากเชื่อ เขาเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านเสมอ จึงไม่รู้เรื่องรู้ราวกับความปั่นป่วนที่หยางชวนปลุกกระแสขึ้นในเมืองหลวง
“อันที่จริง ทำไมบ่ายนี้เราไม่ไปพบเขาด้วยกันล่ะ? ผมรู้ว่าคุณอยากเข้าถึงการวาดภาพขั้นสี่ แต่ไม่สำเร็จเสียทีไม่ใช่หรือ บางที ด้วยคำชี้แนะของปรมาจารย์ คุณอาจทำสำเร็จก็ได้!” ปรมาจารย์หยวนหยู่ยิ้ม
“ได้! ตกลง พอการประชันนี้เสร็จสิ้นแล้ว เราไปกัน” ปรมาจารย์ลู่เฉินพยักหน้าอย่างตื่นเต้น
ขณะที่จางเซวียนอยู่ในบ้านของปรมาจารย์ลู่เฉินเพื่อเข้าร่วมการประชันระหว่างหวงหวี่กับไป๋ซวิน
เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มีหอกสะพายหลังก็มาถึงห้องเรียน เขาคือเพื่อนเล่นวัยเด็กของเจิ้งหยาง และเป็นเพื่อนสนิทของเขาด้วย–โม่วเซียว
ในตอนแรก ทั้งคู่ตั้งใจขอเข้าเป็นศิษย์ของอาจารย์หว่างเชา แต่มีโม่วเซียวเพียงคนเดียวที่เข้าเป็นศิษย์ได้สำเร็จ เจิ้งหยางต้องมาเป็นศิษย์ของจางเซวียนแทน
“ฉันเพิ่งเรียนเพลงหอกกระบวนท่าใหม่มา อยากประลองกับนาย!”
หอกนั้นสั่นสะท้าน โม่วเซียวดูเหมือนจะหลอมเป็นหนึ่งเดียวกับหอกของเขา เขาแผ่รังสีคมปลาบออกมาในแบบที่ทำให้คนอื่นๆต้องขมวดคิ้วอย่างไม่สบายใจ
“ได้!” เจิ้งหยางยืนจังก้าพร้อมหอกคู่ใจ ไม่คิดจะถอยจากคำท้าทายนั้นเช่นกัน