ตอนที่ 52 ปรมาจารย์ลู่เฉินที่พูดไม่ออก
“อ้าว คุณ…” จางเซวียนตกใจเป็นอย่างมาก เมื่อครู่เขาแค่หันกลับมาอย่างช้าๆ ไม่ได้ใช้พลังปราณเลยสักนิด แต่ทำไมปรมาจารย์ลู่เฉินถึงกระเด็นออกไปแบบนั้นล่ะ
หรือฝ่ายนั้นกำลังกระโดดโลดเต้นเพื่อออกกำลังกาย?
“เอ่อ ท่านปรมาจารย์…” จางเซวียนรีบวิ่งไปแล้วพยุงตัวของลู่เฉินขึ้นจากพื้น
“ผมไม่เป็นอะไร…” ยังพูดไม่ทันจะขาดคำ ลู่เฉินพลันรู้สึกว่าร่างของตัวเองเกิดอาการหมดแรงขึ้นมา เขาผวาไปข้างหน้าจนหัวกระแทกกับชั้นหนังสืออย่างจัง ทำให้หนังสือจำนวนมากหล่นลงมาทับตัวลู่เฉิน “ผม…” ปรมาจารย์ลู่เฉินในตอนนี้อยากจะร้องไห้ออกมาให้สุดเสียง
แกล้งกันรึเปล่า แค่พยุงตัวฉันขึ้นมา ทำไมจะต้องใช้พลังมากขนาดนั้นด้วย!
“ท่านปรมาจารย์…” พอจางเซวียนเห็นแบบนี้ก็รีบปรี่เข้าไปพยุงลู่เฉินอีกครั้ง แต่ก็เห็นว่าลู่เฉินยกมือห้าม เขากำลังพยายามพยุงตัวเองขึ้น “คุณ… อย่าเข้ามา ผมพยุงตัวเองได้”
พอได้ยินคำพูดของลู่เฉิน จางเซวียนได้แต่ยืนนิ่งๆ แล้วมองไปที่ชายชราที่อยู่ตรงหน้า ในใจเขาเต็มไปด้วยความสงสัยจึงอดไม่ได้ที่จะถามออกมา “ท่านปรมาจารย์ กำลังทำท่ากระโดดเชือกออกกำลังกายอยู่ใช่ไหมครับ?”
“เอ่อ… กระโดดเชือก…” ลู่เฉินพูดอะไรไม่ออก
จะบ้ารึ ใครเขาจะมากระโดดไปมาแบบนั้นในห้องหนังสือกัน ฉันเป็นถึงปรมาจารย์ด้านศิลปะเชียวนะ จะมีเวลาว่างมาเล่นอะไรแบบนี้ได้ยังไง อีกอย่าง ถ้าจะเล่นก็คงไม่มาเล่นที่นี่ ในนี้มีแต่สมบัติล้ำค่า มีแต่ของอันเป็นที่รักของฉันทั้งนั้น
ปรมาจารย์ลู่เฉินรู้สึกแน่นหน้าอกและหายใจอึดอัด
“ท่านเป็นอะไรไหมครับ รู้สึกเจ็บหน้าอกใช่ไหม?” จางเซวียนเดินมาตรงหน้าลู่เฉินแล้วทำทีจะช่วยทุบหลังให้
“อย่า” ลู่เฉินยังไม่ทันได้พูดจบ จางเซวียนก็ทุบลงไปที่แผ่นหลังของเขาเบาๆ หลังจากนั้น ร่างของลู่เฉินก็กระเด็นไปติดที่ผนังของห้องหนังสืออีกด้าน แรงปะทะทำให้ผิวกำแพงถึงกับยุบลง
“เฮ้ย! ท่านปรมาจารย์…” จางเซวียนเห็นลู่เฉินกระโดดหนีเขาเหมือนกระต่าย เขาได้แต่ส่ายหัว ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะกระโดดเล่นไปมาอีกนานไหม เดี๋ยวก็กระโดดไปข้างหลัง เดี๋ยวก็ผวาไปข้างหน้า เล่นไปมาอย่างสนุกสนานไม่สนใจแขกเหรื่อเลย เส้นประสาทกระตุกหรือไงกัน
เอ… แต่ถ้าเส้นประสาทกระตุกจริงๆ ก็ต้องรีบไปช่วยสินะ จางเซวียนรีบวิ่งไปหาลู่เฉินแล้วทำท่าจะพยุงเขาขึ้นมา
“พอแล้ว อย่าเข้ามา…” ปรมาจารย์ลู่เฉินเช็ดเลือดที่ไหลออกมาจากปากตนเอง แล้วรีบถอยหลังเพื่อไม่ให้อยู่ใกล้กับจางเซวียน เขามองไปที่จางเซวียนเหมือนมองสัตว์ประหลาด
ฉันแค่รู้สึกแน่นหน้าอก ไม่ได้อยากตาย แต่แกกลับทุบฉันทั้งขาทั้งแขนจนจะหักอยู่แล้ว!
“ท่านปรมาจารย์ นี่ท่านเป็นอะไรกันแน่” จางเซวียนเห็นแบบนี้จึงอดไม่ได้ที่จะถามอีก
จริงๆ นิสัยไม่นิ่งอย่างที่เห็นนี่ พอลับตาคนก็เอาแต่กระโดดไปมา
“เป็นอะไรงั้นรึ?” ลู่เฉินมองจางเซวียนเป็นตัวประหลาด เขาเจ็บไปทั่วทั้งร่างจนอยากจะร้องไห้ออกมา
เป็นอะไรแกไม่รู้รึ
ฉันกลัวว่าแกจะถูกธาตุไฟเข้าแทรก จึงหวังดีคิดจะไปตักเตือน แต่แกกลับหันมากระแทกฉันจนปลิวแล้ววิ่งมาเหวี่ยงฉันออกไปอีก ต่อมาก็ปรี่มาทุบหลัง ยังดีที่ฉันมีพลังปราณที่แข็งแกร่งพอตัว ไม่อย่างนั้นคงตายไปนานแล้ว… แล้วตอนนี้แกกลับมาถามฉันว่าเกิดอะไรขึ้น
ลู่เฉินกำลังจะอารมณ์เสีย แต่พอเห็นหน้าตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยของจางเซวียนซึ่งดูไม่เหมือนกับการเสแสร้ง จึงอดถามขึ้นบ้างไม่ได้ “นี่คุณ… หรือว่าคุณจะบรรลุเคล็ดวิชาบางอย่างแล้ว”
“ใช่ครับ” จางเซวียนพยักหน้า ฝึกร่างนวโลหะจนสำเร็จก็น่าจะนับว่าบรรลุเคล็ดวิชาได้แล้วแหละ
“แต่… แค่อ่านก็บรรลุได้แล้วรึ ทำไมวรยุทธถึงก้าวหน้าไวขนาดนี้ได้…” ในที่สุดปรมาจารย์ลู่เฉินก็เข้าใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เขายังไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองอยู่ดี
บางคนอาจใช้วิชาพิเศษบางอย่าง ทำให้สามารถพัฒนากล้ามเนื้อของตนเองขึ้นได้อย่างรวดเร็ว แต่พละกำลังกับพลังปราณในตัว ต้องการเวลาสักระยะหนึ่งเพื่อทำให้สามารถปรับสภาพให้เข้ากัน ซึ่งบางครั้งก็จะเกิดเหตุการณ์ที่ผู้ฝึกไม่สามารถควบคุมร่างกายตัวเองได้
ยกตัวอย่างเช่น คนคนหนึ่งมีพลังปราณอยู่ที่หนึ่งร้อยกิโลกรัม หากใช้หนึ่งในสิบส่วนของพลังปราณในการหยิบแก้วน้ำหรือของต่างๆ ก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่พอพลังปราณเพิ่มสูงขึ้นเป็นหนึ่งหมื่นกิโลกรัม ถ้ายังใช้พลังหนึ่งในสิบของพลังปราณทั้งหมดในการหยิบแก้วน้ำ แก้วน้ำก็สามารถแตกได้
จางเซวียนในตอนนี้น่าจะเป็นแบบนี้ พลังปราณของเขาเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าพลังปราณนั้นเพิ่มขึ้นมาเท่าไร จึงใช้พลังเท่าเดิมในการทำกิจกรรมเดิมๆ นั่นเอง
เหตุการณ์ในลักษณะนี้มีบันทึกไว้ในหอสมุดเทียบฟ้า การที่จะปรับสภาพร่างกายให้เข้ากับพลังปราณที่เพิ่มขึ้น ผู้ฝึกจะต้องใช้เวลานานกว่าร่างกายจะปรับได้ ทีแรกจางเซวียนคิดว่าคำพูดคำนี้เป็นเรื่องไร้สาระ แต่คิดไม่ถึงว่า… จะเป็นเรื่องจริง
แต่อย่างไรลู่เฉินก็ไม่เชื่ออยู่ดี ชายหนุ่มคนนี้เพียงแค่ยืนอ่านหนังสือข้างๆ ชั้นวาง อ่านแค่พักเดียวก็สามารถบรรลุถึงเคล็ดวิชาเคล็ดหนึ่งได้เลยรึ
หรือว่าเขาจะมีพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดา เพียงอ่านอะไรนิดเดียวก็สามารถสำเร็จการฝึกวิชาได้อย่างง่ายดาย
ถ้าเป็นแบบนี้ แม้แต่ลู่เฉินเองก็ยังเทียบไม่ติด
“ตามผมมาที่ห้องโถง” ปรมาจารย์ลู่เฉินรู้สึกงุนงงแต่ก็ไม่พูดอะไรมากไปกว่านี้ เขาเดินนำหน้าจางเซวียนออกไป
จะพิสูจน์เรื่องนี้ง่ายนิดเดียว แค่หาเสาหินวัดพลังมาวัดดูก็รู้แล้ว
ชายหนุ่มผู้นี้กำลังเสาะหาตำราเคล็ดวิชาขั้นหก ดังนั้นเขาจะต้องยังไม่บรรลุเคล็ดวิชาขั้นหกอย่างแน่นอน เขาควรเป็นแค่นักรบขั้นห้าระดับสูงสุด หรือไม่ก็มีพลังปราณเพียงแค่ระดับสี่
ถ้าพลังปราณมากเกินกว่านี้ นั้นก็หมายความว่าเขาได้ก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้นแล้ว เหตุการณ์เมื่อครู่ก็สามารถมีคำอธิบายที่ดีได้
ณ กลางห้องรับรอง หวงหวี่และไป๋ซวินยังนั่งอยู่ที่เดิมไม่ได้ไปไหน พวกเขามองไปทางห้องหนังสือด้วยใจอันว้าวุ่น พวกเขามาที่นี่เพราะมีธุระ ทว่าปรมาจารย์ลู่เฉินกลับสนใจแต่จางเซวียนพวกเขาไม่มีแม้แต่โอกาสจะพูดอะไรกับท่านปรมาจารย์เลย ดังนั้น พวกเขาจึงยังไม่ไปไหน ได้แต่นั่งรอต่อไปเรื่อยๆ
“เสี่ยวหวี่ ปรมาจารย์จางเซวียนคนเมื่อครู่… เขาเป็นถึงนักรบขั้นห้าแล้วจริงรึ” ตอนนี้ไป๋ซวินไม่มีอคติกับจางเซวียนเหมือนเมื่อครู่อีกแล้ว เขารู้สึกดีใจนิดๆ เสียด้วยซ้ำที่ฝ่ายนั้นเก่งด้านศิลปะการต่อสู้ ไป๋ซวินเองไม่เคยสนใจในศิลปะการวาดภาพ แต่มาที่นี่เพราะถูกบิดาบังคับให้มา สำหรับเขา การฝึกเคล็ดวิชาต่างหากที่เป็นเรื่องน่าสนใจกว่ามาก
เมื่อได้พบกับยอดฝีมือ เขาจึงรู้สึกดีใจมาก
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาคิดว่าตนเป็นอัจฉริยะด้านการฝึกวรยุทธอยู่เสมอ เขาอายุเกือบยี่สิบ แต่เป็นถึงนักรบขั้นห้าระดับสูงสุด แบบนี้ถือว่าเขามีความสามารถเหนือคนอื่นแล้ว ทั่วทั้งอาณาจักรนี้มีน้อยคนที่สามารถเอาชัยเหนือเขาได้ คิดไม่ถึงว่าชายหนุ่มที่อายุไม่มากไปกว่าเขาคนนั้นก็เป็นนักรบขั้นเดียวกัน
แล้วเขาจะไม่รู้สึกตื่นเต้นได้อย่างไร
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ก็บอกคุณแล้วนี่ว่าเขาแค่มาซื้อหนังสือที่ร้านฉัน… ฉันไม่รู้เรื่องของเขาเลยสักนิด แต่เขาเที่ยวเสาะหาตำราเคล็ดวิชาขั้นหกอ่าน เขาน่าจะเป็นนักรบขั้นห้าระดับสูงล่ะมั้ง” หวงหวี่ตอบ
จางเซวียนมีความสามารถอะไรบ้าง พวกเขาไม่มีทางรู้เพราะจางเซวียนไม่เคยออกกระบวนท่าให้พวกเขาดู แต่ในเมื่อจางเซวียนหาซื้อตำราเคล็ดวิชาขั้นหก เขาจะต้องเป็นนักรบขั้นห้าระดับสูง ไม่อย่างนั้นจะหาตำราเคล็ดวิชาขั้นหกมาอ่านทำไม
“อายุแค่นี้กลับสามารถก้าวมาถึงจุดนี้ได้ แม้จะไม่รู้ว่าวรยุทธของเขาสูงส่งเพียงใด แต่เดียวผมจะไปขอคำชี้แนะดู…” ไป๋ซวินยิ้ม
ไป๋ซวินเป็นคนที่คลั่งไคล้ในวรยุทธ แต่มีเพียงคนจำนวนแค่หยิบมือที่สามารถเป็นคู่ต่อสู้กับเขาได้ เขาจึงเก็บกดมานานมาก
ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันก็มองเห็นคนสองคนเดินเข้ามา พอเห็นหน้าของคนที่เดินมา ทั้งคู่รีบลุกขึ้นทันที
พวกเขาเห็นสภาพของปรมาจารย์ลู่เฉินก็ตกใจกันยกใหญ่ เมื่อครู่ยังดูมีมาดเป็นผู้ดีมีตระกูล แต่ตอนนี้กับมีเลือดไหลนองอยู่เต็มหน้า เป็นสภาพที่ดูไม่ได้อย่างที่สุด