ตอนที่ 54 ผลไข่มุกทองคำ
คุณชายท่านนี้คือใคร?
คือลูกชายคนเดียวของเจินหนานอ๋อง ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ของอาณาจักรเทียนเซวียน
แต่กลับมาร้องเรียกจางเซวียนว่าปู่… นี่ผมไม่ได้ยินอะไรผิดไปใช่ไหม
ลุงเฉิงเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า เขาตกใจจนแทบจะเป็นลม เขาแค่ไปหยิบเสาหินวัดพลัง… ตอนที่เขาไม่อยู่มันเกิดอะไรขึ้น ใครช่วยบอกที
“เอาล่ะ น้องชายจางเซวียน ไว้วันหลังค่อยประลองใหม่แล้วกัน ไป๋ซวินได้รับบาดเจ็บ เขาต้องการเวลาพักฟื้น เสาหินวัดพลังก็มาถึงแล้ว ผมอยากเห็นคุณวัดพลังตัวเองสักหน่อย” ปรมาจารย์ลู่เฉินรีบพูดตัดบท
“ได้ครับ” จางเซวียนเห็นว่าไป๋ซวินไม่อยากจะประลองต่ออีกจึงได้แต่ส่ายหัวไปมาด้วยความเสียดาย เขาเดินมาที่หน้าเสาหินวัดพลังแล้วยิ้ม “จริงๆ แล้วผมเพิ่งวัดพลังตัวเองเมื่อวาน พลังปราณของผมอยู่ที่ระดับสี่ วันนี้จะวัดหรือไม่ก็ไม่มีผลอะไรมาก ผลลัพธ์คงจะเหมือนกัน…” เหตุผลที่จางเซวียนบอกว่าพลังปราณของตนอยู่ที่ระดับสี่นั้น เขาโกหกเพราะว่าไม่อยากบอกระดับพลังในตัวให้คนอื่นรู้ ประเดี๋ยวตอนทดสอบเขาก็จะใช้พลังเพียงครึ่งเดียวด้วย
จริงๆ แล้วเมื่อเช้ามืดของวันนี้ ตอนที่เขาเพิ่งเล่นงานเหยาฮั่นจนลงไปกอง พลังปราณของเขาอยู่ที่ระดับแปด แต่วันนี้จางเซวียนยุ่งมาก ไม่มีเวลาฝึกเคล็ดวิชาเพิ่มเติม จุดประสาทต่างๆ บนร่างกายเขายังไม่ได้เปิดออกอย่างเต็มที่ ดังนั้นพลังปราณของเขาก็ไม่น่าจะมีอะไรเพิ่มขึ้นมากมาย แม้จะฝึกเคล็ดวิชาร่างนวโลหะสำเร็จ แต่ความก้าวหน้าของกล้ามเนื้อก็อาจส่งผลต่อปราณไม่มากเท่าไรนี่
“ในเมื่อเอามาแล้ว ก็ทดสอบดูหน่อยแล้วกัน” ลู่เฉินกล่าว
“ครับ” จางเซวียนไม่ปฏิเสธอีกต่อไป เขาตัดสินใจจะใช้พลังเพียงครึ่งเดียวแล้วปล่อยหมัดออกไปที่เสาหิน
เสียงหมัดกระทบกับเสาหินดังสนั่นเสมือนฟ้าผ่า
“ผมว่าก็น่าจะแค่ระดับสี่นั้นแหละ…” จางเซวียนเห็นตัวเลขที่กำลังปรากฏขึ้นบนเสาหินแล้วยิ้มบางๆ ยังพูดไม่ทันจบประโยค จางเซวียนก็เห็นว่าไป๋ซวิน ลู่เฉิน และหวงหวี่ต่างมองมาที่เขาเหมือนตัวประหลาด
ทุกคนตกใจจนช็อกไปตามๆ กัน
“ทำไมรึ?” จางเซวียนขมวดคิ้ว เขามองเสื้อผ้าที่ตัวเองสวมใส่อยู่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ
หวงหวี่อดไม่ได้จึงพูดออกมา “คุณดูเสาหินสิ”
“มีอะไรรึ ก็ตัวเลขที่ขึ้นมาไม่ใช่ 4 หรือไง ทำไมต้องตกใจขนาดนั้นด้วย…”
จางเซวียนหันไปมอง พอเห็นตัวเลขที่ปรากฏบนเสาหินเข้าก็ตัวแข็งทันที เมื่อครู่ยังมีแค่เลข 4 เอง แล้วทำไมตอนนี้ถึงมีเลข 9 อยู่ด้านหลังเลข 4 แล้วล่ะ
พอรวมกันก็เป็น… 49
“ผมออกหมัดเมื่อครู่… มีพลังปราณระดับสี่สิบเก้าเลยรึ” จางเซวียนเองก็ตกใจเหมือนกัน
ตอนเช้าเพิ่งวัดได้ระดับแปด เมื่อครู่ก็จงใจใช้พลังเพียงครึ่งเดียว แต่ทำไมพลังปราณถึงได้อยู่ที่ระดับสี่สิบเก้าแล้วล่ะ ถ้าปล่อยหมัดออกไปเต็มที่ แบบนี้พลังปราณของหมัดจะไม่เกือบทะลุร้อยเลยรึไง
พลังปราณของนักรบขั้นห้าระดับสูงสุดคือสี่ ส่วนพลังปราณของนักรบขั้นหก – พี่เชวี่ยก็อยู่ที่ราวแปดสิบเท่านั้น แต่หมัดของเขาที่ออมแรงไปกึ่งหนึ่งมีพลังเกือบครึ่งร้อย นี่แสดงว่าถ้าออกหมัดเต็มๆ ก็คงทะลุร้อยไปแล้ว เช่นนั้นตอนนี้เขาก็เหนือกว่านักรบขั้นหกแล้วสิ?
“เสาหินต้นนี้… เสียหรือเปล่าครับ” จางเซวียนอดไม่ได้ที่จะถาม
“เสาหินไม่ได้เสีย เมื่อครู่คุณได้บรรลุเคล็ดวิชาในห้องหนังสือ พลังปราณจึงเพิ่มสูงขึ้น คุณเพียงแค่ยังไม่คุ้นเคยกับพลังปราณใหม่ เลย… เล่นงานไป๋ซวินจนเป็นแบบนี้” ปรมาจารย์ลู่เฉินเห็นว่าความคิดของตนได้รับการพิสูจน์แล้วจึงอธิบายออกมา
ทีแรกก็อยากบอกว่าตนเองนั้นถูกเล่นงานจนเละเทะเหมือนกัน แต่ตนเป็นถึงปรมาจารย์ที่มีชื่อเสียง ยังไงก็ต้องรักษาหน้า จึงไม่ได้เอ่ยออกมา
“บรรลุเคล็ดวิชา พลังปราณเพิ่มสูงขึ้นจากสี่เป็นสี่สิบเก้า หรือว่าเพียงพริบตาเดียวพลังปราณในร่างกายก็เพิ่มขึ้นสี่สิบห้าระดับเลยรึ” ไม่ได้ยินคำอธิบายยังพอว่า แต่พอมาได้ยินก็ตกใจจนแทบช็อกตาย
เหมือนล้อเล่นแน่ะ…
นักรบขั้นหก – พี่เชวี่ย หากเปิดจุดในร่างได้หนึ่งจุด พลังปราณจะเพิ่มขึ้นหนึ่งระดับ จากที่กล่าวกันมา ร่างกายของมนุษย์มีจุดทั้งหมดหนึ่งร้อยแปดจุด แต่ที่สามารถเปิดได้นั้นมีเพียงเจ็ดสิบสองจุด แล้วการเปิดจุดเหล่านี้ล้วนมีกฎเกณฑ์ในการเปิด ร่างกายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน กฎเกณฑ์การเปิดจุดก็ต่างกัน ถ้าหาจุดไม่เจอ ทั้งชีวิตก็อาจเปิดได้แค่สามสิบถึงสี่สิบจุดเท่านั้น
การเปิดจุดแบบปกติ คือการเปิดจุดแบบทีละครั้ง พลังปราณก็จะเพิ่มขึ้นทีละระดับ แต่นี่เพิ่มขึ้นทีเดียวสี่สิบห้าระดับ… ลูกพี่ นี่พี่จะแหกกฎสวรรค์ใช่ไหม เคยเห็นคนอื่นบรรลุเคล็ดวิชา แต่ไม่เคยเห็นคน… ที่เอะอะก็บรรลุเคล็ดวิชาได้ง่ายๆ แบบนี้
ไม่ใช่เฉพาะคนที่อยู่รอบๆ ที่ตกตะลึงเท่านั้น แม้แต่ตัวของจางเซวียนเองก็ตะลึง แค่ฝึกเคล็ดวิชาร่างนวโลหะ พลังปราณก็สามารถพัฒนาขึ้นถึงเก้าสิบระดับเลยรึ
ความจริง… จางเซวียนเพิ่งเหวี่ยงปรมาจารย์ลู่เฉินซะกระเด็น แล้วเล่นงานไป๋ซวินจนหมดรูป จางเซวียนก็น่าจะรู้ว่าพลังปราณของเขาได้พัฒนาขึ้นจากเดิมแล้ว คงไม่ใช่ว่าจะไม่รู้อะไรเลยหรอก แต่จางเซวียนเป็นคนที่มาจากโลกใบอื่น เพิ่งฝึกเคล็ดวิชาได้แค่วันสองวัน
การที่เขาสามารถควบคุมการปล่อยพลังปราณออกมาได้นั้นเป็นเรื่องยากพออยู่แล้ว ถ้าจะให้เขาควบคุมทุกจุดของพลังปราณในร่างกายได้นั้น เป็นเรื่องที่ลำบากเอามากๆ เหมือนกับคนธรรมดาคนหนึ่งที่อยู่ๆ ก็มีพละกำลังเหนือมนุษย์ในช่วงเวลาอันสั้น ตอนแรกก็ต้องไม่คุ้นเคยเป็นเรื่องธรรมดา และอาจจะยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองเสียด้วยซ้ำ
จางเซวียนอยู่ในสภาพเช่นนี้ ตอนแรกมีพลังปราณเพียงระดับแปด พริบตาเดียวกลับมีพลังเพิ่มขึ้นถึงระดับเก้าสิบ พลังเพิ่มขึ้นกว่าสิบเท่า ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน… แล้วแบบนี้ใครจะไปรู้ตัวได้
เมื่อครู่เขาไม่ฆ่าไป๋ซวินก็นับว่าบุญมากแล้ว
“น้องชายจาง คุณคงไม่ได้… เพิ่งจะเปิดจุดทั้งสี่สิบห้าจุดบนร่างกายของคุณเมื่อครู่ใช่ไหม” ลู่เฉินเห็นจางเซวียนตกตะลึงและยืนอยู่กับที่ เขาจึงถามขึ้นด้วยความสงสัย การเปิดจุดบนร่างกายสี่สิบห้าจุดได้ในพริบตา ยังไม่เคยมีใครสามารถทำแบบนี้ได้มาก่อน… แต่ถ้าไม่ใช่แบบนี้ แล้วทำไมพลังปราณถึงได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วล่ะ
“ผม… ยังเป็นนักรบขั้นติ่งลี่อยู่ ยังไม่มีความก้าวหน้าในการฝึกเคล็ดวิชาอะไร แค่… ร่างกายมีการพัฒนาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น” จางเซวียนตอบ
“ร่างกายรึ” ลู่เฉินถึงกับตกใจ เขาไม่อยากจะเชื่อเลย “ผมเคยได้ยินมาว่า บนโลกมีสมบัติล้ำค่าอย่างหนึ่ง เพียงแค่กินมันเข้าไป ก็สามารถทำให้ร่างกายของมนุษย์แข็งแกร่งกว่าเหล็กไหลเสียอีก ทำให้มีพลังปราณขั้นพี่เชวี่ยได้ หรือว่า… การฝึกเคล็ดวิชาก็สามารถมีผลแบบนี้ได้”
“วันนี้ผมเหมือนกับจะกินผลไม้ที่ไม่รู้จักชื่อลงไป ตอนแรกก็รู้สึกว่าร่างกายเกิดความร้อน แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก อาจจะเป็นตอนนั้นที่ร่างกายผมเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง” จางเซวียนตอบ ในฐานะที่เป็นคนจากโลกสมัยใหม่
เขาย่อมรู้ว่าไม่ควรทำตัวเด่นเกินไปนัก หากพูดความจริงออกไป มีหวังต้องมีคนมากมายอิจฉาตาร้อนและหาทางกำจัดเขาก็เป็นได้ ยิ่งไปกว่านั้น… อาจถูกจับตัวไปวิจัย ในเมื่อปรมาจารย์ลู่เฉินบอกว่ามีสิ่งวิเศษแบบนี้บนโลก งั้นก็ไหลไปตามน้ำแล้วกัน
“โชคดีจริงๆ ช่างเป็นเรื่องที่โชคดีจริงๆ” ลู่เฉินไม่สงสัยในคำพูดของจางเซวียนอีก
จริงๆ แล้วไม่ใช่ว่าเขาจะเชื่อเสียหมด แต่เรื่องแบบนี้ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ฝึกเคล็ดวิชาเพียงแค่สองชั่วโมงก็ทำให้พลังปราณในร่างกายเพิ่มขึ้นกว่าสิบเท่า ฟังดูแล้วเป็นไปไม่ได้ ถ้าจะเชื่อแบบนี้ ไปเชื่อว่าจางเซวียนเผลอกินผลไม้วิเศษยังจะดีเสียกว่า
“ไม่รู้ว่าผลไม้ที่น้องชายกินมีลักษณะเป็นแบบไหนกัน” ปรมาจารย์ลู่เฉินถามต่อทันที
“ลักษณะเป็นแบบไหนรึ” จางเซวียนส่ายหัว เขาเพียงแค่พูดส่งเดช แล้วจะไปรู้ว่าผลไม้วิเศษนั้นมีลักษณะเป็นแบบไหนได้ยังไง แต่ในเมื่อถูกถามซะขนาดนี้ ถ้าไม่พูดออกมา ทุกคนก็ต้องสงสัยในตัวเขา จางเซวียนจึงตอบไปว่า “เป็นผลไม้ที่มีสีแดง…”
เมื่อตอนที่อ่านหนังสือในหอสมุดของโรงเรียน เขาเหมือนจะเคยเจอบันทึกของผลไม้แบบนี้ แต่มันเป็นเพียงผมไม้ในตำนาน ตอนนี้จางเซวียนคิดได้แค่ว่าขอให้พูดอะไรก็ได้ให้เอาตัวรอดก่อนเป็นพอ
“สีแดงหรือ เป็นสีแดงนวลใช่ไหม มันเป็นผลไม้วิเศษชนิดนั้นจริงๆ ด้วย” ดูเหมือนว่าปรมาจารย์ลู่เฉินจะคิดอะไรขึ้นมาได้
“ท่านปรมาจารย์รู้จักรึครับ”
“ใช่ มันเรียกว่า ‘ผลไข่มุกทองคำ’ จากคำบอกเล่าที่สืบทอดกันมา เพียงกินผลไม้นี้เข้าไป มันจะทำให้พลังปราณของผู้ที่กินเพิ่มสูงขึ้นโดยทันที นักรบขั้นหกระดับสูงสุดก็ยากที่จะต่อกรด้วยได้” ลู่เฉินตอบด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“ผลไข่มุกทองคำรึ” จางเซวียนรู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก
อ้าว หรือว่า… โลกในมิตินี้มีผลไม้ชนิดที่ว่าจริงๆ