ตอนที่ 50 คนระดับเดียวกัน
“ง่ายมาก” จางเซวียนไม่รู้เลยว่าคนรอบด้านคิดอะไรอยู่ แล้วก็ไม่รู้ว่าทุกคนต่างกำลังตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขายิ้มแล้วกล่าวต่อ “พยัคฆ์แดงเป็นสัตว์ดุร้าย มันมีพลังการป้องกันสูง ลำตัวของมันยาวเหมือนกระบี่ทำให้มันสามารถโจมตีและเอาชนะคู่ต่อสู้ได้โดยอาศัยความไว จากจุดนี้สามารถเข้าใจได้ว่าพลังปราณในตัวมันทั้งว่องไวและแหลมคม ไม่ใช่พลังปราณแบบที่ช้าและหนักหน่วง คิดจะวาดรูปสัตว์ร้าย ขนาดลักษณะของพลังปราณในตัวมันยังวาดผิด แล้วผลงานจะออกมาดีได้อย่างไร”
ปรมาจารย์ลู่เฉินถึงกับตัวสั่น
อีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไรผิดเลย เขาพูดถูกทุกคำ
เมื่อก่อนเขาเองก็เคยคิดว่า พลังการป้องกันของพยัคฆ์แดงมีความแข็งแกร่งอย่างมาก น่าจะเป็นพลังปราณที่มีความหนักหน่วง แต่พอได้ฟังคำพูดของจางเซวียนแล้ว ก็ทำให้เขานึกถึงหนังสือเล่มหนึ่งที่ระบุถึงลักษณะของพยัคฆ์แดงตัวนี้ไว้ว่าเป็นสัตว์ร้ายที่มีความว่องไวสูง สามารถปลิดชีพของศัตรูได้แบบไร้เสียงไร้เงา ดังนั้นจึงทำให้มีเพียงน้อยคนที่เคยเห็นใบหน้าตรงๆ ของมันแล้วมีชีวิตกลับมาบอกคนอื่น
สำหรับนักวาดระดับมืออาชีพ สิ่งที่กลัวที่สุดก็คือจิตวิญญาณของสิ่งที่อยู่ในภาพวาดไม่ถูกต้อง ถ้าเป็นแบบนั้นภาพวาดแผ่นนั้นก็จะไร้ค่าไปทันที จางเซวียนพูดว่าภาพวาดนี้ไม่เลว ไม่ได้ตำหนิอะไรมากมาย แค่นี้ก็นับว่าให้เกียรติกับภาพวาดมากแล้ว
“ดี พูดได้ดี” ปรมาจารย์ลู่เฉินกล่าวชม เขารู้สึกดีใจจนออกนอกหน้า ดีใจที่เจอผู้มีความสามารถรับรู้ถึงศิลปะได้ขนาดนี้
ถ้าจางเซวียนดูออกถึงจุดบกพร่องของภาพแรกภาพเดียว นั่นอาจจะเป็นเพียงความบังเอิญ แต่เขาสามารถมองเห็นจุดบกพร่องของภาพทั้งสองภาพได้ และสามารถชี้แจงถึงจุดบกพร่องได้อย่างละเอียด ลู่เฉินรู้ทันทีว่าชายหนุ่มที่ยืนตรงหน้าตนไม่ใช่คนธรรมดา
แม้อายุจะไม่มากแต่ก็มีความสามารถด้านศิลปะที่สูงส่งกว่าตัวเขาเสียอีก
เพื่อนธรรมดาหาง่าย แต่เพื่อนที่รู้ใจหายาก
เขาเป็นถึงราชครู ในอาณาจักรเทียนเซวียนภาพวาดของเขาไม่มีใครกล้ามาตำหนิ ปกติเขาจะเป็นคนให้คำชี้แนะกับผู้อื่น ซึ่งคนที่ได้รับคำชี้แนะต่างรู้สึกชื่นชมในตัวเขา ไม่มีใครรู้จักงานศิลปะที่แท้จริง ไม่มีใครสามารถชี้จุดบกพร่องของงานศิลปะของเขาได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงมีความมั่นใจในภาพวาดของตัวเองสูง เขามักจะเปิดบ้านและเสาะหาลูกศิษย์จากทั่วสารทิศเพื่อที่จะหาผู้สืบทอดเจตนารมณ์ของตัวเอง
ตอนนี้ มีคนที่รู้จักงานศิลปะที่แท้จริงและยังสามารถชี้ถึงจุดบกพร่องต่างๆ ของงานเขาได้อย่างชัดเจน เจอเพื่อนที่รู้ใจแบบนี้ ลู่เฉินจะไม่รู้สึกดีใจสุดๆ ได้อย่างไร เขาไม่ได้กระโดดโลดเต้นก็นับว่ามีความสามารถในการควบคุมอารมณ์ตัวเองดีมากแล้ว
ส่วนหวงหวี่กับไป๋ซวิน เมื่อเห็นอาการดีใจอย่างออกนอกหน้าของปรมาจารย์ลู่เฉิน ทั้งสองก็หยุดลับฝีปาก ได้แต่มองอย่างไม่อยากจะเชื่อในสายตาของตัวเอง
พวกเขารู้จักปรมาจารย์คนนี้มาตั้งแต่ตนเองยังเป็นเด็ก รู้ดีว่าปรมาจารย์คนนี้ไม่เคยแสดงอาการใดๆ ออกมา แม้ว่าภูเขาจะถล่มดินทลาย เขาก็ไม่มีสีหน้าท่าทางใดๆ ครั้งก่อนตอนที่ฮ่องเต้พระราชทาน ‘ไข่มุกราตรีบริสุทธิ์’ ให้กับลู่เฉิน ของสิ่งนี้มีค่ามหาศาลเลยทีเดียว แต่พอบ่าวรับใช้นำมามอบให้กับลู่เฉิน เขากลับให้บ่าวนำไข่มุกเม็ดนั้นไปเก็บในห้องเก็บของ ขนาดมองยังไม่มองสักแวบ
ชายหนุ่มคนนี้แค่ตอบคำถามไม่กี่คำ ลู่เฉินก็มีอาการดีใจจนออกนอกหน้า… หรือว่าที่ชายหนุ่มคนนี้พูดจะเป็นเรื่องจริงทั้งหมด
พอคิดได้แบบนี้ ทั้งสองจึงหันไปมองจางเซวียนที่ยืนอยู่ไม่ไกล ภาพลักษณ์ภายนอกดูเป็นคนธรรมดา ไม่ได้มีอะไรบ่งบอกว่าเขาเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถสูงส่ง
หวงหวี่ที่กำลังงุนงงอยู่ได้ยินเสียงของลู่เฉินดังขึ้น “เสี่ยวหวี่ ยังไม่รีบแนะนำชายหนุ่มคนนี้ให้ผมอีก”
“แนะนำหรือคะ เขาคือ…” เมื่อถูกออกคำสั่ง หวงหวี่รู้สึกไปไม่ถูก เธอเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองยังไม่รู้จักชื่อของชายหนุ่มคนนี้เลย เธอหน้าแดงแล้วหันไปมองที่จางเซวียน “จริงสิ คุณชื่ออะไรนะ?”
เมื่อไป๋ซวินได้ยินคำพูดของหวงหวี่ก็รู้สึกประหลาดใจอย่างมาก ตอนแรกเขานึกว่านางในดวงใจของตนถูกชายอื่นจีบ เขาโมโหจนเกือบจะเข้าไปทำร้ายจางเซวียน ตอนนี้เพิ่งรู้ว่าหวงหวี่ยังไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อของจางเซวียน รู้แบบนี้แล้วจะไปโมโหทำไม
ในขณะที่หวงหวี่ยังงงๆ อยู่ก็ถูกลู่เฉินตำหนิด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว “พวกคุณทำอะไรกัน ทะเลาะกันอยู่ได้ ไม่มีมารยาทเอาซะเลย น้องชายท่านนี้เป็นคนระดับเดียวกันกับผม ต่อไปพวกคุณต้องเรียกเขาว่าปรมาจารย์นะ”
“คนระดับเดียวกันหรือคะ/ครับ” ตอนนี้ไม่เพียงแต่หวงหวี่ ไป๋ซวินก็ตะลึงไปเหมือนกัน แม้แต่ลุงเฉิงที่ยืนอยู่ข้างๆ เองก็ตกใจตามไปด้วย เขามองจางเซวียนเหมืองมองตัวประหลาด
ฐานะของปรมาจารย์ลู่เฉินสูงส่งขนาดไหนรึ?
ก็สูงขนาดเป็นราชครูของฮ่องเต้อาณาจักรแห่งนี้น่ะสิ
คนทั่วทั้งอาณาจักรเทียนเซวียนไม่มีใครกล้าบอกว่าตัวเองเป็นคนระดับเดียวกับราชครูผู้นี้ ถ้าใครกล้าพูดแบบนี้ ก็หมายความว่ายกตัวเองไปอยู่เหนือฮ่องเต้
แต่คนระดับนี้ จู่ๆ มาบอกว่าตนเองเป็นคนระดับเดียวกันกับชายหนุ่มที่อายุไม่ถึงยี่สิบปี
คำพูดคำนี้เขาพูดเองจริงๆ รึ
“ไม่ได้ยินที่ผมพูดรึ?” เห็นทั้งสองกำลังมึนงง ลู่เฉินจึงตวาดอีกครั้ง
“รับทราบ” ไป๋ซวินและหวงหวี่ตอบรับแล้วหันไปคารวะจางเซวียน “คารวะท่านปรมาจารย์”
“ไม่ต้องมากพิธี” คิดไม่ถึงว่าลู่เฉินจะเป็นคนขี้เกรงใจขนาดนี้ จางเซวียนส่ายหัว “กระผมจางเซวียน บังเอิญมองภาพวาดของท่านออก แต่ไม่มีความสามารถพอที่จะเป็นถึงปรมาจารย์ของใครได้”
“ที่แท้น้องชายก็ชื่อจางเซวียนนี่เอง แต่กฎก็ต้องเป็นกฎ คุณสามารถมองเห็นจุดบกพร่องของภาพวาดของผมได้เพียงชั่วพริบตา แสดงว่าความสามารถด้านงานศิลปะของคุณมีความลึกล้ำอย่างมาก ความสามารถแบบนี้ถ้าไม่คู่ควรจะเป็นปรมาจารย์ แล้วตัวผมเองที่เป็นปรมาจารย์จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนได้” ลู่เฉินตอบ
จางเซวียนยิ้มบางเบา เขาสามารถมองเห็นถึงจุดบกพร่องได้ก็จริง แต่ไม่ใช่ด้วยความสามารถของตัวเขาเอง ทั้งหมดเป็นเพราะมีหอสมุดเทียบฟ้าคอยช่วยต่างหาก
ถ้าไม่มีของสิ่งนี้ อย่าว่าแต่ตรวจจุดบกพร่องเลย แค่ภาพวาดธรรมดาเขาก็ชื่นชมไม่เป็น
“เอาล่ะ ไม่ต้องถ่อมตัวอีกแล้ว เด็กสองคนนี้วันหลังคุณก็ดุด่าได้ตามสบายเลย” ปรมาจารย์ลู่เฉินไม่รู้ว่าจางเซวียนกำลังคิดอะไรอยู่ เขาจึงพูดต่อ
“ดุด่าได้ตามสบายรึคะ/ครับ” พอได้ยินคำพูดของลู่เฉิน ทั้งไป๋ซวินและหวงหวี่เกือบจะร้องไห้ออกมา นี่มันอะไร… อายุก็ไล่เลี่ยกันพริบตาเดียวคนตรงหน้าก็กลายเป็นผู้อาวุโสชั้นปู่ไปเสียแล้ว มันจะเร็วเกินไปหน่อยไหม
ลู่เฉินพูดต่อโดยไม่สนใจไป๋ซวินและหวงหวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ
“น้องชายตามเสี่ยวหวี่มาถึงที่นี่ ควรจะต้องมีธุระเป็นแน่ มีอะไรที่ผมพอจะช่วยได้บ้างไหม”
จางเซวียนได้ยินลู่เฉินถามถึงจุดมุ่งหมายของตน เขาจึงรีบพูดทันที “ได้ยินมาว่าท่านปรมาจารย์เก็บสะสมหนังสือไว้เป็นจำนวนมาก ผมจึงตั้งใจมาเพื่อขอยืมดูตำราเคล็ดวิชาขั้นหกสักหน่อยครับ…” อุตส่าห์เดินทางมาถึงที่นี่ แล้วจะให้พลาดโอกาสได้อย่างไร
เมื่อลู่เฉินได้ทราบถึงจุดมุ่งหมายของจางเซวียนก็ยิ้มแล้วลูบเคราตัวเองเบาๆ พร้อมกับลุกขึ้นยืนทันที “ผมเก็บสะสมหนังสือไว้จำนวน
ไม่น้อยก็จริง แต่ส่วนใหญ่เป็นหนังสือและผลงานด้านศิลปะ ตำรา
เคล็ดวิชามีไม่มากนัก และเคล็ดวิชาขั้นหกก็มีเพียงไม่กี่เล่ม ทั้งหมดถูกเก็บไว้ในห้องหนังสือของผม มาสิ เดี๋ยวผมจะพาไป”
“นายท่าน ห้องหนังสือของท่าน…” ลุงเฉิงรีบเดินมาตรงหน้าลู่เฉินทันที
ห้องหนังสือของลู่เฉิน มีหนังสือที่แสนจะหายากเก็บสะสมไว้อย่างมากมาย ไม่มีใครเคยได้รับอนุญาตให้เข้าไปได้ ครั้งก่อนตอนที่ฮ่องเต้เซินจุยเดินทางมาที่นี่ ฮ่องเต้เองยังไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปเลย ครั้งหนึ่งเคยมีสาวใช้ที่ไม่รู้เรื่องอะไรเข้าไปทำความสะอาดในห้องหนังสือ พอถูกจับได้ก็ถูกตีจนตาย ดังนั้น ในบ้านตระกูลลู่ ห้องหนังสือจึงถือว่าเป็นเขตหวงห้าม ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้
แต่ตอนนี้ลู่เฉินกลับจะพาจางเซวียนไปที่ห้องหนังสือด้วยตัวเอง ลุงเฉิงถึงกับตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
“ห้องหนังสือของผมจะไม่ให้ใครเข้าไปโดยเด็ดขาด เพราะกลัวว่าจะทำให้พลังแห่งความรู้ในนั้นถูกทำลาย แต่น้องชายจางเซวียนเป็นคนระดับเดียวกันกับผม เป็นปรมาจารย์ด้านงานศิลป์ เขาสามารถเข้าไปในนั้นแล้วให้คำชี้แนะกับผมได้ ในอีกมุมหนึ่งก็ถือว่าเป็นเกียรติของห้องหนังสือของผม แล้วคุณจะมาขัดขวางเขาทำไม” หน้าตาของลู่เฉินดูจริงจังอย่างมาก
“รับทราบครับ” ลุงเฉิงถอยไปยืนอยู่ที่เดิม แม้ว่าตัวเขาเองจะไม่เข้าใจในงานศิลปะ แต่ก็รู้ดีว่าที่จางเซวียนพูดออกมาทั้งหมดเป็นเรื่องจริงและถูกต้อง ไม่อย่างนั้น
ลู่เฉินก็ไม่มีทางที่จะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือไวขนาดนี้ แล้วให้ความสนิทสนมกับจางเซวียนทันที
“ไปกันเถอะ” ปรมาจารย์ลู่เฉินเดินนำหน้า จางเซวียนเดินตามหลัง เดินได้สักพักก็มาถึงห้องขนาดใหญ่โตกว้างขวางห้องหนึ่ง
สมกับที่เป็นปรมาจารย์ที่หวงหวี่ชื่นชมเป็นหนักหนา หนังสือที่เก็บสะสมไว้ในห้องหนังสือมีจำนวนมากมายจนนับไม่ถ้วน บนชั้นหนังสือทุกชั้นจะมีหนังสือวางเรียงรายอยู่เต็มไปหมด ในหอสมุดแห่งนี้จะต้องมีหนังสืออย่างน้อยๆแสนกว่าเล่ม เมื่อก้าวเข้าไปในห้องก็รู้สึกเหมือนว่าได้ก้าวเข้ามาในหอสมุดขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง
เมื่อเดินไปตามช่องของชั้นหนังสือสามารถเห็นหนังสือต่างๆ วางอยู่เป็นจำนวนมาก อย่างที่ลู่เฉินพูดไว้ไม่มีผิด หนังสือในนี้ส่วนใหญ่เป็นหนังสือและผลงานด้านศิลปะ ส่วนหนังสือที่เกี่ยวกับเคล็ดวิชาและวรยุทธต่างๆ มีเพียงไม่กี่เล่ม
“ตำราเคล็ดวิชาทั้งหมดอยู่ที่นี่แล้ว เป็นของพวกนักรบขั้นล่าง พอพวกเขาฝึกเสร็จก็โยนทิ้งไว้ที่นี่” ปรมาจารย์ลู่เฉินยิ้มและพูดขึ้น ตอนนี้เขาได้พาจางเซวียนมาถึงมุมเล็กๆ มุมหนึ่งในห้องหนังสือของเขาแล้ว