ตอนที่ 49 เขาทำได้อย่างไง
“เป็นผลงานของท่านปรมาจารย์หรือ?” หวงหวี่ได้ยินเข้าก็เกือบจะล้มทั้งยืน เมื่อก่อนปรมาจารย์ลู่เฉินก็ให้หวงหวี่ตรวจผลงานเช่นกัน แต่… เขาไม่เคยเอาผลงานของตนเองออกมาแสดงสักครั้ง
แต่ครั้งนี้ทำไม…
ประเด็นคือ หากท่านปรมาจารย์นึกอยากจะเอาผลงานของตัวเองออกมาก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ถ้าเจ้าหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้ากล่าวคำชมเชยสักนิดให้ท่านปรมาจารย์ดีใจ ทุกอย่างก็จะผ่านไปได้ด้วยดี แต่… เขากลับพูดว่า ห่วยแตกบรรลัย… ล้อเล่นใช่ไหม
นี่เป็นคำพูดจากปากมนุษย์หรือเนี่ย?
หวงหวี่แทบจะกระอักเลือด ถ้าคุณไม่พูดอะไรยังจะดีเสียกว่า ฉันจะได้ไม่ต้องลำบากไปด้วย ตอนนี้เธอรู้สึกเสียใจที่พาจางเซวียนมาที่นี่
ปรมาจารย์ลู่เฉินชอบศิษย์ที่ตั้งใจเรียน เขาไม่เคยให้ความสำคัญกับเงินทอง เขาชอบให้มีคนมาถามคำถามเขาบ่อยๆ ตอนแรกคนคนนี้ดูแล้วก็เหมือนจะซื่อๆ รู้จักกาลเทศะ เธอคิดว่าเขาเป็นคนที่ใฝ่รู้เลยพามาที่นี่ด้วย เพื่อทำให้ท่านปรมาจารย์ดีใจ ตนเองจะได้ฉวยโอกาสขอในสิ่งที่อยากจะขอ
แต่สุดท้าย คิดไม่ถึงเลยจริงๆ…
หวงหวี่รู้สึกว่าโลกของเธอกำลังจะพังพินาศ ถ้ารู้อย่างนี้ตั้งแต่แรก เธอแค่ตอบปฏิเสธเขาไปก็จบเรื่อง พาเขามาที่นี่ทำไม มาสร้างปัญหาแท้ๆ ระหว่างที่หวงหวี่ตกใจจนแทบจะเป็นบ้า ไป๋ซวินกลับหัวเราะเสียงดัง
เจ้านี่กล้าถึงขนาดบอกว่าผลงานของปรมาจารย์ลู่เฉินเป็น ‘ตลกหลอกแดก’ ไม่ต้องคิดอะไรอีกแล้ว แบบนี้ต้องทำให้ท่านปรมาจารย์โกรธอย่างแน่นอน ต่อให้ตนไม่ลงมือสั่งสอนจางเซวียน ปรมาจารย์ลู่เฉินก็จะลงมือเอง
“นี่คือคนที่คุณบอกว่าเก่งกาจเป็นที่หนึ่ง ชำนาญในทุกสิ่งอย่างนั้นรึ”
ไป๋ซวินมีความสุขเป็นอย่างมาก อมยิ้มแล้วมองไปที่หวงหวี่
เมื่อครู่หวงหวี่ชื่นชมจางเซวียนมาก ชมไม่ทันจะขาดคำ จางเซวียนก็พูดประโยคนี้ออกมา คนที่เก่งกาจเป็นที่หนึ่งพูดอะไรแบบนี้เป็นด้วยหรือ
“ทุกคนโปรดเงียบ” ไม่เหมือนกับลุงเฉิงที่ลุกลี้ลุกลน หวงหวี่ที่กำลังจะเป็นบ้า และไป๋ซวินที่ได้ใจ ลู่เฉินไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ต่อคำพูดของจางเซวียนแม้แต่น้อย เขาหยุดบทสนทนาของทุกคนเอาไว้แล้วมองไปที่จางเซวียนช้าๆ “ทำไมน้องชายถึงพูดแบบนี้ หรือว่าผลงานนี้มีปัญหา?”
“ผมไม่รู้ว่าเป็นผลงานของท่านปรมาจารย์ เมื่อครู่ปากไวไปต้องขออภัยด้วย” ท่าทางของจางเซวียนดูเหมือนตกใจ เขาก้มคำนับเพื่อแสดงความขอโทษ เนื้อหาในหอสมุดเทียบฟ้าได้ระบุถึงข้อบกพร่องของผลงานชิ้นนี้ไว้อย่างละเอียด แล้วก็ระบุชื่อเจ้าของอย่างชัดเจน จางเซวียนต้องรู้อยู่แล้วว่าปรมาจารย์ลู่เฉินที่ยืนอยู่ตรงหน้าเป็นเจ้าของ เขาแค่เสแสร้งทำเป็นไม่รู้เท่านั้น
“ไม่เป็นไร มันเป็นเพียงแค่ผลงานศิลปะเท่านั้น ให้คุณตรวจงานก็ต้องไม่บอกอยู่แล้วว่าใครเป็นเจ้าของ” ปรมาจารย์ลู่เฉินโบกมือ
“ถ้าท่านปรมาจารย์พูดเช่นนี้ผมก็สบายใจแล้ว” จางเซวียนแอบยิ้มน้อยๆ แล้วมองไปที่ภาพวาด “ถ้าพูดถึงภาพวาดภาพนี้ แม้ท่านปรมาจารย์จะเป็นผู้วาดเอง ผมก็คงจะใช้คำทั้งแปดนั่นมาวิจารณ์อยู่ดี”
หวงหวี่และพ่อบ้านต่างพากันเหงื่อแตกพลั่ก
ก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นภาพวาดของท่านปรมาจารย์ เจ้านี่ยังจะ… แกนี่มันบ้าไปแล้วจริงๆ
“แต่ว่า…” จางเซวียนหยุดสักพัก
“แต่ว่าอะไร”
“แม้ว่าภาพวาดภาพนี้จะไม่ได้ดีเลิศอะไรมากมาย ให้ใครมาวาดก็วาดได้ ดังนั้น ใครจะชมอย่างไรก็เป็นเพียงแค่คำพูดหลอกลวง แต่ถ้าสามารถมองเห็นสิ่งที่หลบซ่อนอยู่ข้างในได้ นี่ต่างหากที่เรียกว่ามหัศจรรย์ ไม่ว่าใครก็อาจจะทึ่งในสิ่งที่ตาเห็น” จางเซวียนกล่าว
“สิ่งที่หลบซ่อนอยู่ข้างใน? ดูอย่างไรรึ” ปรมาจารย์ลู่เฉินยิ้มน้อยๆ
“ง่ายมากครับ” จางเซวียนมองไปยังลุงเฉิง “ช่วยหยิบมีดสั้นให้ผมสักเล่มหนึ่ง”
“ได้ครับ” ลุงเฉิงมองสบตาของปรมาจารย์ลู่เฉิน ไม่เห็นเขามีปฏิกิริยาอะไร จึงหันหลังแล้วเดินออกไป ไม่นานก็กลับมาพร้อมกับมีดสั้นหนึ่งเล่ม
“ผมต้องขออนุญาตนะครับ” จางเซวียนหยิบมีดสั้นแล้วเดินมาที่ภาพวาด จากนั้นก็แทงมันลงไปทันที
“คุณจะทำอะไร!” เห็นการกระทำของจางเซวียน ไป๋ซวินรีบก้าวออกมา “ภาพวาดของท่านปรมาจารย์ ทุกภาพมีค่ามากมายมหาศาล เรียกได้ว่าเป็นสมบัติอันล้ำค่า ถ้าคุณทำเสียหายจะชดใช้ไหวหรือ”
จางเซวียนไม่สนใจคำพูดของไป๋ซวิน เขาจ้วงแทงต่อ
ไม่ช้า ภาพวาดก็ถูกตัดออกเป็นชิ้นๆ สะบัดเบาๆ สีบนภาพก็ตกลงมากองอยู่บนพื้น ภาพวาดภาพนี้ด้านบนเป็นกระดาษส่วนด้านล่างเป็นหนังแกะ
พอกระดาษถูกฉีกออก หนังแกะจึงปรากฏขึ้นต่อสายตาทุกคน บนหนังแกะยังมีภาพวาดอยู่อีกภาพหนึ่ง เป็นภาพวาดที่เหมือนกับภาพวาดบนกระดาษแผ่นเมื่อครู่ไม่ผิดเพี้ยน ต่างกันตรงที่ภาพหนังแกะดูคล้ายมีจิตวิญญาณและพลังของความมุมานะรวมอยู่ในนั้น ภาพก้อนหิน ต้นไม้ กระท่อม และเด็กๆ ดูเหมือนจริงมาก เด็กน้อยคล้ายว่ากำลังคลานออกมา
“ถ้าผมดูไม่ผิด กระดาษแผ่นเมื่อครู่คือของปลอม ของจริงคือภาพวาดบนหนังแกะต่างหากที่เป็นฝีมือของท่านปรมาจารย์” จางเซวียนฉีกกระดาษออกแล้วหัวเราะ
“นี่มัน…”
ไม่ว่าจะเป็นหวงหวี่ ไป๋ซวิน หรือลุงเฉิงต่างก็ไม่อยากจะเชื่อในสายตาของตนเอง
แท้จริงแล้วสีของภาพวาดบนหนังแกะได้ระเหยไปติดอยู่บนแผ่นกระดาษ ทำให้แผ่นกระดาษที่หุ้มมันอยู่มีภาพเดียวกันไปด้วย แถมภาพนั้นยังคมชัดดีเยี่ยมจนมองไม่เห็นข้อบกพร่องใดๆ เลย… นับเป็นภาพวาดที่วิเศษจริงๆ
ประเด็นคือภาพวาดทั้งสองภาพนี้เข้ากันได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่มีรอยต่อใดๆ ปรากฏให้เห็น… แล้วจางเซวียนมองออกได้อย่างไร
“ไม่เลว ไม่เลว” ปรมาจารย์ลู่เฉินเห็นชายหนุ่มสามารถมองออกถึงสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่อย่างง่ายดาย เขารู้สึกชื่นชมจางเซวียนจากใจจริง ขณะเดียวกันก็รู้สึกประหลาดใจอย่างมาก
วิชาวาดทะลุกระดาษของตนนั้น พึ่งคิดค้นได้จากการวาดภาพบนหนังแกะเป็นภาพแรก ยังไม่เคยแสดงให้ใครดูเลยสักหน แต่เจ้าหนุ่มคนนี้กลับมองแค่ครั้งเดียวก็ดูออก สายตาของเขาทำไมช่างยอดเยี่ยมเช่นนี้
“แล้วผลงานชิ้นนี้ล่ะ” ปรมาจารย์ลู่เฉินชี้ไปยังภาพวาดอีกภาพหนึ่งซึ่งพิงอยู่ที่ผนัง เป็นภาพวาดสัตว์ร้ายตัวใหญ่ ดูดุดันราวกับเสือสมิง ทำให้ผู้ที่เห็นต้องเกรงกลัว ใครที่ใจไม่กล้าพอ ถ้าเห็นภาพนี้เข้าก็จะกลัวจนตัวแข็งไปเลย
จางเซวียนเดินไปที่ภาพวาดนั้นแล้วลูบเบาๆ เขายิ้มขึ้น “แม้ว่าภาพวาดนี้จะไม่เลว แต่กลับขาดพลังอำนาจ ถ้าผมเดาไม่ผิด คนวาดน่าจะไม่เคยเจอกับสัตว์ร้ายตัวนี้ คนวาดเพียงแค่วาดไปตามจินตนาการของตัวเอง”
“นี่…” ปรมาจารย์ลู่เฉินถึงกับตัวสั่น คนอื่นอาจไม่เข้าใจ แต่เขารู้ดีว่าจางเซวียนหมายถึงอะไร เพราะภาพวาดภาพนี้เป็นผลงานของเขาเช่นกัน
สัตว์ร้ายที่อยู่บนภาพวาดคือพยัคฆ์แดง เป็นสิ่งมีชีวิตที่หาได้ยากยิ่ง ตามคำบอกเล่า สัตว์อสูรตัวนี้มีพละกำลังมากมายมหาศาล ไม่มีอาวุธใดสามารถทำร้ายมันได้
เขาไม่เคยเจอกับสัตว์ชนิดนี้แบบตัวเป็นๆ อย่างที่อีกฝ่ายพูด ภาพวาดนี้มาจากการที่เขาเปิดหาข้อมูลต่างๆ จากตำราบวกกับจินตนาการของตัวเอง
แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นหนึ่งในผลงานที่เขารู้สึกภาคภูมิใจ ด้วยเหตุนี้เขาจึงตั้งมัน ณ ใจกลางห้องรับรอง นักวิชาการต่างๆ ที่แวะเวียนมาที่นี่ต่างพากันชื่นชมภาพวาดภาพนี้ไม่หยุดปาก ต่างก็คิดว่าภาพวาดของเขาเป็นที่สุดของที่สุด แต่ทำไมพอเจ้าหนุ่มตรงหน้าพูดเพียงไม่กี่คำ ความมั่นใจในฝีมือของลู่เฉินก็ลดลงทันที
อีกฝ่ายสามารถมองเห็นรายละเอียดของภาพวาดได้ สายตาของเขาไม่ธรรมดาจริงๆ แล้วยังสามารถรู้ได้อีกว่าเขาไม่เคยพบเจอกับพยัคฆ์แดงตัวจริง เจ้าหนุ่มคนนี้นับว่าสุดยอด
เมื่อคิดได้แบบนี้ ปรมาจารย์ลู่เฉินก็ไม่กล้าวางตัวสูงส่งเหมือนเมื่อครู่อีกแล้ว เขารีบถามจางเซวียนทันที “แล้วมันขาดความรู้สึกแบบไหนรึ บอกผมหน่อยได้ไหม”
“อะไรนะครับ?” เห็นราชครูที่ทดสอบพวกเขาอยู่ตลอดเวลา ให้คำชี้แนะอยู่เรื่อย ตอนนี้กลับขอคำชี้แนะจากชายหนุ่มอย่างจางเซวียน ทำให้ทั้งหวงหวี่และไป๋ซวินตกใจแทบตาย
โดยเฉพาะหวงหวี่ เธอตะลึงจนอ้าปากค้าง ในใจรู้สึกสับสนจนบอกไม่ถูก
เขาคนนี้… ทำได้อย่างไร